แน่นอนว่าหลินฟู่อินอนุญาต เพราะนี่เป็เื่ที่นางฝากฝังให้สองพี่น้องจัดการไปแล้ว ดังนั้นนางจะไม่ออกความเห็นเื่คนที่ไปหามา
หากสถานการณ์ไม่แย่จริงๆ นางจะไม่เข้าไปยุ่ง
“ได้ พี่เฟินกลับไปคุยกับพวกนางเถอะ” หลินฟู่อินกล่าวจบก็นึกถึงสายตาที่เฟิงซื่อมองนางก่อนกลับมาจากหมู่บ้านหูลู่ นางจึงโบกมือเรียกหลินเฟินอีกครั้ง “พี่เฟิน ไหนๆ ก็จะกลับไปที่นั่นแล้ว ก็กลับไปเยี่ยมป้ารองด้วยนะเ้าคะ”
เมื่อหลินเฟินเห็นหลินฟู่อินกล่าวถึงเฟิงซื่อแล้ว หน้านางจึงตึงไป ปากพะงาบไม่หยุดเพราะหาคำพูดไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจออกมา
แล้วนางจึงพยักหน้า “ฟู่อินไม่ต้องกังวล ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินฟู่อินไม่กล่าวอะไรอีก แล้วพี่น้องทั้งสามจึงนั่งทานอาหารกันไปเงียบๆ
สองวันให้หลัง ร้านได้รับการเตรียมการจนเสร็จสิ้นแล้ว หลินเฟินเองก็พาพนักงานทั้งสามคนมารับผิดชอบถั่วทอด ถั่วลิสงต้มน้ำเกลือ และถั่วปากอ้าปรุงรส ซึ่งต่างก็ทำได้เป็อย่างดีด้วย นางจึงพร้อมเปิดร้านแล้ว
ปริมาณของขายที่เตรียมไว้นั้นไม่ได้น้อย แต่โชคดีที่หลิวฉินและเถ้าแก่หลิวช่วยโฆษณาไว้ให้แล้ว จึงขายหมดได้อย่างรวดเร็ว
หลินฟู่อินคิดว่ามีถั่วให้เลือกแค่สามอย่างเช่นนี้มันน้อยไป จึงให้เพิ่มถั่วห้ารส เมล็ดแตงโม เมล็ดแตงโมเคลือบน้ำตาล และของกินเล่นอื่นๆ เข้าไปด้วย จึงดึงความสนใจจากผู้คนได้เป็อย่างมาก
มันได้รับกระแสตอบรับเป็อย่างดี จนถึงขั้นที่มีตระกูลใหญ่บางตระกูลมาต่อรองว่าให้ส่งไปที่เรือนของพวกตนเดือนละกี่จินกันเลยทีเดียว
แม้พวกตระกูลใหญ่เหล่านี้จะไม่ได้สั่งไปทีละมากๆ แต่สั่งบ่อย หลินฟู่อินจึงตั้งใจคัดเลือกขนมส่วนที่ใหญ่กว่าและดูดีกว่าให้เพื่อขายให้พวกเขาเหล่านี้โดยเฉพาะ แน่นอนว่าราคาต่างกับที่ขายให้ประชาชนทั่วไป
นอกจากกิจการขนมจะไปได้สวยแล้ว แป้งโม่กุ้ยเฝิ่นเองก็ไปได้สวยมากเช่นกัน
เป็ไปตามที่แม่นางฉินคาดการณ์เอาไว้ หลังจากที่ภรรยาเ่าั้นำแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นไปเผยแพร่แล้ว ร้านของแม่นางฉินก็มีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสายเพื่อมาซื้อแป้งโม่กุ้ยเฝิ่น
มีหลายคนที่ซื้อไปนับสิบตลับในคราวเดียว รวมไปถึงวังฮูหยินผู้จ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อกลับไปทีเดียวนับร้อยตลับด้วย
โชคดีที่หลินฟู่อินทำเตรียมไว้ถึงยี่สิบขวดแล้ว มิเช่นนั้นอาจจะไม่พอจริงๆ
แต่แป้งโม่กุ้ยเฝิ่นเกือบสองพันตลับนี้ก็คงจะพออยู่ได้ใน่ที่หลินฟู่อินออกจากเมืองและไม่ได้ผลิตเพิ่ม
ไม่กี่วันต่อมา หลินฟู่อินได้ตอบรับคำเชิญของซ่งฮูหยิน แล้วเดินทางไปเข้าร่วม ‘พิธีสรงสาม’ ในวันที่เก้านับจากวันที่หลานชายของซ่งฮูหยินได้เกิดขึ้นมา
แต่ในวันก่อน ‘พิธีสรงสาม’ นี้ นางกลับได้รับจดหมายแจ้งว่ามีรถม้าไม่พอ ดังนั้นให้หารถม้าเพื่อเดินทางไปถึงที่เอง
เป็ถึงภรรยาของเ้าเมืองแต่กลับกลับคำตัวเองอย่างนั้นหรือ ฮึ หลินฟู่อินยิ้มอย่างเสียดสี แต่อย่างไรนางก็ยังจะไปที่เมืองหนิงอยู่ดี แต่ไปเพื่อหาเมล็ดมะลิ
หลินฟู่อินและหลี่อี้จึงขึ้นรถม้าไปกับวังฮูหยินเพื่อมุ่งหน้าไปยังงาน
เมื่อถึงวัน คนถือถาดก็ได้ออกมารับทรัพย์สินจากผู้ร่วมงานตามปกติ แต่ทรัพย์สินที่เก็บมาได้กลับไม่ได้ถูกนำมามอบให้หลินฟู่อิน
วังฮูหยินรู้ว่าหลินฟู่อินเป็คนทำคลอดให้สะใภ้สกุลซ่ง เมื่อนางเห็นซ่งฮูหยินทำเช่นนี้แล้วนางจึงอึ้งไป
นางคิดไม่ถึงว่าสกุลใหญ่ระดับนี้จะมีความเคร่งครัดต่อกฎระเบียบน้อยเสียยิ่งกว่าตระกูลผู้มีเงินตามปกติเช่นนางเสียอีก…
หลินฟู่อินเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะตัวนางในตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจเงินเล็กๆ น้อยๆ แล้ว แม้เงินในถาดนั้นจะพอตีค่าออกมาได้ร่วมหนึ่งพันแปดร้อยตำลึงเงินก็ตาม แต่นางก็ขอไม่ยุ่งกับคนเช่นซ่งฮูหยินจะดีกว่า
ทว่าซ่งฮูหยินกลับทำทีราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แล้วขอให้หลินฟู่อินไปพบกับบุตรสาวผู้เพิ่งสมรสไปในปีนี้
วังฮูหยินไม่รู้จักนิสัยของซ่งฮูหยินนัก และแม้นางจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปขัดขาอะไรซ่งฮูหยินได้ แต่เมื่อนางเห็นว่าซ่งฮูหยินเชิญหลินฟู่อินเข้าไปด้านในแล้ว วังฮูหยินจึงไปเล่าถึงความสามารถของหลินฟู่อินให้เหล่านายหญิงทั้งหลายที่มาร่วมงานได้ฟัง
เพื่อที่จะทำให้หลินฟู่อินได้กลายเป็ที่รู้จัก
หลินฟู่อินตามซ่งฮูหยินเข้าไปยังสวนด้านใน และได้พบกับบุตรสาวที่นอนพักอยู่ในเรือนเล็กในสวน
นางสวมเสื้อคลุมสีแดงฉาน ประดับลายด้วยดอกบัว ปิดทับชุดกระโปรงสีฟ้าม่วงลายเศียรอาชาเอาไว้
หลินฟู่อินทักทายนางผู้เป็บุตรสาวแห่งสกุลซ่ง ผู้ที่มองหลินฟู่อินซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งเมื่อเห็นความเยาว์วัยของง แต่เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินยังคงรักษาท่าทีสุภาพไว้ได้ บุตรสาวสกุลซ่งจึงกล่าวกับหลินฟู่อินว่าไม่ต้องสุภาพมากนัก
หลินฟู่อินลงมือทำการวินิจฉัยอย่างจริงจัง แต่เมื่อวินิจฉัยเสร็จแล้ว นางกลับพบว่าบุตรสาวสกุลซ่งผู้นี้เพียงระดูมาช้าเท่านั้น ไม่ได้มีอาการรุนแรงอื่นใดอะไร
“ซ่งฮูหยิน ท่านบุตรสาวผู้นี้มีสุขภาพแข็งแรงดี เพียงระดูของนางมาช้าเท่านั้น” หลินฟู่อินกล่าว จากนั้นจึงหยุดคิดแล้วกล่าวต่อว่า “จากที่เห็น นางดูเหมือนจะรับยาเพื่อช่วยการไหลเวียนอยู่แล้วด้วย ซึ่งเริ่มเห็นผลแล้ว เพียงแค่รับยานั่นต่อไปจนจบก็พอ”
ซ่งฮูหยินเห็นว่าหลินฟู่อินวินิจฉัยออกมาได้ผลเหมือนกับที่หมอใหญ่เคยตรวจแล้ว นางจึงประเมินค่าหลินฟู่อินสูงขึ้นอีก
ยามนี้นางลดความรังเกียจหลินฟู่อินไปได้กึ่งหนึ่งแล้ว นางจึงมองหลินฟู่อินด้วยสายตาเป็กังวล “แต่แม่นางหลิน ลูกข้าทำตามที่พวกหมอเฒ่านั่นบอกอย่างที่ท่านว่า แล้วรับยาขมนั่นต่อเนื่องมานับปีแล้ว เหตุใดนางจึงยังไม่ตั้งครรภ์อีกกัน?”
ที่ซ่งฮูหยินเรียกหลินฟู่อินให้มาดูอาการของบุตรนางก็เพราะบุตรของนางแต่งงานกับสามีนับปีแล้วแต่กลับยังไม่ตั้งท้องเสียที จนนางเริ่มกังวลขึ้นมา
และเมื่อนางได้ยินวังฮูหยินแนะนำหลินฟู่อินให้ว่าเป็หมอนรีเวชที่มีฝีมือ นางจึงเชิญหลินฟู่อินมายังเมืองหนิงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หรือก็คือนางไม่ได้สนใจที่จะช่วยให้หลินฟู่อินมีชื่อเสียงแต่อย่างใด เพียงอยากให้หลินฟู่อินดูอาการของบุตรสาวนางว่าจะมีลูกได้ในเร็วๆ นี้หรือไม่เท่านั้น
หลินฟู่อินก็พอจะเดาไว้ได้อยู่แล้วว่าคนอย่างซ่งฮูหยินก็คงคิดอะไรเช่นนี้ นางจึงไม่กล่าวอะไร เพราะครั้งนี้ตั้งใจที่จะไม่ออกตัวอะไรมาก
“ซ่งฮูหยิน เื่การตั้งครรภ์นั้นส่วนหนึ่งก็เป็เื่ของชะตาฟ้าลิขิตด้วย ท่านบุตรสาวไม่ควรกดดันตัวเอง และรอบข้างก็ไม่ควรเร่งรัดนาง เมื่อเวลาที่สมควรมาถึงนางก็จะตั้งครรภ์เอง” หลินฟู่อินกล่าวอย่างสงบ
ซ่งฮูหยินได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
บุตรสาวสกุลซ่งเองก็มองซ่งฮูหยินแล้วกล่าว “ท่านแม่ แม้แต่เด็กสาวที่ท่านบอกว่าเชี่ยวชาญในการรักษาสตรีผู้นี้ยังกล่าวเช่นนี้เลย ข้าว่าท่านก็น่าจะผ่อนคลายลงนะเ้าคะ ปีนี้ข้าเพิ่งอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ท่านจะรีบไปทำไมกัน? อีกอย่าง… สามีของข้าเองก็ยุ่งกับการเตรียมสอบจนต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับสำนักศึกษา แม้จะบอกว่าเราสมรสกันมาเป็ปีแล้วก็ตาม แต่เราได้พบหน้ากันน้อยยิ่งกว่าเดือนละครั้งเสียอีก”
หลินฟู่อินฟังแล้วก็เข้าใจได้ หากคู่สามีภรรยาอยู่แยกกันแล้วพบกันเพียงนานๆ ครั้งเช่นนี้ การที่จะมีบุตรได้นั้นนับว่าต้องอาศัยดวงเป็อย่างยิ่ง
หลินฟู่อินเห็นว่าบุตรสาวสกุลซ่งผู้นี้ดูจะเป็คนมีเหตุผล นางจึงยิ้มเพื่อปลอบโยนแล้วกล่าว “ท่านบุตรสาวโปรดวางใจ แล้วรับยาขมนั้นต่อไปจนกว่าระดูของท่านจะกลับมาเป็ปกติ เมื่อถึงตอนนั้นก็หยุดดื่มได้ และหากท่านรักใคร่กลมเกลียวกับสามีได้หลังจากนั้น การมีบุตรก็จะเป็เื่ที่จะมาถึงอย่างแน่นอน”
บุตรสาวสกุลซ่งกล่าวขอบคุณหลินฟู่อิน “ขอบคุณในความห่วงใยของท่าน เอาไว้พอระดูของข้ากลับมาเป็ปกติแล้ว ข้าจะหยุดดื่มยาขมนั่นเลย มันขมเกินไปสำหรับข้าจริงๆ”
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มอกมา
เมื่อฟังบทสนทนาระหว่างบุตรสาวของตนและหลินฟู่อิน ซ่งฮูหยินจึงถูมือกับผ้าไม่หยุด แล้วถามหลินฟู่อินด้วยคิ้วที่ขมวดเป็ปม “แม่นางหลินมีวิธีใดที่จะทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้ทันทีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามที่ชวนให้นึกสงสัยถึงระดับสติปัญญานี้แล้ว หลินฟู่อินจึงตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไป
แต่พริบตาต่อมา นางก็เลิกเรียวคิ้วมองซ่งฮูหยินแล้วกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าจะไม่มีหมอที่ไหนในโลกที่มีวิธีเช่นนั้น”
ซ่งฮูหยินจึงมีสีหน้าหน่ายใจขึ้นมา
นางได้ยินมาว่าหลินฟู่อินเป็ผู้เชี่ยวชาญในนรีเวชศาสตร์ แต่ดูท่าทางจะเป็เพียงคำป้อยอเสียแล้ว นางอุตส่าห์เชิญให้มาร่วมพิธีสรงสามของหลานนางแท้ๆ เสียเวลาเสียจริง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาบุตรข้าไปกราบไหว้พระพุทธองค์ให้บ่อยขึ้นเพื่อขอบุตรชาย” ซ่งฮูหยินกล่าว แล้วจึงหันมาเตือนหลินฟู่อิน “หวังว่าข้าจะไม่ต้องเจอผลกระทบอันใดจากการเชิญแม่นางหลินมาดูบุตรข้าในวันนี้นะ”
สีหน้าของหลินฟู่อินนั้นยังคงนิ่งสงบ แต่ในใจนั้นพ่นคำเสียดสีไม่หยุดไปแล้ว
จากนั้นจึงเปิดปาก “อย่าได้กังวล การเก็บความลับของคนไข้เป็พื้นฐานของคนเป็หมออยู่แล้ว”
ซ่งฮูหยินจ้องหลินฟู่อินด้วยสีหน้าข่มขู่อยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่านางสงบนิ่งไร้สีหน้าแล้ว จึงกล่าวออกมาเบาๆ “หวังว่าจะเป็เช่นที่กล่าว”
หลินฟู่อินคลี่ยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา “ข้ารับผิดชอบคำพูดของตัวเองอยู่แล้ว”
ซ่งฮูหยินมองนางอย่างไม่พอใจ แล้วจากนั้นจึงกล่าว “การที่แม่นางหลินต้องเดินทางมาถึงเมืองหนิงคงเป็เื่ลำบากไม่น้อย เช่นนั้นแล้วให้ข้าได้มอบอั่งเปาให้แม่นางเถอะ หวังว่าแม่นางจะไม่ปฏิเสธน้ำใจ”
กล่าวจบแล้วนางก็หันไปขยิบตาให้ชิวหมัวมัว ผู้รีบดึงเอาซองอั่งเปาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้หลินฟู่อินทันที “แม้แม่นางหลินจะช่วยอะไรคุณหนูของเราไม่ได้ แต่นายหญิงเห็นใจท่านที่ต้องเดินทางมาไกลถึงที่นี่ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ดังนั้นรับหนึ่งร้อยตำลึงเงินนี้ไป แล้วข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้นายหญิงผิดหวัง”
สุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่เชื่อหลินฟู่อิน แล้วคิดจะปิดปากด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงิน
หลินฟู่อินยื่นมือออกไปรับซองมา แต่ริมฝีปากแสยะขึ้น นี่ดูถูกกันอยู่ชัดๆ
ใจของซ่งฮูหยินกำลังสั่นไหว แล้วนางจึงให้ชิวหมัวมัวไปส่งหลินฟู่อินอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้านึกว่านางเด็กนั่นจะมีฝีมือ แต่สุดท้ายแล้วก็เสียเวลาเปล่า!” เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินออกไปแล้ว นางจึงทุบที่วางแขนบนเก้าอี้อย่างชิงชังแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน
บุตรสาวของสกุลซ่งเห็นแล้วจึงขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงต้องรีบถึงเพียงนี้กัน? ข้าว่าแม่นางหลินผู้นั้นก็มีฝีมือนะเ้าคะ ทั้งคำที่กล่าวกับข้าก็มีเหตุผลดีด้วย”
“ตรงไหน? อย่างไร?” ซ่งฮูหยินลุกขึ้นอย่างหัวเสีย แล้วเดินไปจิ้มหน้าผากบุตรสาวตนเบาๆ ปากก็กล่าวอย่างชิงชัง “แม่ของเ้าผิดหวังในตัวเ้าถึงเพียงนี้ แต่เ้ากลับยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว แถมยังมีหน้ามาบอกว่าเื่ที่นางนั่นพูดมันสมเหตุสมผลอีกหรือ”
บุตรสาวสกุลซ่งผู้พึ่งพาการเลี่ยงดูปูเสื่อของซ่งฮูหยินมาทั้งชีวิตกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ “แต่เื่ที่นางกล่าวก็มีเหตุผลนะเ้าคะ เพราะเมื่อคิดถึงสิ่งที่นางบอกแล้ว นางเพียงบอกให้ข้าใช้เวลากับสามีให้มากขึ้น… ถึงตอนนั้นก็จะตั้งครรภ์ได้เองอย่างเป็ธรรมชาติ”
เมื่อได้ยินบุตรสาวของตนกล่าวเช่นนี้ สีหน้าของซ่งฮูหยินจึงเริ่มมีร่องรอยของความสุขขึ้นมา นางจับใบหน้าของบุตรีสุดรักของนางแล้วกล่าว “ลูกรัก เ้าพูดจริงหรือ?”
“ข้าหมายความตามที่ข้าพูด ท่านแม่โปรดวางใจเถอะ…”
หลินฟู่อินกลับมายังโถง จึงได้พบวังฮูหยินที่โบกไม้โบกมือให้ตนอยู่ หลินฟู่อินจึงเดินเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางหลินเป็อย่างไรบ้าง ข้าเห็นซ่งฮูหยินเชิญเ้าเข้าไปด้านใน นางพาเ้าไปแนะนำกับคนไข้จากตระกูลใหญ่ในเมืองหนิงหรือ?” วังฮูหยินถามไม่พยุด
นางเองก็เหมือนหลี่ฮูหยิน ผู้มองหลินฟู่อินว่าเป็คนที่สามารถเปิดอกคุยได้ทุกเื่ นางจึงคอยเป็ห่วงหลินฟู่อินในทุกแง่ที่นางจะช่วยได้
หลินฟู่อินหัวเราะออกมา แล้วจึงส่ายศีรษะ
สายตาของวังฮูหยินยิ่งทวีความไม่พอใจขึ้นเมื่อนางเห็นเช่นนี้ และจึงพึมพำออกมา “เป็เช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ข้าเคยได้ยินท่านย่าใหญ่เล่าให้ฟังว่าซ่งฮูหยินเป็คนดีไร้จุดด่างพร้อย แล้วเหตุใดตอนนี้จึงมีแต่จุดด่างพร้อยไร้จุดสะอาดเช่นนี้กัน?”
วังฮูหยินไม่เข้าใจ แต่หลินฟู่อินนั้นมองออก
วังฮูหยินใช้ชีวิตท่ามกลางเหล่าสตรีชั้นสูง จึงเป็ธรรมดาที่ต้องวางตัวให้ดีอยู่เสมอ แต่สำหรับสามัญชนเช่นนางที่จะหามาแทนเท่าไรก็ได้แล้วนั้น ไยจึงต้องเสียเวลามาทำดีด้วยอีก?
ซ่งฮูหยินผู้นี้เพียงชิงชังสามัญชนเข้ากระดูกดำเท่านั้น
แต่เื่นี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลินฟู่อิน
หลังจากที่ขอให้วังฮูหยินช่วยไล่สอบถามแทนนางว่าจวนเ้าเมืองได้มีการต้อนรับแขกสำคัญในเดือนสามและสี่ของปีนี้หรือไม่นั้น หลินฟู่อินและหลี่อี้ก็ปลีกตัวจากวังฮูหยิน แล้วออกเดินทางไปซื้อเมล็ดมะลิต่อ
โดยก่อนที่จะไปซื้อเมล็ดฟู่อินก็ได้จ้างรถม้าไปสองคันเพื่อเอาไว้ขนของด้วย
เมื่อคนขับได้ยินว่าจะถูกจ้างเพื่อขนของไปยังชิงหยางแล้ว ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นด้วยความตื่นเต้นทันที
เพราะการเดินทางระยะทางไกลเช่นนั้น ย่อมหมายถึงเม็ดเงินมหาศาล
และด้วยคำแนะนำของคนขับรถม้านี้เอง เป็ผลให้หลินฟู่อินสามารถหาซื้อเมล็ดมะลิกว่าหนึ่งพันสามร้อยจินได้โดยไม่ลำบาก และที่หยุดไว้เพียงหนึ่งพันสามร้อยจินก็เพราะรถม้าไม่อาจขนได้มากกว่านั้นแล้ว
ที่สามารถซื้อได้มากขนาดนี้ เป็เพราะแต่เดิมแล้วเมล็ดมะลินั้นถูกซื้อขายกันอยู่ที่ห้าอีแปะต่อจิน แต่นางสามารถต่อรองจนลดไปได้หนึ่งอีแปะต่อจิน เหลือสี่อีแปะต่อจิน
ดังนั้นเมล็ดมะลิเต็มคันรถนี้จึงมีมูลค่าห้าสิบสองตำลึงเงิน
เมื่อซื้อขายเสร็จแล้ว หลินฟู่อินจึงตกลงกับเหล่าชาวสวนว่าในอนาคตนางจะกลับมาซื้ออีก ดังนั้นจึงอยากให้เก็บส่วนดีๆ ไว้ให้นางด้วย
เมื่อเหล่าชาวสวนเห็นว่ามีลูกค้ารายใหญ่มาหาถึงที่เช่นนี้ จึงพากันตอบตกลงทันที
หลินฟู่อินให้มัดจำไว้ครอบครัวละหนึ่งตำลึงเงิน และให้ประทับนิ้วในตารางลำดับด้วย
เมื่อเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว หลินฟู่อินและหลี่อี้จึงจ้างรถม้าอีกคันเพื่อเดินทางกลับไปยังชิงหยาง
จากนั้นเมื่อเมล็ดมะลิมาถึง หลินเฟินและหลินฟางก็ไม่รอช้า ร่วมมือกันทำแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นชุดใหม่ออกมาทันที
และเพราะครั้งนี้ได้กำไรจากการขายขนมเร็ว เมื่อผ่านไปครึ่งเดือน นางจึงมีเงินอยู่กับตัวมากกว่าสามหมื่นแปดพันกว่าตำลึงแล้ว
ขาดอีกเพียงไม่ถึงหกพันตำลึงเงินก่อนจะไปถึงเป้าหมายที่สี่หมื่นห้าพันตำลึงเงิน หลินฟู่อินจึงคำนวณหยาบๆ ว่าเมื่อแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นที่เหลือขายหมด และรับส่วนแบ่งถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกจากหลิวฉินแล้ว ก็คงมีเกือบครบสี่หมื่นห้าพันตำลึงเงินแบบฉิวเฉียด
หลินฟู่อินจึงอารมณ์ดีมาก ดูท่าว่าอีกไม่กี่วันนางก็คงมีเงินพอสำหรับค่าร้านแล้วเป็แน่!
หากเก็บเงินได้ด้วยความเร็วระดับนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วละก็ เมื่อถึงสิ้นปี นางจะสามารถไปซื้อร้านที่ชิงเหลียนแล้วตกแต่งเพิ่มได้ หรือแม้แต่การเปิดภัตตาคารเพิ่มเองก็ดูเป็ไปได้…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้