เฉียวเยว่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ บอบบางน่ารักราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ เป็ที่รักยิ่งของทุกคนในจวน แม้แต่นายท่านผู้เฒ่าซึ่งมักทำสีหน้าเ็าอยู่เสมอยังมีรอยยิ้มได้เมื่อเห็นหลานสาวคนนี้ แทบจะปรนเปรอทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่นาง
เพียงแต่วันนี้ เสี่ยวเฉียวเยว่กลับก้มหน้ากับโต๊ะ เขียนอักษรอย่างเชื่อฟัง
แม่หนูน้อยมีอุปนิสัยซุกซน นิ่งเฉยไม่ได้แม้เพียงชั่วขณะจิต บัดนี้กลับเป็เช่นนี้ เห็นชัดว่าถูกนายท่านสามลงโทษ
ภายในจวนคงมีเพียงนายท่านสามที่สามารถตัดใจลงโทษหนูน้อยน่ารักปานหยกสลักงดงามคนนี้ลงคอ
เฉียวเยว่นั่งบนเบาะรองขนาดใหญ่ โต๊ะสี่เหลี่ยมตรงหน้ามีพู่กันหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกวางอยู่ครบครัน นางจับพู่กันอย่างตั้งอกตั้งใจ คัดลอกคัมภีร์สามอักษรทีละคำทีละประโยค อาจเป็เพราะจริงจังเกินไป กุญแจหรูอี้ที่แขวนอยู่บนหน้าอกห้อยลงมากระทบกับโต๊ะเล็กเสียงดังกังวาน
เสี่ยวชุ่ยวางตะกร้าหวายลง แล้วเอ่ยเสียงเบา "คุณหนูเจ็ด โรงครัวเตรียมผลไม้กับขนมไว้ให้ คุณหนูกินก่อนสักหน่อยค่อยเขียนต่อเถิดเ้าค่ะ อย่าให้ตนเองเหนื่อยเกินไป"
แม้ว่าอายุน้อย แต่คุณหนูเจ็ดของพวกนางกลับเขียนอักษรได้ดีที่สุดในบรรดาเด็กๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันในจวน ทั้งยังเฉลียวฉลาดเป็ที่สุด
นางกุมพู่กันไม่ขยับ นั่งในท่วงท่าที่ตั้งตรง ตอบเสียงดังฟังชัด "เสี่ยวชุ่ย รอข้าเขียนหน้านี้เสร็จก่อน"
เฉียวเยว่สวมเสื้ออ่าว [1] สีแดงอิงเถา [2] กระโปรงสีเขียวหยกคลุมขาน้อยๆ มีคำกล่าวว่าสีแดงจับคู่สีเขียวดูน่าเกลียด แต่เฉียวเยว่สวมใส่แล้วกลับสวยมาก ยิ่งมองยิ่งดูน่ารัก
หลังจากเขียนเล่มนี้เสร็จ นางก็ยืดเอวอย่างเกียจคร้าน ลุกขึ้นมาล้างมือ ขาสั้นๆ แต่กลับเดินเร็วยิ่งนัก "เสี่ยวชุ่ย วันนี้โรงครัวทำอะไรหรือ?"
ทุกคนในจวนต่างรู้ดี ว่าคุณหนูเจ็ดรักการกินเป็ที่สุด เสี่ยวชุ่ยยิ้มตาหยี "วันนี้ทำรากบัวต้มน้ำตาลกรวด ในนี้ใส่ผลท้อที่คุณหนูชอบด้วย หั่นเป็ชิ้นเล็กๆ ตามที่คุณหนูสั่งเลยเ้าค่ะ”
เสี่ยวชุ่ยกล่าวเสริมอีกว่า "ยังมีขนมไข่... หงส์อะไรสักอย่าง ลี่ลี่เซียง [4] ผลไม้ก็มีอิงเถากับผูเถา [3] เ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี นางเชิดดวงหน้าน้อยขึ้น ล้างมืออย่างจริงจัง "น้ำหมึกเหม็นมาก ต้องล้างให้สะอาดก่อนถึงกินขนมได้"
เสี่ยวชุ่ยนึกถึงถ้อยคำของนายหญิง คิดแล้วจึงโน้มกายลงมา "คุณหนู วันหน้าพวกเราอยู่ให้ห่างจากรัชทายาทกับนายน้อยิ่มากหน่อยดีหรือไม่เ้าคะ? ท่านทำเช่นนี้นายท่านสามกับไท่ไท่เสียใจมาก ดูสิ นายท่านสามถึงกับลงโทษให้ท่านเขียนอักษรเลย"
พอเอ่ยถึงเื่นี้ เฉียวเยว่ก็รู้สึกว่าตนเองเป็ผู้บริสุทธิ์ เมื่อวานิ่จื้อรุ่ยเก็บว่าวน้อยให้นาง นี่เป็เื่ที่ดี เพียงแต่เขามือหนัก ว่าวดีๆ ก็เลยโครงหักเสียหมด
เฉียวเยว่รักว่าวน้อยตัวนี้มาก แต่ตอนนั้นนางต้องทำตัวเป็เด็กน่ารัก จึงมิได้เอ่ยปากแม้แต่ประโยคเดียว ได้แต่แข็งใจอดกลั้นไว้
นางไม่ได้ว่าอันใด แต่ิ่จื่อรุ่ยกลับวิ่งออกไป ตอนเย็นก็นำว่าวตัวใหม่มาชดใช้ให้แก่นาง เฉียวเยว่ย่อมไม่ยอมรับ มีใครเขาบีบบังคับให้ผู้อื่นรับของขวัญกันบ้าง ทั้งสองยื้อกันไปยื้อกันมา ว่าวน้อยก็เลยพังไปอีกตัว
ด้วยเหตุนี้ บิดาถึงตัดสินให้เป็ความผิดของนาง ลงโทษให้คัดอักษร และไม่อนุญาตให้ออกจากเรือน
เฮ่อ ์ช่างน่าสมเพชยิ่ง นางนี่โชคร้ายจริงๆ เห็นกันอยู่ว่านางต่างหากที่เป็ผู้รับเคราะห์
"เสี่ยวชุ่ย เ้าเคยเห็นใครไม่รับของขวัญแล้วถูกกักบริเวณบ้างหรือไม่?"
นางยกชามใบน้อยขึ้นกินคำโต นางต้องเป็แบบนี้ ไม่ว่าเื่ใดก็มิอาจหยุดยั้งการกินของนางได้ ตั้งใจจะบำรุงตนเองให้อ้วนฉุไปเสียเลย
เสี่ยวชุ่ยมองเด็กน้อยตัวอวบอ้วนอย่างพินิจพิจารณา นางอมยิ้มแล้วนั่งลงข้างกาย ก่อนจะลูบศีรษะของเฉียวเยว่กล่าวว่า "แต่นายท่านสามกับไท่ไท่สามปรารถนาให้คุณหนูปรองดองกับนายน้อยิ่ ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยิ่ก็เอ็นดูคุณหนูมาก มักจะมอบ เอ้อ... ของกำนัลให้คุณหนูอยู่เสมอ"
ดวงหน้าซาลาเปาน้อยของเฉียวเยว่ป่องออก จดจ้องเสี่ยวชุ่ยอย่างเดือดดาล "เชอะ งั้นเ้าพูดมา ของกำนัลที่เขามอบให้ ข้าชอบงั้นหรือ? เื่เมื่อก่อนไม่เอ่ยถึง เพราะตอนนั้นข้ายังเล็กจำไม่ได้ เรามาพูดถึงสองปีก่อนดีกว่า ข้าฉลองวันเกิดอย่างเบิกบานยิ่ง เขาส่งตัวหนอนบุ้งให้ข้ากล่องหนึ่ง ใครจะไปชอบของขวัญที่ขยับได้น่าขยะแขยงเยี่ยงนั้น ข้าชอบเพชรนิลจินดา ไม่ได้ชอบหนอนบุ้ง"
พูดจบก็แค่นเสียงหึ ท่าทางน่ารักเสียจนเสี่ยวชุ่ยอดที่จะโอบนางไว้ในอ้อมแขนแล้วลูบปลอบประโลมไม่ได้
เื่นี้นางรู้ พูดตามตรง นางเองก็กลัวของอย่างนั้นเหมือนกัน
"มาพูดถึงปีก่อนบ้าง วันเกิดของข้าเมื่อปีก่อน ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากรับของขวัญจากเขา แต่บิดาก็ไม่พอใจ ได้! ข้ารับ เหอะๆ ของที่เขามอบให้ไม่ใช่หนอนบุ้ง แต่ยกระดับเหนือชั้นยิ่งกว่า เป็งูตัวหนึ่ง! ยังมีหน้ามาบอกข้าว่าเอาไปย่างกินได้"
เฉียวเยว่จ้วงข้าวใส่ปากคำโตๆ อย่างเดือดดาลปานจะพ่นไฟ "แล้วทำไมข้าต้องกินของที่น่ากลัวพรรค์นั้นด้วย?"
เอ่ยมาเช่นนี้ เสี่ยวชุ่ยพลันรู้สึกว่าคุณหนูของนางช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร
นางโอบเฉียวเยว่ไว้ในอ้อมแขน หัวเราะเสียงเบา "คุณหนูของพวกเราช่างน่าสงสารยิ่งนัก ไม่ชอบเขาก็ดีเ้าค่ะ เสี่ยวชุ่ยสนับสนุน!"
เฉียวเยว่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย "ข้าไม่ได้ชังเขาหรอกนะ อย่างไรเสียเขาก็เป็เด็กคนหนึ่ง ข้าไหนเลยจะไปถือสาหาความกับเด็กเยี่ยงเขา แต่ถึงไม่รังเกียจแต่หาได้หมายความว่าต้องชอบ ท่านพ่อต่างหากที่น่าชังที่สุด!"
เสี่ยวชุ่ยหัวเราะออกมา "เช่นนั้นวันหลังพวกเราก็หลบไปเสีย อย่าไปปรากฏตัวต่อหน้าเขา ดีไหมเ้าคะ?"
เฉียวเยว่เปลี่ยนชามใหม่ แล้วกินต่อ "ดี!"
จากนั้นก็ทำปากยื่นบ่นพำพึม "มีแต่การกินเท่านั้นที่บำบัดความกลัดกลุ้มในใจได้"
ซูซานหลางมองก้อนแป้งน้อยที่กำลังกินข้าวอยู่ในห้อง ก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า นึกในใจก่อนหันหลังกลับ เมื่อเห็นชิวฉานหมัวมัวหญิงรับใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าเดินมา ก็ยิ้มกล่าวถามว่า "หมัวมัวมาหาข้าหรือ?
ชิวฉานหมัวมัวตอบ "ใช่แล้วเ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญนายท่านสามไปพบเ้าค่ะ"
ซูซานหลางย่อมทราบว่าเื่อะไร จึงส่ายหน้ายิ้ม "แปดส่วนต้องเป็เื่ทำโทษเฉียวเยว่แน่ๆ หมัวมัวต้องช่วยข้าด้วยเล่า"
หมัวมัวนึกขบขันในใจ แต่ยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างจริงจัง "เกรงว่าจะมิได้ ท่านลงโทษคุณหนูเจ็ดเยี่ยงนี้ บ่าวเป็ข้ารับใช้เห็นแล้วยังปวดใจ ไม่อาจปล่อยให้ท่านทำตามอำเภอใจเป็อันขาด"
ซูซานหลางทอดถอนใจ "ยายหนูเฉียวเยว่ซื้อใจคนเก่งเป็ที่สุด แม้แต่หมัวมัวยังลำเอียงเข้าข้างนาง ข้าล่ะสับสนจริงๆ"
ชิวฉานหมัวมัวหัวเราะออกมา
เมื่อมาถึงเรือนหลัก ก็พบว่าเป็เื่นี้ดังคาด
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจยิ่งกว่าหมัวมัว นางตำหนิเขาโดยตรง "หากข้าไม่เรียก เ้าก็จะไม่โผล่มาเลยใช่หรือไม่"
ซูซานหลางยืนตอบกลับไปว่า "จะเป็ไปได้อย่างไร ท่านแม่ปรักปรำข้าแล้ว ข้าไหนเลยจะทำเยี่ยงนั้นได้"
เขานั่งลงเอง สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาทันที
ฮูหญิงผู้เฒ่าจ้องมองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง "เ้ายังมีหน้ามานั่งอีกหรือ พูดมา เพราะเหตุใดต้องลงโทษเฉียวเยว่ของข้า เด็กน้อยผู้น่าสงสารต้องมาถูกพวกเ้าสองสามีภรรยาจัดการ พวกเ้าไม่รัก แต่ยายแก่เช่นข้ารักนาง วันนี้ให้เฉียวเยว่เก็บข้าวของย้ายมาอยู่เรือนข้า"
ซูซานหลางหาได้คิดเล็กคิดน้อยกับทัศนะในเชิงลบของฮูหยินผู้เฒ่า เพียงแค่ทอยิ้มอ่อนๆ "นี่ท่านแม่กล่าวอันใด หากเฉียวเยว่มาอยู่ที่นี่ จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของท่านกับท่านพ่อเพียงใด ใครบ้างไม่ทราบว่าพวกท่านรักใคร่กันลึกซึ้งยิ่งนัก"
ฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตาใส่เขา "อย่ามาเฉไฉไร้สาระ แล้วก็อย่าเอ่ยถึงสิ่งไม่มีประโยชน์เ่าั้ เ้าพูดมา ครานี้เห็นชัดอยู่ว่าหาใช่ความผิดของเฉียวเยว่ เหตุใดเ้าต้องลงโทษนางเยี่ยงนี้ นางยังเด็ก ควรได้เล่นอย่างสนุกสนาน แต่ดูเ้าทำเขาสิ สั่งขังนางให้อยู่แต่ในห้อง อธิบายมาว่าเพราะเหตุใด!"
แม้คำกล่าวจะสื่อไปในเชิงเค้นถาม แต่แท้จริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ตระหนักรู้อยู่แก่ใจถึงสาเหตุที่ซานหลางเข้มงวดกับเฉียวเยว่เป็พิเศษ ไม่เพียงแค่เื่นี้ ยังมีเื่จุกจิกยิบย่อยอีกมากมายนัก ปรกตินางก็ไม่สะดวกจะเข้าไปก้าวก่ายมากมายนัก แต่ครั้งนี้มันเหลืออดจริงๆ
ตอนแรกนางคิดว่าฉีอิ่งซินจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ดูจากที่นางขอบตาแดงเมื่อเช้า กับการวอนขอให้ซานหลางกลับมาก่อน ก็เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้สาเหตุที่ซานหลางลงโทษเฉียวเยว่
นึกมาถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งโมโห
ซูซานหลางโบกมือไล่สาวใช้ทุกคนออกไป
ฮูหยินผู้เฒ่าถามด้วยความเคลือบแคลง "เ้ามีแผนอะไร?"
ซูซานหลางหัวเราะเบาๆ "ท่านแม่ยังไม่รู้จักเ้าตัวเล็กของพวกเราคนนั้นดีพอ"
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงหึ "ข้าเป็ย่าของนางจะไม่รู้จักเด็กคนนั้นดีพอได้อย่างไร นางเกิดมาเป็คนใจกว้างมองโลกในแง่ดี เ้าส่งคนทำของอร่อยไปให้ ยายหนูก็ลืมความไม่ดีของเ้าหมดแล้ว"
พูดมาถึงตรงนี้ ก็อดหัวเราะขบขันออกมาไม่ได้
ทุกคราที่นึกถึงเฉียวเยว่ก็นึกถึงกระต่ายน้อยถือชามข้าวใบเล็กแล้วกินคำโตๆ ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร
"เ้าทนได้อย่างไร" นางกลอกตาใส่บุตรชาย
ซูซานหลางเอ่ยว่า "ท่านแม่ จริงอยู่เฉียวเยว่มีจิตใจกว้างขวางมองโลกในแง่ดี แต่นางเฉลียวฉลาดเกินไป"
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจว่าเฉลียวฉลาดไม่ดีอย่างไร ผู้อื่นมีลูกน้อยน่ารักเฉลียวฉลาดต่างก็อยากจะพาออกมาโอ้อวดทุกวันด้วยซ้ำ
"ยิ่งไปกว่านั้น เฉียวเยว่ห้าขวบแล้ว ห้าขวบจะว่าโตก็ไม่โต จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ไม่ทราบว่าท่านแม่ยังจำห้าปีก่อนได้หรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าิ่เคยเข้าวังไปทูลขอฝ่าาให้พระราชทานสมรสให้เฉียวเยว่กับรุ่ยเอ๋อร์ เป็เหตุให้ฝ่าาทรงให้ข้าพานางเข้าวัง ตอนนั้นเพราะคำขอร้องของข้า ฝ่าาถึงทรงอ้างว่าเฉียวเยว่ยังเล็กมาก ปฏิเสธฮูหยินผู้เฒ่าิ่ไปอย่างละมุนละม่อม ทว่าครานั้นฝ่าาก็ตรัสว่าเฉียวเยว่เหมาะสมกับรัชทายาท"
ซูซานหลางหยุดที่ตรงนี้
ฮูหยินผู้เฒ่าพลันตระหนก "ฝ่าาเคยตรัสเยี่ยงนี้ด้วยหรือ?"
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ซูซานหลางพยักหน้ากล่าวว่า "ตอนนี้รัชทายาทกับรุ่ยเอ๋อร์ต่างเป็ศิษย์ของข้า และเป็เด็กอายุสิบกว่าขวบ แม้เฉียวเยว่จะเด็กกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ห้าขวบแล้ว ข้าจะวางใจได้อย่างไร ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความคิดอ่านของพวกเขาสองคน แต่ข้าปรารถนาเพียงให้บุตรสาวของตนได้ตบแต่งไปกับคนที่เหมาะสมกับตนเอง นางคือบุตรที่ข้าให้กำเนิด ข้าจะไม่รักได้หรือ? เฉียวเยว่ยิ่งฉลาดเฉลียว ข้าก็ยิ่งกลัว รัชทายาทแม้ว่าจะดี แต่ก็เป็ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ในกาลข้างหน้า เฉียวเย่วของข้าได้เป็ฮองเฮาจะสามารถรักษาความไร้เดียงสาเฉกเช่นนี้ได้อยู่อีกหรือ? พูดถึงรุ่ยเอ๋อร์ เขาย่อมจะดีเช่นกัน แม้ว่าจะนิ่งขรึมพูดน้อยไปบ้าง แต่ก็เป็เด็กดีฉลาดปราดเปรื่อง ทว่าเขามีใจใฝ่ไปทางการฝึกวรยุทธ์ ประกอบกับฮูหยินผู้เฒ่ารักเขาเป็พิเศษ มักให้ท้ายจนเขามีนิสัยดื้อรั้น หากภายหน้าเขาเจริญรอยตามเส้นทางของบิดา แล้วบุตรสาวของข้าจะต้องเดินทางไปชายแดนด้วยหรือ? เอ้า ถึงแม้ว่าไม่ไปรั้งอยู่ที่เมืองหลวง จะแตกต่างอันใดกับหญิงม่ายร้างสามีเล่า"
ซูซานหลางพูดด้วยความรู้สึกจากใจ "ท่านแม่ บุตรทั้งสามคนของข้า ข้าไม่วอนขอเงินทองยศศักดิ์มากมาย จวนซู่เฉิงโหวของพวกเราขาดแคลนสิ่งเหล่านี้เสียที่ไหน ข้าเพียงปรารถนาให้เฉียวเยว่ของข้ามีความสุข สงบร่มเย็น ไร้ทุกข์กังวลชั่วชีวิต ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้นางไปปรากฏตัวต่อหน้าของพวกเขา"
ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งไปชั่วขณะ นางเข้าใจความหมายของซูซานหลาง ก่อนจะเอ่ยว่า "เ้าทำเช่นนี้ เฉียวเยว่ไหนเลยจะเข้าใจ"
ซูซานหลางหัวเราะ "ดังนั้นจึงต้องลงโทษจนกว่านางจะเข้าใจขอรับ"
...
[1] เสื้ออ่าว เป็เสื้อตัวนอกสำหรับหน้าหนาว แขนเสื้อกว้างแล้วสอบเข้าตรงข้อมือ สวมด้วยวิธีใช้สาบเสื้อทับกันหรือผ่าหน้ากลัดกระดุม
[2] สีแดงอิงเถา หมายถึง สีแดงเชอร์รี
[3] ผูเถา หมายถึง องุ่น
[4] ลี่ลี่เซียง หมายถึงผัดธัญพืชห้าอย่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้