ณ ชายแดนเมืองเหนือ เหล่าทหารกำลังเดินถืออาวุธลาดตระเวนอย่างยากลำบาก เนื่องจากฤดูหนาวของแดนเหนือนั้นขึ้นชื่อว่าอากาศหนาวจัด
แม้มือแกร่งของพวกเขานั้นจะสั่นคลอนต่อลมหนาวไปบ้าง แต่ดาบและอาวุธที่อยู่ในมือถูกกำอย่างแ่า ด้วย้าทำหน้าที่ปกป้องดินแดนให้ดีที่สุด ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือพวกเขานั้นเกรงกลัวผู้บังคับบัญชาของพวกเขามากต่างหาก
วันนี้ใบหน้าของหวังจิ่นหรงก็ยังคงเรียบเฉยเ็าเฉกเช่นทุกวัน แต่ทว่าหากสังเกตุให้ดี ั้แ่ตอนที่เขาออกจากการประชุมลับที่หอคณิกาวันนั้น ใบหน้าและอารมณ์ของท่านโหวหนุ่มกลับยิ่งดูครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านโหวโปรดเมตตาด้วย ข้ายกหินก้อนนี้มาร่วมครึ่งชั่วยามแล้วนะขอรับ...”
นายทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ด้วย้าขอความเห็นใจจากผู้เป็นายเนื่องจากตัวเขานั้นมาเข้าเวรสายไปครึ่งเค่อ สุดท้ายจึงจบด้วยการถูกท่านโหวทำโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เ้ายังยกหินก้อนนี้ไม่ครบหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ กล้ามาขอความเมตตาจากข้าเช่นนั้นหรือ?”
หวังจิ่นหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า ดวงตาคมกริบจ้องมองนายทหารที่อ่อนล้าจนแทบล้มลง
"ยกต่อไป! ข้าไม่สนว่าเ้าจะเหนื่อยเพียงใด แต่หากข้าปล่อยให้ความผิดเช่นนี้ผ่านไปง่ายๆ คนอื่นในกองจะคิดเช่นไร?"
ระหว่างนั้นหานชิงก็ก้าวเข้ามาอยู่ด้านข้างของหวังจิ่นหรงพร้อมกับกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเขา ทันทีที่สาส์นจากมือขวาถูกถ่ายทอดไปยังผู้เป็นาย แววตาสีทองที่แข็งกร้าวกลับโอนอ่อนอย่างรวดเร็ว
“ลู่เอ๋อร์...”
ั้แ่วันที่ไป๋ลู่เห็นหวังจิ่นหรงเดินออกมาจากหอคณิกา นางและหวังจินลงก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายหนึ่งฉบับเพียงเท่านั้น
ฮูหยิน ข้าขอฝากจวนนี้ไว้ในความดูแลของเ้า หากเกิดสิ่งใดขึ้น เ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากองค์รักษ์ หรือส่งจดหมายมาหาข้าได้ทุกเมื่อ
แม้ข้อความในจดหมายจะดูเหมือนว่าหวังจิ่นหรงมอบความไว้วางใจให้นาง แต่ในสายตาของไป๋ลู่แล้วกลับรู้สึกไปว่ามันเป็คำพูดที่ส่งมาให้พ้นหน้าที่ไปอย่างนั้น ไม่ได้มีความห่วงใยหรือใส่ใจกันแต่อย่างใด
การพึ่งพาใครนั้นไม่เคยอยู่ในวิสัยของไป๋ลู่ เพราะอดีตนั้นได้หล่อหลอมให้หญิงสาวกลายเป็คนที่ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง ไม่เคยคาดหวังขอความช่วยเหลือจากใคร
แม้สถานะของไป๋ลู่จะเปลี่ยนไป แต่าแในจิตใจยังคงอยู่ ความไม่ไว้ใจในผู้คนยังคงกัดกร่อนหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ฮูหยินเ้าค่ะ ท่านชงชาเข้มเกินไปแล้วนะเ้าคะ ท่านดูเหม่อลอยมาหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่ามีเื่ใดที่ผิงผิงพอจะช่วยแบ่งเบาได้หรือไม่เ้าคะ บ่าวเป็ห่วงท่านเหลือเกิน“
ผิงผิงอดเป็ห่วงนายหญิงของตนไม่ได้ ั้แ่กลับจากการออกไปสำรวจโรงน้ำชา ท่าทีของฮูหยินก็เปลี่ยนไปมาก เหมือนกับว่านางกำลังมีเื่ไม่สบายใจอย่างไรอย่างนั้น
“นั่นสิ ข้าเป็อะไรไป?”
หลายวันมานี้ ไม่ว่าจะทำเครื่องดื่มชนิดใด หรือชงชาสูตรไหน ไป๋ลู่ก็ไม่อาจทำได้อย่างตั้งใจเหมือนเดิม รสชาติที่เคยเป็เอกลักษณ์กลับจืดจางลงจนแม้แต่นางเองยังไม่พอใจ
"นี่ข้าเป็อะไรไปกันแน่? จะให้ตรอมใจเพียงเพราะเห็นท่านโหวไปหอคณิกางั้นหรือ?"
ไป๋ลู่พึมพำกับตัวเอง พลางขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะพยายามทบทวนความรู้สึก แต่ก็ยังไม่อาจไขกระจ่างในใจให้กับตนเองได้เลย
เหมันต์ฤดูของเมืองเหนือนั้นหนาวเย็นมาก จนน้ำในสระของจวนกลายเป็น้ำแข็ง วันนี้ไป๋ลู่มาในอาภรณ์ที่หนากว่าปกติ สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนาถูกผิงผิงสวมใส่ให้เป็อย่างดี
ในโรงครัว ไป๋ลู่ที่คิดฟุ้งซ่านมานานหลายวัน จึงตัดสินใจหาอะไรทำแก้เบื่อ นางให้คนงานทำลังไม้เล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมสำหรับใส่น้ำ
เมื่อเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจึงเทน้ำใส่ลงในลังไม้และนำไปวางทิ้งไว้ค้างคืน ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น น้ำที่อยู่ในลังค่อยๆ กลายสภาพเป็น้ำแข็งในเช้าวันถัดมา
“ผิงผิง วันนี้ข้าออกไปข้างนอกจวนสักหน่อย พอดีว่าข้า้าทำเครื่องมือชนิดหนึ่ง เ้าพอจะรู้จักช่างไม้บ้างไหม?”
“ช่างไม้หรือเ้าคะ?”
ผิงผิงเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย สตรีสูงศักดิ์อย่างนางจะมีธุระอันใดกับช่างไม้กัน
“ใช่แล้ว พอดีข้าอยากหาช่างไม้เพื่อประดิษฐ์เครื่องมือบางอย่างให้กับข้าน่ะ”
“เครื่องมือ?”
“นี่ไง! ข้าใช้เวลาทั้งคืนวาดแบบเครื่องมือนี้ขึ้นมา อยากนำไปให้ช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในแดนเหนือช่วยทำมันให้กับข้า”
ผิงผิงจึงต้องพาฮูหยินของนางไปหาช่างไม้ชื่อดังประจำเมืองหลิงเสวี่ยตามคำขอ
“ช่างหลี่ ข้ามีเื่อยากขอให้ท่านช่วยหน่อย”
ไป๋ลู่เอ่ยออกมาพร้อมกับยื่นแผ่นกระดาษที่มีภาพวาดเครื่องมือแปลกประหลาดให้กับเขา
ช่างหลี่รับกระดาษมาด้วยความงุนงง เขาเพ่งมองมันครู่หนึ่ง
“ดูจากรูปภาพของฮูหยินแล้ว ตัวข้าน่ะพอจะทำได้ แต่ขอถามสักหน่อยได้ไหม สิ่งนี้มันเรียกว่าอะไรหรือขอรับ?”
“อ๋อ ข้าเรียกมันว่าเครื่องทำน้ำแข็งใส”
“น้ำแข็งใส?”
ช่างหลี่และผิงผิงพูดพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ั้แ่เกิดมาพวกเขายังไม่เคยเห็นใคร้าสร้างเครื่องมือสำหรับตัดน้ำแข็งมาก่อน
“ใช่แล้ว! ข้าตั้งใจตั้งชื่อมันว่าเครื่องทำน้ำแข็งใส ข้าจะใช้น้ำแข็งที่ทำจากเครื่องมือนี้สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มใหม่ๆ ขึ้นมา”
“เมนู? ฮูหยินพูดอะไรแปลกๆ อีกแล้วนะเ้าคะ”
ผิงผิงพูดพลางส่ายหน้าเบาๆ หรือว่าอากาศจะหนาวจัดจนทำให้เ้านายของตนไม่สบายกัน?
“พวกเ้ารอดูผลงานของข้าเถอะ!”
ไป๋ลู่ตอบกลับอย่างมั่นอกมั่นใจเป็อย่างมาก กลับไปถึงจวนเมื่อไหร่เห็นทีว่าจะต้องกลับไปเขียนสูตรน้ำหวานสำหรับราดลงบนน้ำแข็งใสเสียแล้ว
ช่างหลี่ที่ฟังอยู่เงียบๆ พลันยิ้มออกมา เขาไม่เคยเห็นฮูหยินจวนไหนที่เป็กันเองเช่นนี้มาก่อน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะทำให้สุดฝีมือเ้าขอรับ ขอเวลาอีกสักสองสามวัน”
“ขอบใจท่านมากนะ ช่างหลี่”
ไป๋ลู่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใส ดวงตาสีเทาของนางฉายแววขอบคุณอย่างจริงใจ
ข้าจะเปลี่ยนสิ่งธรรมดาในยุคของข้าให้กลายเป็สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจของยุคนี้ พวกเ้าจะได้เห็นว่าสิ่งที่ข้าคิดไม่ใช่เื่เพ้อฝันแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าผิงผิงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ไป๋ลู่พูดทั้งหมด แต่ก็รับฟังและตั้งมั่นว่าจะติดตามผู้เป็นายของนางไปทุกหนแห่ง ด้วยความเชื่อใจที่เต็มเปี่ยม
ในที่สุดเครื่องทำน้ำแข็งใสก็มาส่งที่จวนของท่านโหว ไป๋ลู่รีบให้คนยกเข้ามาในโรงครัวอย่างรวดเร็วเพราะตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็อย่างมาก
ดอกบัวแห้ง น้ำตาลกรวด กลีบดอกกุหลาบแห้ง และน้ำแข็งที่ถูกบดจนละเอียดเป็เกล็ดใส ถูกนำมาใช้เป็วัตถุดิบในครั้งนี้
นอกจากน้ำแข็งใสแล้ว ไป๋ลู่ยังทดลองดัดแปลงการชงชาแบบร้อนดั้งเดิมให้กลายเป็ชาเย็น นางเริ่มจากการชงชาเข้มข้นแล้วนำน้ำแข็งบดละเอียดเติมลงไปในถ้วย จากนั้นจึงเติมนมวัวสดที่เพิ่งคั้นใหม่ พร้อมโรยน้ำตาลกรวดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอมหวานอย่างกลมกล่อม
ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องดื่มที่ทั้งเย็นสดชื่นและหอมหวานอย่างลงตัว จนคนในจวนที่ได้ลิ้มลองต่างพากันประหลาดใจในรสชาติที่แปลกใหม่และน่าประทับใจนี้เป็อย่างมาก
แม้อากาศจะหนาวเย็นมากเพียงใด แต่ขอให้ได้จิบชาเย็นนี้เพียงแค่นิดเดียวก็ทำให้พวกเขารู้สึกกระปี้กระเป่ายิ่งนัก
ในขณะที่ฮูหยินไป๋ลู่และบ่าวไพร่กำลังสนุกสนานกับการทดลองเครื่องดื่มใหม่และน้ำแข็งใสอยู่นั่นเอง ทหารองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูจวนก็รีบเดินเข้ามา
“ฮูหยินขอรับ...” ทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงรีบร้อน
“ตอนนี้มีชาวบ้านมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าจวนของท่านโหว เห็นว่าท่านเ้าเมืองไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ พวกเขาจึงตัดสินใจมาหาท่านโหว แต่”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ...
“ตอนนี้ท่านโหวออกไปลาดตระเวนชายแดน เกรงว่า”
ไป๋ลู่วางถ้วยน้ำแข็งใสในมือลง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้กับพลทหารผู้นั้น
“ข้ารู้แล้ว ฝากเ้าไปแจ้งชาวบ้านด้วยว่าข้าจะออกไปพบพวกเขาในไม่ช้า”
ไป๋ลู่กล่าวจบก็หยิบเสื้อคลุมหนาตัวหนึ่งขึ้นมาสวม
“ฮูหยินเ้าคะ” ผิงผิงรีบเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อคลุมอีกตัวในมือ
“ท่านใส่ตัวนี้ดีกว่าเ้าค่ะ ที่จริงแล้ว ท่านโหวสั่งให้ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง”
“ท่านโหวอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัย ขณะที่ดวงตาสีเทาของนางจับจ้องเสื้อคลุมในมือของผิงผิง
“สั่งให้เตรียมเสื้อกันหนาวไว้ให้ข้า?”
นางพูดซ้ำราวกับไม่อยากเชื่อ ดวงตาฉายแววลังเล
“คนเ็าอย่างหวังจิ่นหรง จะใส่ใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้