แดน์วิมานแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็แดน์ แต่เต็มไปด้วยภยันตราย
เพราะว่าแดน์วิมานตั้งอยู่ดงงูหลามปีศาจ ว่ากันว่าเป็หนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดนอกจากป่าดับสูญ ที่นั่นคือรังของงูหลาม ทั้งดงนี้มีงูหลามปีศาจนับพันนับหมื่น ที่พลังแข็งแกร่งสุดคือขั้นเก้า เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ชั้นราชัน
และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นการเปิดแดน์วิมานทุกครั้งจึงมีทังฝานเป็ผู้นำทาง อย่างเช่นห้าสิบปีก่อน สำนักชิงเฉิงและพรรคซิงหลัวก็เช่นกัน ขอเพียงมีผู้มีพลังชั้นราชันปรากฏตัวอยู่ด้วย งูหลามปีศาจ์ขั้นเก้าที่ดงงูหลามปีศาจก็จะไม่กล้าออกมา
โหยวเสี่ยวโม่ยืนอยู่บนนกขนส่ง ชะเง้อคอมองดงงูหลามปีศาจเบื้องหน้า ตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
ทั่วทั้งดงงูหลามปีศาจราวกับเป็งูหลามเลื้อยคดขึ้นสู่์ เลื้อยจากตะวันตกสู่ตะวันออกคดเคี้ยวไปมา แบ่งดงงูหลามปีศาจออกจากแดนมนุษย์อย่างชัดเจน ูเาที่ดูสูงตระหง่าน มีสีเทาจางๆ ลอยมาเป็พักๆ ราวกับปากปล่องูเาไฟที่ลอยคลุ้งด้วยควันฝุ่น
เื้ัูเาลูกนี้ ก็คือเขตแดนของงูหลามปีศาจ มีสัตว์ปีศาจเพียงชนิดเดียว สัตว์ปีศาจชนิดอื่นไม่กล้าย่างกรายเข้ามายังเขตแดนนี้ เพราะไม่ต้องรองูหลามปีศาจลงมือ พวกมันก็คงตายด้วยพิษจากควันสีเทาพวกนี้
แต่ที่น่าแปลกใจคือ ควันจากูเานี้ไม่เคยแผ่เกินออกมาจากขอบเขตของดงปีศาจงูหลาม หรืออีกนัยหนึ่งคือ ตราบใดที่นักฝึกตนไม่ก้าวเข้าไปเหยียบดงนั้นก่อน แม้ยืนอยู่นอกเขตแดนดงปีศาจงูหลามก็ไม่มีทางโดนพิษจากควันนี่ได้
เพราะแบบนี้ ตอนที่หลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ไปถึง ก็เห็นกลุ่มคนยืนรวมตัวกันอยู่นอกเขตแดนดงงูหลามปีศาจ
ในกลุ่มคนนั้นมีคนที่โหยวเสี่ยวโม่คุ้นเคยอยู่ นั่นก็คือคณะเดินทางของทังฝานที่ออกเดินทางมาล่วงหน้าก่อน
ดูเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่พึ่งรู้ว่าจำนวนคนที่มาทั้งหมดคือสี่สิบห้าคน หักคนของแขนงโอสถออกไปสิบกว่าคน ที่เหลือก็เป็คนของแขนงวรยุทธ์สามสิบกว่าคน คนกลุ่มใหญ่นั้นดูสะดุดตา โดยเฉพาะทังฝาน
เขาคือจอมยุทธ์ชั้นราชันที่ผู้คนชื่นชม เมื่อปรากฏตัวย่อมดึงดูดสายตาผู้คนเป็พิเศษ ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าไปกล่าวคำทักทายสานสัมพันธ์กับเขาทั้งนั้น
นอกจากสำนักเทียนซิน ก็ยังมีสำนักชิงเฉิงและพรรคซิงหลัวด้วย
ในสำนักชิงเฉิง โหยวเสี่ยวโม่รู้จักอยู่คนหนึ่ง ท่าทางสง่างามสวมชุดสีฟ้าคราม สลักด้วยไหมสีขาวเงินเป็ลายสวยงาม ระยิบระยับสะท้อนสายตา ส่งให้ชายคนนั้นดูเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลเย็นสะอาด บวกกับใบหน้าหล่อเหลา เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ทิวทัศน์ดูดีขึ้น ดึงดูดสายตาของหญิงสาวโดยรอบจดจ้องอยู่บนตัวเขาอย่างไม่วางตา พลันหน้าอมชมพูระเรื่อ
ชายผู้นี้ก็คือลั่วซูเหอแห่งสำนักชิงเฉิง เป็ยอดคนที่ถูกพูดถึงในขณะนี้
แม้ว่าลั่วซูเหอจะดูโดดเด่นแค่ไหน แต่ชายกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ดูเด่นสง่าไม่แพ้กัน
โหยวเสี่ยวโม่คาดเดา ชายกลางคนคนนี้คงเป็ลั่วเฉิงหยวน คนที่ขโมยตำหรับสูตรยาขั้นเก้าของสำนักเทียนซินไป ดูท่าทางเป็บุคคลสูงส่ง แต่เสียดายที่เป็พวกใจคด
คณะที่นำโดยลั่วเฉิงหยวนมีเหล่าศิษย์และผู้าุโทั้งหลาย จำนวนคนพอกันกับสำนักเทียนซิน ดูทีแล้วก็ประมาทไม่ได้
แต่พอเทียบกับทั้งสองสำนักใหญ่แล้ว พรรคซิงหลัวราวกับไม่มีตัวตนอยู่
มีศิษย์ส่วนน้อยที่ไม่ได้สวมผ้าคลุมหัวสีเทา เผยใบหน้าซีดขาว คงเกิดจากที่ฝึกฝนพลัง ทั่วทั้งร่างถูกห่มไว้ด้วยผ้าคลุมสีเทา เหมือนพวกเล่นสายเวท
แม้ครั้งที่แล้วก็เป็เช่นนี้ แต่ครั้งนี้กลับไม่มีผู้นำที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือประมุขพรรคเซินถูเตา ได้ยินว่ากำลังเก็บตัวอยู่ ไม่ออกมาใน่ระยะเวลาอันใกล้นี้ ดังนั้นคนที่มาแทนคือผู้าุโสองท่าน หนึ่งในนั้นก็คือคนที่โหยวเสี่ยวโม่รู้จักเสียด้วย
คราวที่แล้วที่เข้าร่วมประมูลที่หอหมื่นสมบัติ ติงสือตัวแทนพรรคซิงหลัว มีพลังชั้นอรุณเจ็ดดาว พลังนี้อาจไม่ถึงขั้นทำให้คนสะทกสะท้าน ดังนั้นพรรคซิงหลัวจึงส่งผู้าุโอีกท่านหนึ่งมาด้วยคือเซี่ยงเผิงเทียน มีพลังชั้นิญญาหกดาว
แม้จะไม่ใช่ชั้นราชัน แต่พลังชั้นิญญาขั้นหกดาวก็สามารถเป็ประมุขพรรคได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครประมาทพรรคซิงหลัวเช่นกัน โดยเฉพาะพรรคเซียวเหยา หอเล่อจี๋ และสำนักเซวี่ยซ่า
แต่ที่ทำให้โหยวเสี่ยวโม่เอะใจคือ ทั้งสามเ้าอำนาจนี้ก็ปรากฏตัวด้วยเช่นกัน
พวกเขาคือกลุ่มมีอำนาจชั้นรอง สิทธิ์ที่ได้นั้นจึงไม่เยอะมาก นอกจากนี้ก็มีพวกนักฝึกตนสันโดษ
นักฝึกตนสันโดษคือนักฝึกตนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักใด แม้จะมีอิสระ แต่หนทางการฝึกฝนพวกเขาต้องพึ่งแต่ตนเอง อย่างเื่วิชายุทธ์ ยาเซียนตันและหญ้าเซียนที่ใช้การเลื่อนพลังก็ต้องหามาด้วยตัวเองทั้งนั้น
และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นการฆ่าคนชิงของล้ำค่าจึงเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป ทั้งยังไม่มีสำนักมาคุ้มกัน หากไม่ระวังตัวไปมีเื่กับใครเข้า ก็อาจโดนฆ่าได้ง่ายดาย
แต่จำนวนของนักฝึกตนสันโดษนี้ไม่อาจประมาทได้เช่นกัน
นักฝึกตนในแผ่นดินหลงเสียงมีนับพันนับหมื่น ไม่มีทางที่ทุกคนจะสามารถเข้าร่วมสำนักได้ หนึ่งคือสำนักอิทธิพลนั้นไม่ได้รับทุกคนเข้าร่วมแน่นอน สองคือมีกฎเกณฑ์การรับคนสูงมาก รับเพียงคนที่มีศักยภาพดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่านักฝึกตนสันโดษจะไม่มีคนมีฝีมือดี และมีบางส่วนที่มีฝีมือครั้นไม่ยอมเข้าร่วมสำนักใดทั้งสิ้น
ดังนั้น ทั้งสามสำนักใหญ่ก็จะแบ่งสิทธิ์การเข้าแดน์วิมานทั้งหมดสิบรายชื่อให้กับนักฝึกตนสันโดษเพื่อลดความไม่พอใจของพวกเขา แต่ให้พวกเขาไปจัดการตัดสินคนที่ได้สิทธิ์กันเอง
หลิงเซียวตบบ่าโหยวเสี่ยวโม่ที่กำลังยืนอึ้ง สื่อให้เขารู้ว่านกขนส่งกำลังจะร่อนลงบนพื้นแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่รีบคว้าแขนหลิงเซียวไว้แน่น เขาไม่อยากมีซีนตอนที่นกขนส่งร่อนลงพื้น ถึงตอนนั้นคงขายหน้าต่อหน้าทั้งคนร่วมสำนักและนักฝึกตนทั้งหมด
นกขนส่งเปล่งเสียงร้องหลังจากหลิงเซียวให้สัญญาณกับมัน
เสียงร้องแหลมดึงดูดสายตาคนเบื้องล่างทั้งหมด ขณะที่ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง นกขนส่งก็ร่อนแตะพื้น กระพือปีกตีลมพับๆ บางคนทนไม่ไหวต้องหลับตา เมื่อลืมตาขึ้น เบื้องหน้าก็มีนกขนส่งสูงราวสี่ห้าเมตร และบนนั้นมีคนยืนอยู่สองคน
เมื่อมองไป หนึ่งในนั้นก็คือ ‘หลินเซียว’ ยอดคนที่เป็ที่กล่าวขวัญถึงเช่นเดียวกันลั่วซูเหอ
ความสง่างามนั้นต่างจากลั่วซูเหอที่ดูสบายๆ หลิงเซียวที่อยู่ในชุดขาวหิมะปักเลื่อมด้วยด้ายสีทองปลิวสไว ผมยาวดำขลับสยายสวยงาม มุมปากยังคงมีรอยยิ้มนุ่มนวลแต่งแต้มอยู่เช่นเคย ส่งให้เขายิ่งดูสง่าอ่อนโยน หน้าหล่อเหลาคมเป็สันแต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกปลอดภัย
ถึงว่าการเปิดตัวดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ สายตาผู้คนจับจ้องหลิงเซียวย่างเท้าที่ใส่รองเท้าปักลายสีขาวเงิน ถัดมา ก็อุ้มโหยวเสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านข้างแล้วโดดลงมา
ท่าทางกระฉับกระเฉง จนพวกเขาแตะพื้นอย่างมั่นคง สายตาผู้คนถึงเปลี่ยนไปจับจ้องยังคนที่หลิงเซียวอุ้มไว้ ในใจพลันสับสนมึนงง
ใครกันนะถึงทำให้ยอดคนที่โดดเด่นของสำนักเทียนซินอุ้มลงมาได้ นี่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร ต้องรู้ว่าหญิงสาวที่อยากอยู่ในอ้อมอกของหลิงเซียวนั้น แทบจะยืนล้อมดงงูหลามปีศาจนี่ได้หลายรอบแล้ว
แต่พอตั้งใจมอง กลับเห็นว่าคนที่เขากำลังอุ้มอยู่คือเด็กหนุ่มหน้าใสคนหนึ่ง
ใบหน้าเด็กหนุ่มนั้นแดงระเรื่อ เมื่อถึงบนพื้นก็รีบะโลงจากอกหลิงเซียวทันที แต่อาจจะรีบไปหน่อย จังหวะที่ะโลงไปทำให้ขาข้างหนึ่งสะดุด ดีที่ ‘หลินเซียว’ ดึงขึ้นมาทันท่วงที
‘หลินเซียว’ สายตาอ่อนโยน หัวเราะแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก เป็อะไรรึเปล่า?”
โหยวเสี่ยวโม่มองค้อนเขา หมอนี่จงใจชัดๆ แต่...เมื่อถูกสายตาคนมากมายจับจ้องแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรมาก ได้แต่บอกเสียงเบา “ไม่เป็อะไร”
ทั่วบริเวณเงียบกริบ…
คนดูเริ่มคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่สำนักเทียนซินกลับนิ่งอย่างไม่อาจสาธยายได้
ั้แ่ตอนที่นกขนส่งปรากฏตัวขึ้น คนของสำนักเทียนซินก็ดูออกแล้วว่านกขนส่งตัวนี้เป็ของพวกเขา เช่นนี้จึงเดากันว่าคงเป็ ‘หลินเซียว’ กับโจวเผิง
แต่ขณะที่ทังอวิ๋นฉีและพรรคพวกต่างดีใจพากันจะไปต้อนรับ แต่คนข้างกายหลิงเซียวที่ควรจะเป็โจวเผิงกลับกลายเป็โหยวเสี่ยวโม่คนที่พวกเขาเกลียดที่สุด ทังอวิ๋นฉีกับพวกใจนพูดไม่อะไรออก
ทังฝานเองก็สังเกตเห็นแล้ว สีหน้าครุ่นคิดในที่สุดก็นิ่งเยือกเย็นลงไป นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเผยสีหน้าไม่พอใจต่อหน้าผู้คน แต่ใครจะรู้ว่าเขาถูกศิษย์ของตนเล่นเข้าเสียแล้ว เห็นทีคงไม่มีใครกล้าดีใจ คนที่หลักแหลมเช่นเขา ไม่ได้คาดเดาว่าที่ศิษย์เอกให้พวกเขาออกเดินทางมาก่อน ที่แท้ก็มีจุดประสงค์เช่นนี้นี่เอง
พูดตามจริง ทังฝานรู้สึกผิดหวังกับการประพฤติตัวของศิษย์เอกคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีนึกว่าเขาแค่เห่อของใหม่ ดังนั้นจึงเข้าใกล้โหยวเสี่ยวโม่ แต่ดูจากสิ่งที่เขาทำให้โหยวเสี่ยวโม่อย่างออกนอกหน้า แม้กระทั่งทังฝานก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
หากเป็เพียงความคึกคะนองอยากลอง แล้วทำไมถึงขัดคำสั่งเขาถึงหลายครั้งหลายครา ถึงขั้นบาดหมางกับผู้าุโท่านอื่น? อีกทั้งั้แ่นิสัยเขาเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ การกระทำก็ยิ่งอยู่ยิ่งไม่ไว้หน้าใคร หากไม่ใช่เพราะเขาแน่ใจถึงตัวตนของศิษย์เอกคนนี้ เขาคงตั้งข้อสงสัยว่าหลินเซียวคือสายสืบของเผ่าปีศาจแน่นอน
แต่การกระทำของเขายิ่งนานวันยิ่งไร้เหตุผล เพื่อนักหลอมโอสถทั่วไปคนหนึ่ง ถึงขั้นโกหกอาจารย์ นี่มันร้ายแรงจนเกินขอบเขตที่รับได้
ภายใต้สายตาของทังฝานนั้นแผ่รังสีประกายความมืด แต่เพียงแค่แวบเดียว ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจี้เื่นี้ อีกทั้งพูดออกไปก็มีแต่จะทำให้สำนักเทียนซินถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ อีกอย่าง ‘หลินเซียว’ ก็เป็ยอดคนที่หาไม่ได้จริงๆ หากเสียเขาไป คงส่งผลร้ายกับสำนักเทียนซิน
ทังอวิ๋นฉีเดินไปหน้าพ่อนาง กอดแขนเขาไว้ เอ่ยอย่างน้อยใจ “ท่านพ่อ เซียวเกอพาเ้าคนสารเลวนั่นมาอีกแล้ว หนนี้ท่านพ่อต้องต่อว่าพี่เซียวจริงจังแล้วนะ”
ทังฝานเอ่ยเสียงขรึม “ฉีเอ๋อร์ เ้าคือลูกสาวทังฝาน อย่าเรียกใครเขาว่าสารเลว หากคนอื่นได้ยินเข้า คงหาว่าข้าเป็พวกไม่เอาไหนที่ไม่สั่งสอนลูกสาวตัวเอง”
ทังอวิ๋นฉีชะงักกับคำพูดไม่พอใจของเขา ก้มหน้าเอ่ย “เ้าค่ะ ลูกทราบแล้ว” ขณะที่พูดนั้น ใบหน้าส่อแววไม่พอใจ มองโหยวเสี่ยวโม่สายตาโกรธแค้นเต็มประดา
อีกฟากหนึ่ง หลิงเซียวพาโหยวเสี่ยวโม่เดินเข้ามา
หลิงเซียวยิ้มแย้มอย่างเคย พลันมองหน้าไม่พอใจของทังฝาน แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เดินเข้ามาแล้วเอ่ย “อาจารย์ ข้ามาแล้ว”
ทังฝานได้ยินทำหน้านิ่งขรึม “เ้าไม่คิดจะให้คำอธิบายกับอาจารย์หน่อยหรือ?”
หลิงเซียวชะงัก เมื่อรู้สึกตัวได้ว่าเขาถามอะไรอยู่ ทำทีตบหัวตัวเองเบาๆ แล้วเอ่ย “ขออภัย อาจารย์ เห็นพวกท่านแล้วข้าดีใจจนเกือบลืมไป” พูดจบก็ดึงโหยวเสี่ยวโม่มาหน้าเขา
โหยวเสี่ยวโม่มองทังฝานอย่างอึดอัดใจ สายตาของเขาทำโหยวเสี่ยวโม่ใจสั่นเทิ้ม อดกลั้นความอยากหลบไว้ด้านหลังหลิงเซียว แล้วกล่าวอย่างเคารพ “ท่านเ้าสำนัก!”
“อาจารย์ นี่คือศิษย์น้องโหยว ก่อนหน้านี้ท่านเคยพบเขาที่เขาอู๋ซวง เดิมทีข้าตั้งใจมาพร้อมกับศิษย์น้องโจว แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่จะออกเดินทาง ศิษย์น้องโจวก็เกิดเหตุไม่คาดคิด ทำให้มาไม่ได้ และบังเอิญเจอเข้าศิษย์น้องโหยวพอดี เพื่อเลี่ยงการออกเดินทางที่ล่าช้า ศิษย์น้องโจวจึงยินดีที่จะสละสิทธิ์ให้ศิษย์น้องโหยว ดังนั้นข้าจึงพาเขามาด้วยเพื่อให้คนครบน่ะขอรับ” หลิงเซียวยกมุมปากยิ้ม น้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่ช้าเกินไป ราวกับกำลังเอ่ยถึงเื่ราวที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
ท่าทางเสแสร้งจ้องมองทังฝานที่ไม่พอใจ แต่ด้วยความเป็เ้าสำนัก เขาฝึกการควบคุมอารมณ์อย่างเก่งกล้า ขอเพียงเขาไม่คิด คนรอบข้างนั้นไม่มีทางดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าตึงเครียดของทังฝานก็เผยรอยยิ้มจางๆ “ในเมื่อศิษย์น้องโจวยินยอม อาจารย์ก็ไม่พูดอะไรมาก แต่ว่าเ้าเป็คนพาเขามา เ้าก็ต้องดูแลให้ดี เอาละ อาจารย์เขาก็อยู่ที่นี่ เ้าพาเขาไปเองสิ”
“รับทราบ อาจารย์!” หลิงเซียวยิ้มพร้อมยกมือคำนับ
ดูเงาหลิงเซียวที่หายไปทางขงเหวิน ทังฝานค่อยๆ หรี่ตาลง ดวงตาดำขลับนั้นเผยอารมณ์ขุ่นมัว
ทังอวิ๋นฉีเห็นพ่อตัวเองปล่อยโหยวเสี่ยวโม่ไปอย่างง่ายดาย ในใจยิ่งไม่พอใจ กำหมัดแน่น จนเล็บจิกเข้าเนื้อก็ยังไม่รู้ตัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้