คนสกุลจางกลัวว่าจะรบกวนบ้านหลี่ จึงออกปากว่าจะกลับแล้ว แต่คนบ้านหลี่จะยอมได้อย่างไร จึงรั้งพวกเขาไว้ให้อยู่ทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
จางซิ่วไฉเห็นว่าหม่าซื่อหันไปพยักหน้าให้จ้าวซื่อตกลงจะอยู่ทานอาหารด้วย ดูทีท่าว่าในใจของหม่าซื่อจะยอมรับการแต่งงานครานี้แล้ว เขาจึงรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมายกใหญ่ กลางวันก็ยังดื่มสุรากับหลี่ซานเสียอีก ตอนจะกลับก็บอกกับคนสกุลหลี่ว่า “พวกเรามาขอรับการรักษาแท้ๆ ปรากฏว่าพวกเรากลับทั้งกินทั้งดื่ม ขากลับยังเอาของกลับเรือนไปอีก”
คนสกุลหลี่พากันยิ้มแย้มเบิกบานบอกกับคนสกุลจางว่า “ยินดีต้อนรับให้พวกท่านมาได้บ่อยๆ”
เมื่อครั้งจัดงานเลี้ยงครบเดือน หลี่ซานเห็นว่าจางซิ่วไฉยังคงถือตัวอยู่มาก แต่ครานี้ถึงกับชนแก้วร่วมดื่มสุรา มีท่าทีผ่อนคลายลงมาก
สิ่งที่น่าดีใจที่สุดก็คือ เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่ได้รับความสำคัญจากอาจารย์ ทั้งที่ในสำนักเล่าเรียนมีศิษย์ตั้งมากมาย แต่คนที่จะได้รับการยอมรับจากจางซิ่วไฉกลับมีอยู่ไม่กี่คน
โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้จางซิ่วไฉบอกกับพวกเขาว่า จะไปหาข้อสอบที่ใช้สอบเข้าสำนักศึกษาเป่ยซานในปีก่อนๆ มาให้ เื่นี้ทำให้พวกเขายิ่งตื่นเต้นดีใจกันใหญ่
จางซิ่วไฉรอจนกลับมาถึงบ้าน และเข้าไปในห้องนอน จึงถามหม่าซื่อด้วยท่าทียินดีปรีดาว่า “เป็อย่างไรบ้าง”
หม่าซื่อเอ่ยช้าๆ ว่า “ก็พอได้”
จางซิ่วไฉพูดอย่างภูมิใจว่า “แค่พอได้หรอกหรือ ศิษย์ข้าทั้งสี่คนล้วนดีๆ ทั้งนั้น”
หม่าซื่อเอ่ยเบาๆ ว่า “หลี่ฝูคังที่ท่านว่านั้นหน้าตาไม่เลว แต่เขาขี้เล่นไปสักหน่อย เกรงว่าจะไม่สุขุมหนักแน่น”
“ปีนี้ฝูคังเพิ่งจะอายุเท่าใด แค่สิบสามเท่านั้น เ้าอยากให้เขาสุขุมเช่นข้าย่อมเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้”
หม่าซื่อย้อนถามว่า “ท่านนี่สุขุมแล้วหรือ”
“ข้าต้องสุขุมอยู่แล้ว!”
“ท่านไม่มีทางสุขุมเท่าพี่ชายข้าหรอก”
“ใช่ เ้าพูดถูก ข้าไม่สุขุมเท่าพวกเขา” จางซิ่วไฉหมดคำพูดที่สุดแล้วเมื่อหม่าซื่อเอาเขาไปเปรียบเทียบกับพี่ชายทั้งสามคนของนาง “ก็ผู้ใดให้ภรรยาที่ข้าแต่งด้วยดีกว่าภรรยาของพวกเขาเล่า ข้าจึงไม่จำเป็ต้องสุขุมอันใด”
หม่าซื่อถูกชมก็ยิ้มจนหน้าแดงไปหมด
จางซิ่วไฉประคองหม่าซื่อขึ้นบนเตียง กลางวันแสกๆ เช่นนี้ย่อมทำได้แค่นอนพักกลางวันเท่านั้น ไม่บ่อยครั้งนักที่ไม่ต้องสอนหนังสือ และก็ใกล้ปีใหม่แล้วย่อมต้องพักผ่อนให้สบาย
หม่าซื่อยังคงคิดเื่หมั้นหมายของบุตรสาว จึงถามขึ้นว่า “ท่านคิดว่าหลี่ฝูคังจะสอบเข้าสำนักศึกษาเป่ยซานได้หรือไม่”
“ได้สิ” จางซิ่วไฉเอ่ยทั้งที่หลับตาคล้ายจะหลับแต่ก็ยังไม่หลับ “พวกเขาไปหาอาจารย์อีกคนที่เป็จวี่เหริน เขาผู้นี้ไม่ธรรมดา เป็ถึงลูกหลานสายตรงของตระกูลเจียงแห่งสู่ตี้ ได้คนเช่นนี้เป็อาจารย์ ต่อให้ในหัวของพวกเขามีแต่ฟาง ก็ต้องสอบเข้าสำนักศึกษาได้แน่นอน”
หม่าซื่อเพิ่งเคยได้ยินจางซิ่วไฉเอ่ยถึงเื่นี้เป็ครั้งแรก จึงตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “เหตุใดคนสกุลหลี่จึงไปเกี่ยวข้องกับ จวี่เหรินได้?”
“หมอเทวดาน้อยรักษาบ่าวชราของจวี่เหรินผู้นั้นจนหาย เขารู้สึกซาบซึ้งจึงตกลงสอนสั่งศิษย์ทั้งสี่คนของข้า” จางซิ่วไฉพลิกตัว “เอาไว้พอหลี่ซานมาไหว้ปีใหม่พวกเรา ข้าก็จะบอกเขาเป็นัยๆ ให้เขามาหมั้นหมายกับบ้านเรา”
หม่าซื่อผลักไหล่ของจางซิ่วไฉคราวหนึ่ง เอ็ดไปว่า “ยังต้องรอให้หลี่ฝูคังสอบเข้าสำนักศึกษาเป่ยซานให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
จางซิ่วไฉรีบเอ่ยยืนกรานขึ้นทันใด “ไม่ได้ เื่นี้ปล่อยไว้นานไม่ได้”
“ถ้าเผื่อหลี่ฝูคัง สอบไม่ได้เล่า?
“ไม่มีถ้าเผื่อ”
“จะไม่มีถ้าเผื่อได้อย่างไร”
สิ่งที่ตอบกลับหม่าซื่อมาก็คือ เสียงกรนของจางซิ่วไฉ
แต่หม่าซื่อกลับไม่ได้โกรธ เพราะทั้งคุณสมบัติ การอบรมสั่งสอนและเื่อื่นๆ ของสกุลหลี่ล้วนดีกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก พูดกันตามตรงก็คือ หลี่ฝูคังดูมีอนาคตมากกว่าหลานชายของนาง
นางนึกถึงประโยคหนึ่งที่สามีมักจะพูดว่า อย่าดูแคลนเด็กหนุ่มยากจน
ถ้าหลี่ฝูคังสามารถสอบเข้าสำนักศึกษาเป่ยซาน และสอบได้จวี่เหรินก็คงจะดี
เวลานี้หม่าซื่อแค่หวังเพียงว่า วันหน้าหลี่ฝูคังจะได้เป็ซิ่วไฉเหมือนกับจางซิ่วไฉ แต่นางยังไม่กล้าหวังถึงขั้นที่เขาจะได้เป็จวี่เหรินหรือบัณฑิตชั้นสูง
เื่ใดที่จางซิ่วไฉตัดสินใจแล้ว หม่าซื่อล้วนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
หม่าซื่อกลัวว่าบุตรสาวจะไม่ยินยอม หลังทานอาหารเย็นจึงเรียกบุตรสาวเข้ามาหา แม่ลูกนั่งสนทนากันเพียงสองคน
จางอวิ๋นอายจนหน้าแดง ก้มหน้าบอกว่า “ท่านแม่ที่แท้วันนี้ท่านไม่ได้จะไปรับการรักษาที่บ้านสกุลหลี่ แต่ไปดูหลี่ฝูคังให้ข้าหรอกหรือ”
“ก็ไปรักษาด้วย ไปดูด้วย เ้าคิดว่าหลี่ฝูคังเป็เช่นใด”
จางอวิ๋นตอบเสียงแ่เบา “เื่หมั้นหมายของข้าแล้วแต่ท่านพ่อท่านแม่ตัดสินใจเ้าค่ะ”
หม่าซื่อเห็นสีหน้าของบุตรสาวเรียบเฉย จึงเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “นี่เ้าเห็นด้วยหรือไม่กันแน่”
จางอวิ๋นพยักหน้าช้าๆ
หม่าซื่อถอนใจเบาๆ “สตรีต้องแต่งกับคนสูงชั้นกว่า เมื่อเ้าแต่งเข้าสกุลหลี่ ก็จะเท่ากับต่ำชั้นกว่า” คนเป็แม่ล้วนหวังว่า บุตรสาวจะได้แต่งงานดีๆ เมื่อเข้าไปอยู่บ้านแม่สามีแล้วไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องถูกรังแก หม่าซื่อเป็สตรีธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง ความคิดของนางก็เป็ดังนั้นเช่นกัน
จางอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาหวาดหวั่นแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ด้วยสภาพของข้า… จะได้แต่งงานกับผู้ที่สูงชั้นกว่าได้อย่างไรเ้าคะ”
สีหน้าของหม่าซื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เข้าไปโอบไหล่จางอวิ๋น เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกผิดว่า “ลูกแม่ ล้วนเป็เพราะแม่ไม่ดี แม่ไม่คลอดเ้าให้ดี แม่ทำให้เ้าต้องเป็เช่นนี้”
“จะโทษท่านได้อย่างไร ข้าไม่เคยคิดโทษท่าน ข้าแค่ไม่อยากคิดมาก นี่เป็ชะตาของข้าเองเ้าค่ะ” ในหัวของจางอวิ๋นมีภาพใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กหนุ่มแสนหล่อเหลาปรากฏขึ้นมา หากได้แต่งงานกับเขาแล้วเขาได้มาพบความลับของนาง จะต้องรังเกียจนางเป็แน่ ถึงยามนั้นเขาก็คงจะไม่ยิ้มให้ตนอีกแล้วกระมัง?
หม่าซื่อลูบไล้ใบหน้าที่ขาวนวลของจางอวิ๋น หากผิวกายของนางเป็เช่นนี้ก็คงดี จึงอดที่จะมีแววตาสงสารไม่ได้ หม่าซื่อถอนใจเบาๆ คราวหนึ่ง “เอาเถิด เ้าก็แต่งกับหลี่ฝูคัง เขาเป็ศิษย์ของพ่อเ้า ชั้นตระกูลของสกุลหลี่ต่ำกว่าบ้านเรา เมื่อเ้าแต่งเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็จะไม่กล้าทำไม่ดีกับเ้า
จางอวิ๋นคิดในใจว่า ขอให้เป็ดังนั้นเถิด
วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสอง แสงแดดในเหมันตฤดูสาดส่องมายังเมืองเยี่ยนอันแสนโบราณ ป่าไม้สองข้างถนนหลวงที่นอกประตูเมืองทางทิศเหนือกลายเป็ตลาดก่อนสิ้นปี
นี่เป็เวลาเที่ยงตรง ชาวบ้านในรัศมีหลายสิบลี้ล้วนพากันมาซื้อขายสินค้าสำหรับปีใหม่กันที่นี่ ผู้คนเนืองแน่นไปหมด ครึกครื้นเป็ที่สุด
เกวียนเทียมด้วยล่อของบ้านสวี่ไม่เป็ที่สะดุดตาแต่อย่างใดเมื่อมาอยู่ที่นี่ แต่ทั้งเต้าหู้ เต้าหู้แห้ง และฟองเต้าหูที่คนสวี่ขายกลับขายดีกว่าใครๆ
ผู้คนยังคงรุมกันเข้ามาแย่งซื้อของที่ทำจากถั่วเหลืองเหมือนเมื่อหลายวันก่อน แม้แต่สนับเข่าของอู่โก่วจื่อก็ยังขายดีขึ้นมาด้วย
ผู้คนทำเลียนแบบกันเก่งมากและหวังจะร่ำรวยกันมากด้วย หลี่หรูอี้ให้อู่โก่วจื่อคิดทำสนับเข่า พอขายที่เมืองเยี่ยนเพียงไม่กี่วัน ก็มีคนทำออกมาขายบ้าง ไม่ว่าจะเป็ผ้าหรือแบบก็เหมือนกันทุกประการ แต่ราคากลับต่ำกว่าเล็กน้อย
การค้าสนับเข่าของอู่โก่วจื่อจึงถูกแย่งลูกค้าไปจำนวนมาก
แต่คนในเมืองเยี่ยนก็มีมากมาย และมีความ้าสินค้าสูง สนับเข่าจึงยังคงขายได้อยู่
ใกล้จะถึงเวลาเที่ยง สินค้าของบ้านสวี่ก็ขายจนหมดแล้ว อู่โก่วจื่อขึ้นเกวียนล่อลากด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
เอ้อร์โก่วจื่อรีบขับเกวียนกลับ นานๆ ครั้งสวี่เจิ้งจะได้นั่งพักหลับบนเกวียนล่อ “สนับเข่าหนึ่งพันอันขายหมดเกลี้ยงแล้วหรือ”
“ขายเกลี้ยงแล้วเ้าค่ะ”
“วันพรุ่งนี้ข้ากับพี่รองของเ้าไม่ขายเต้าหู้ เ้าจะมาขายสนับเข่าที่เมืองเยี่ยนหรือไม่”
“ไม่มาแล้วเ้าค่ะ” รอยยิ้มของอู่โก่วจื่อหายไป เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโอดครวญแทนว่า “เมื่อครู่พี่รองของข้าไปเดินดูจนทั่วแล้ว มีสิบร้านที่ขายสนับเข่า และเหมือนกับของที่ข้าขายไม่ผิดเพี้ยน พรุ่งนี้คาดว่าคนขายสนับเข่าก็จะยิ่งมีมากขึ้น”
ซื่อโก่วจื่อพูดอย่างไม่พอใจว่า “หรูอี้อุตส่าห์ช่วยคิดหาวิธีอย่างยากเย็นให้พวกเราหาเงินได้ คนพวกนั้นไม่ได้คิดสิ่งใดทั้งสิ้น แค่ซื้อสนับเข่าของบ้านเรากลับไปแกะออกก็รู้แล้วว่าทำอย่างไร”
สวี่เจิ้งรู้สึกปลงกล่าวว่า “อย่างไรก็ขายเต้าหู้ดีกว่า คนอื่นทำเต้าหู้เลียนแบบไม่ได้”
ครู่หนึ่งจากนั้นอู่โก่วจื่อก็พูดขึ้นว่า “หรูอี้บอกกับข้าไว้แล้วว่า การค้าขายครั้งนี้คงขายไม่ได้สักกี่วัน แต่รวมๆ แล้วข้าขายของไปสิบกว่าวัน ได้เงินมาตั้งมากมาย ข้าก็พอใจแล้ว”
สวี่เจิ้งถามด้วยความสงสัยว่า “วันนี้ได้เงินมาเท่าใด”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้