“เมื่อวานข้ากับคุณชายของข้าลงจากเขาไปตอนกลางคืน เตรียมจะกลับภาคตะวันตกเฉียงเหนือ...”
ไม่รอให้ชายผู้นั้นพูดจบ หลัวฉี่ก็ถามอย่างสงสัยว่า “การประลองยังไม่จบ เหตุใดคุณชายเฉินจึงต้องรีบลงเขากลับภาคตะวันตกเฉียงเหนือ?”
ชายผู้นั้นมีสีหน้าเคียดแค้น “คุณชายข้าสังหรณ์ว่าหากยังรั้งอยู่ในตระกูลจิ่งต่อไปจะเกิดอันตราย เมื่อวานเมื่อเขากลับไปที่ห้องก็เริ่มเก็บสัมภาระเพราะรอล่ำลากับทุกท่านไม่ไหว ไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะลงมือรวดเร็วเช่นนี้ พวกเราเพิ่งลงไปได้ครึ่งหนึ่งจนถึงไหล่เขา เขาก็ไล่ตามมาแล้ว”
หลัวฉี่เดินไปถามไป “แล้วผู้คุ้มกันของคุณชายเฉินเล่า?”
ชายผู้นั้นคิ้วตก มีสีหน้าเ็ป “ตายสิ้นแล้ว เช่นเดียวกับคุณชาย คนผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป”
หลัวฉี่ “อีกฝ่ายมีแค่คนเดียวหรือ?”
ชายผู้นั้นพยักหน้าแล้วตอบว่า “มีแค่คนเดียว ถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง ลงมือรวดเร็วยิ่ง!”
หลัวฉี่พยักหน้าช้าๆ ถามอีกครั้งว่า “เช่นนั้นพี่ชาย...เ้ามองเห็นรูปร่างของเขาชัดเจนหรือไม่?”
ชายผู้นั้นส่งเสียงดังอืมออกมาคำหนึ่ง ท่าทางเกรงๆ แล้วพูดว่า “ผู้น้อยมีนามว่าเฉินเป่า คุณชายหลัวเรียกชื่อข้าตรงๆ เถิด มิกล้าให้ท่านเรียกข้าว่า 'พี่ชาย' สองคำนี้จริงๆ”
หลัวฉี่ก็ไม่ปฏิเสธจึงรับไปคำหนึ่งว่าได้ เฉินเป่าก็พูดต่อไปว่า “เมื่อวานดึกดื่นแล้ว แต่แสงดาวและแสงจันทร์นั้นยังนับว่าสว่างไสว คนผู้นั้นสวมชุดดำ รูปร่างสูงมาก แต่ค่อนข้างผอมบาง บนร่างมีกลิ่นสมุนไพรรุนแรง”
กระบี่สั้น...กลิ่นสมุนไพร...ก็ค่อนข้างเข้ากับลักษณะเด่นของคนตระกูลจิ่ง
แต่ข้อมูลแค่นี้ก็ยังน้อยเกินไป “ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
เฉินเป่าส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว คนผู้นั้นปกปิดดีเกินไป นอกจากอาวุธและกลิ่นสมุนไพรแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก”
ตระกูลจิ่งกว้างมากจริงๆ
เฉินเปิ่นฉีไม่ออกไปทางประตูใหญ่ แต่ออกไปทางกำแพงฝั่งตะวันออก กำแพงสูงมาก ขอแค่มีวรยุทธ์เพียงเล็กน้อยก็สามารถะโข้ามไปมาได้ ตอนกลางคืนตระกูลจิ่งเองก็มีการจัดเวรยามเดินลาดตระเวน แต่ว่าไม่ได้แ่านัก หนึ่งเพราะจากตรงนี้จะปีนขึ้นเขามาได้นั้นค่อนข้างยากลำบาก สองต่อให้เขาปีนข้ามเขาอย่างลำบากขึ้นมาได้ก็เกรงว่าเข้ามาได้ไม่กี่ก้าวก็คงถูกจับอยู่ดี แต่ตอนนี้เฉินเปิ่นฉีนับว่าเป็แขกของตระกูลจิ่ง เขาจะเดินท่องเที่ยวในตระกูลจิ่งหรือปีนกำแพงเข้าออกเล่นๆ ก็คงไม่มีผู้ใดไปขวางได้
กำแพงทางฝั่งตะวันออกนี้ไกลกว่าประตูหลักพอสมควร ทุกคนพากันเคลื่อนย้ายกำลังภายในเพื่อเร่งฝีเท้า เรือนส่วนใหญ่ที่ฝั่งตะวันออกล้วนเป็จิ่งเหวินซานสั่งให้คนต่อเติมขึ้น คนที่พักอาศัยล้วนเป็ลูกหลานจากตระกูลต่างๆ ทุกคนพากันเดินอย่างเร่งรีบมาที่ฝั่งตะวันออก นี่ถือเป็โอกาสดีที่จะทดสอบวรยุทธ์ของทุกคน มีหลายคนที่ตามไม่ทัน และยังมีบางคนที่เดินอย่างเร่งรีบ ท่าทางน่าจะเหนื่อยมาก แต่สีหน้ากลับแลดูสงบนิ่ง ทั้งที่ฝีเท้าสบายๆ แต่กลับเดินไม่ช้าเลย
กำลังภายในของจิ่งเหวินซานเองก็นับว่าไม่เลว ถึงแม้จะมีรูปร่างอ้วนใหญ่ แต่กลับเดินได้อย่างสบายยิ่ง แต่ว่าถึงแม้ฝีเท้าจะดูสบายๆ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง เหงื่อผุดออกมาเต็มศีรษะทำให้เส้นผมเปียกชื้น ตรงคอเสื้อและเสื้อบริเวณที่แนบกับกระดูกสันหลังมีสีเข้มขึ้นกว่าบริเวณอื่นมาก เ้าเฉินเปิ่นฉีผู้นี้จะไปตายที่ใดก็ไม่ไป จำเพาะต้องมาตายตรงไหล่เขาตระกูลจิ่ง ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าเื่นี้จะจบลงด้วยดีหรือไม่ แต่ที่ชัดเจนคือจิ่งเฟิงกั๋วไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่แล้ว
ในตอนที่จิตใจกำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น จิ่งเหวินซานก็ถูกคนพุ่งชนเข้าเต็มๆ จึงทำให้ใจนลมปราณสะดุด รู้สึกว่าลมปราณติดขัดอยู่ที่อก ไม่ยอมออกมาแล้วก็ไม่ยอมลงไป รู้สึกทรมานยิ่ง จิ่งเหวินซานโกรธถึงขีดสุดแล้วตะคอกออกไปว่า “วิ่งสะเปะสะปะเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน กฎระเบียบแค่นี้ก็ยังไม่รู้อีก!”
คนผู้นั้นเองชัดเจนว่าอึ้งไปแล้ว เพิ่งจะวิ่งอ้อมูเาจำลองมา แต่ตอนนี้กลับชนเข้ากับจิ่งเหวินซาน1 ส่วนด้านหลังยังมีคนเดินตามมาอีกมากมาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาประลองหรอกหรือ?
เมื่อตะคอกเสร็จ เืลมของจิ่งเหวินซานก็เหมือนจะไหลเวียนดีขึ้น แล้วก้มศีรษะลงไปมองอย่างละเอียด กลับพบว่าเป็คนรับใช้ของคุณชายตระกูลใดอีกก็ไม่รู้ จิ่งเหวินซานจ้องมองแล้วก็รู้สึกเหมือนลมปราณเริ่มติดขัดขึ้นมาอีกครั้ง คนพวกนี้ไม่รู้จักสั่งสอนคนรับใช้ให้ดีหรืออย่างไร?
ไม่รอให้จิ่งเหวินซานพูดอะไรอีก กลับเป็คนที่ชนจิ่งเหวินซานจนล้มลงไปบนพื้นนั่นเองที่รีบพุ่งเข้ามาราวกับเสียสติไปแล้ว เขาดึงเสื้อของจิ่งเหวินซานทำให้จิ่งเหวินซานใจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว แต่ก็ดึงเสื้อกลับมาไม่ได้ คนผู้นั้นพูดอย่างเร่งร้อนว่า “นายท่านจิ่ง ขอร้องท่านช่วยข้าตามหาคุณชายของข้าด้วยเถิด คุณชายของข้าหายไป ข้าหาจนทั่วแล้วล้วนไม่มี หากเกิดเื่ขึ้นกับท่าน นายท่านและฮูหยินของข้าต้องไม่ละเว้นข้าแน่!” !!!
พอจิ่งเหวินซานได้ยินก็ราวกับถูกคนสกัดจุดเข้าจนนิ่งไปไม่ขยับ
ส่วนจิ่งเฟิงกั๋วก็ขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม สีหน้าดำคล้ำขึ้นมาก
มือของจิ่งเหวินซานสั่นระริกแล้วถามด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “คุณชายของเ้าคือผู้ใด?”
คนรับใช้ผู้นั้นรีบตอบ “หวางฮวายเหล่ย! คุณชายของข้าคือหวางฮวายเหล่ย”
...
จิ่งเหวินซานรู้สึกปวดหัวตุบๆ จึงสูดหายใจลึกๆ สองสามครั้งเพื่อให้ตัวเองสงบลง “คุณชายของเ้าหายตัวไปหรือ?”
ก็แค่หายตัวไปเท่านั้น หวางฮวายเหล่ยเป็คนชอบเที่ยวเล่น เมื่อวานเขาแข่งแพ้ วันนี้คาดว่าคงคร้านจะไปที่สนามแข่งแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะไปล่อลวงสตรีคนใดอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็ได้
คนผู้นั้นรีบพยักหน้า
จิ่งเหวินซาน “เ้ารู้ั้แ่เมื่อไรว่าเขาหายไป?”
“เมื่อเช้านี้ข้าไปที่ห้องของท่าน ท่านก็ไม่อยู่แล้ว เตียงเย็นเฉียบ คุณชายของข้าชอบออกไปเที่ยวเล่น แต่ส่วนใหญ่ครึ่งคืนหลังก็จะกลับมา วันนี้พอข้าเข้าไปก็พบว่าท่านไม่ได้กลับมา ลุงจินกับลุงลี่ก็ล้วนไม่อยู่”
จิ่งเหวินซานโล่งใจ หวางฮวายเหล่ยเป็เช่นไรเขาย่อมรู้ดี หลายวันมานี้ที่พักอยู่เรือนตะวันออก หญิงรับใช้ที่ส่งไปให้เขาไม่มีคนใดที่ไม่ถูกเขาเอาเปรียบ แต่เขาก็ทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น ตอนนี้เกรงว่าคงเบื่อแม่นางในเรือนพักพวกนั้นแล้วจึงไปทำร้ายผู้อื่นต่อ ตอนนี้มีความเป็ไปได้สูงว่าอาจจะเกี้ยวสาวอยู่ที่ซอกมุมใดสักมุมหนึ่ง
“เ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ไม่แน่ว่าคุณชายของเ้าอาจจะไปเที่ยวเล่นที่ใดอยู่ ข้าจะสั่งคนให้ไปค้นหาเดี๋ยวนี้”
แต่คนรับใช้ผู้นั้นกลับคุกเข่าอยู่กับพื้นไม่ยอมลุกขึ้น น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว “นายท่านจิ่ง ถึงคุณชายของข้าจะชอบออกไปเที่ยวเล่น แต่ตอนกลางดึกท่านจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน นี่เป็กฎที่นายท่านตั้งเอาไว้ ต่อให้ท่านไม่ยอมกลับมา ลุงจินกับลุงลี่ก็ต้องบังคับพาท่านกลับมาแน่”
จิ่งเหวินซานส่งเสียงดังเฮอะในใจ เขาไม่คิดว่าหวางฮวายเหล่ยจะเป็คนที่เชื่อฟังคำสั่งผู้ใดด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าหาได้แสดงออกมาทางสีหน้าไม่ “เ้าร้อนใจไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้สงบใจแล้วคิดให้ดีๆ ว่าคุณชายของเ้าจะไปที่ใดและเมื่อคืนเขาออกไปกับผู้ใดจะไม่ดีกว่าหรือ อย่างไรเสียตระกูลจิ่งก็กว้างถึงเพียงนี้ จะไปงมเข็มในมหาสมุทรก็คงเสียเวลาเปล่า ในเมื่อมีผู้คุ้มกันตามไปด้วย เช่นนั้นก็คงไม่เป็ไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนผู้นั้นก็สงบสติอารมณ์ลงแล้วทำท่าทางขบคิดลึกซึ้ง อย่างไรเสียก็ยังมีลุงจินอยู่ คงไม่มีเื่อะไรหรอก แต่พอเขาสงบลงแล้ว คนข้างหลังกลับสงบใจไม่อยู่จนเกิดเป็ความสับสนอลหม่านขึ้นมา
“พวกเ้าคิดว่าความเป็ไปได้ที่หวางฮวายเหล่ยผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่กับตายแล้วอันไหนมีมากกว่ากัน”
“น่าจะมีชีวิตอยู่นะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้ารู้จักนิสัยของหวางฮวายเหล่ยดี ดึกดื่นก็ไปเที่ยวหาสตรี ตอนนี้คงถูกปีศาจสาวที่ใดล่อไปแล้วกระมัง”
“ใช่แล้ว ต่อให้เขาตาย คาดว่าคงต้องตายเพราะไตพร่อง2 กระมัง ฮ่าๆๆ”
“ได้ยินมาว่าหวางฮวายเหล่ยมีผู้คุ้มกันสองคน มีคนหนึ่งฝีมือร้ายกาจมาก เป็ถึงยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินใหญ่”
“เ้าหมายถึงหวางจินใช่หรือไม่ เมื่อก่อนปู่ข้าก็เคยพูดถึงคนผู้นี้ ลือกันว่าแค่คนเดียวก็สามารถสู้พันทหารหมื่นม้าได้!”
“ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? พูดเกินไปกระมัง?”
“มิได้ๆ นี่เป็เื่จริง ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ตอนยังอายุน้อยบ้าบิ่นเป็อย่างมาก ก่อปัญหาไปทั่ว ภายหลังศัตรูจับมือกันมาหาถึงที่แล้วล้อมเขาไว้ในสามชั้นนอกสามชั้น เขาคนเดียวถือดาบเดียวฆ่าไปหนึ่งวันหนึ่งคืนจนกลายเป็ถนนเืสายหนึ่ง ั้แ่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งกับเขาอีก”
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ว่าคนผู้นี้ภายหลังก็ยอมสยบให้กับหวางชวน ั้แ่นั้นมาก็ไม่ปรากฏตัวอีก”
“เื่พวกนี้...พวกเ้าไปฟังมาจากที่ใดกัน?”
“ปู่ข้าเป็คนบอก หวางจินอายุมากกว่าปู่ข้าอีก”
“ข้าเองก็เคยได้ยินมาจากผู้าุโ”
...
ระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เด็กรับใช้ผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหันแล้วรีบพูดว่า “นายท่านจิ่ง เมื่อวานข้าได้ยินมาแว่บๆ ว่าคุณชายข้าพูดถึงแม่นางอาหลิ่ว”
จิ่งเหวินซานถึงกับเส้นเอ็นกระตุก ข่มความโกรธเอาไว้ “อาหลิ่วไหน เ้ารู้จักหรือไม่?”
คนผู้นั้นส่ายศีรษะ สตรีที่คุณชายเขาล่อลวงนั้นมีมากเกินไป มีตั้งหลายคนที่เขาเองก็ยังไม่เคยเห็น
จิ่งเคอเห็นจิ่งเหวินซานแทบจะะเิออกมาแล้วจึงรีบพูดว่า “ท่านพ่อ เื่นี้ปล่อยให้ข้าจัดการเถิด คิดว่าคงเป็หญิงรับใช้คนใดคนหนึ่งในหมู่บ้านนี่แหละขอรับ ข้าจะให้ผู้ดูแลไปสืบดู ท่านพ่อไปจัดการเื่คุณ...คุณชายเฉินก่อนเถอะขอรับ”
จิ่งเหวินซานข่มอารมณ์ลง ส่งเสียงดังอืมออกมาหนักๆ แต่พอหันหน้าไปกลับพบว่าสีหน้าของจิ่งเฟิงกั๋วดำคล้ำเสียยิ่งกว่าเขาอีก ชัดเจนว่าแทบจะะเิแล้วเช่นกัน จิ่งเหวินซานก็ราวกับลูกโป่งที่โดนเข็มเจาะแฟบในทันใด รีบยื่นหน้าไปบอกว่า “ท่านปู่อย่าได้กังวล ไม่น่าจะเกิดเื่อันใดขึ้น พวกเราไปดูคุณชายเฉินกันก่อนเถิด”
จิ่งเฟิงกั๋วไม่แม้แต่จะสนใจเขา สะบัดเสื้อข้ามหัวเด็กรับใช้ที่ยังคุกเข่าอยู่แล้วเดินตรงไปด้านหน้า
จิ่งเหวินซานเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่มีเวลามาสนใจเื่หน้าตาแล้วรีบตามไปอย่างรีบร้อน หลัวฉี่ที่เป็ผู้น้อยมองคนนั้นทีคนนี้ทีจึงทำได้เพียงราวกับตัวเองไม่มีตัวตนอยู่ ณ ที่นั้น
จิ่งเซียงจับแขนอ๋าวหราน “หวางฮวายเหล่ยคงไม่เกิดเื่ขึ้นด้วยใช่หรือไม่?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า น้ำเสียงไม่มั่นใจ “ขอแค่หวางฮวายเหล่ยยังอยู่ในหมู่บ้านสกุลจิ่งก็คงไม่มีผู้ใดฆ่าเขาได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตัวเขาเองก็มีผู้คุ้มกันคอยปกป้อง แต่ปกติถ้ามีความเคลื่อนไหวแม้เพียงนิด คนลาดตระเวนของตระกูลจิ่งก็ต้องพบเห็นแล้วกระมัง?”
จิ่งเซียงเองก็พยักหน้าอย่างลังเล “พี่ ่นี้ผู้คุ้มกันในตระกูลเป็คนของท่านลุงใหญ่หมดเลยใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ครึ่งๆ กระมัง”
จิ่งเซียง “เช่นนั้น...พี่ ท่านไม่ได้รับข่าวอะไรบ้างเลยหรือ?”
จิ่งฝานส่ายหน้า “ไม่มี”
จิ่งเซียงถอนหายใจ
——
เมื่อทุกคนไปถึงสถานที่ที่เฉินเปิ่นฉีถูกสังหารก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ฉากนั้นเรียกได้ว่ายากจะบรรยายทีเดียว เืแข็งตัวเปรอะเปื้อนเต็มพื้น หญ้าโดยรอบก็ล้วนมีเืหยดลงมา
ซาน1 (山)คำว่าซานในชื่อของจิ่งเหวินซานมีความหมายว่าูเา
ไตพร่อง2 (肾虚)ในที่นี้หมายถึงภาวะหยางไตพร่องที่มีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
