เหตุผลในการปฏิเสธมีมากมาย ไท้หยูมองไม่ออกว่าการยอมร่วมมือกับพวกเขาจะสร้างประโยชน์ใดแก่ตนเอง จริงอยู่การที่ได้บุคคลในตำนานเช่นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งชี้แนะฝึกตนเป็เื่เหนือจินตนาการที่ทุกคนฝันใฝ่
ทว่าในความคิดของไท้หยูแล้ว ท้ายที่สุดแล้วก็เป็ได้เพียงเท่านั้น เป็รองพวกเขาอยู่ดี ซึ่งในด้านนี้ไท้หยูยังไม่แน่ใจว่าเศษเสี้ยวขวัญิญญาของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง นอกจากความรู้ของวิถีตรีภาคาแล้ว เขายังมีความทรงจำเกี่ยวกับเื่อื่นหรือไม่
อีกประการหนึ่งที่ทำให้เขาคิดปฏิเสธนั่นคือ เขาไม่แน่ใจว่าทั้งสองตัวประหลาดนี้ แท้จริงแล้วเป็เช่นไร จริงอยู่ที่เปลือกนอกพวกเขามองดูแล้วไม่เลวร้าย ทว่านั่นยังเป็ส่วนเดียวที่แสดงออกมา
ไท้หยูเพียงรู้จักพวกเขาแค่ผิวเผิน ความนึกคิดและจุดประสงค์ที่แท้จริงที่จะคืนชีพเขายังไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ ย่อมไม่ธรรมดา
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเอ่ยกับฉงฉงว่าเ้าก็้าคืนสู่โลกเหมือนกันหรือ คำนี้สร้างความฉงน เขาถึงกับสร้างสำนักพันปีไว้เพื่อเฟ้นหาผู้สืบทอดของตนเอง แม้เขาตายไปแล้วแต่เมื่อมีผู้มีคุณสมบัติปรากฏขึ้น เขายังมีโอกาสได้กลับมา การที่เขายอมทุ่มเทถึงเพียงนี้ เื้ัของเื่นี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา
ในตอนแรกไท้หยูเพราะยังสับสนที่ิญญาทะลุมาภพนี้ เขายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางและเพราะอ่อนแอสุดขีด จึงได้ยอมให้ฉงฉงสิงเข้าสู่ในร่าง ยามนี้เขาทราบแล้วว่าร่างของเขาหรือพลังโคจรดารานั่นสำคัญเพียงใด แม้แต่ฉงฉงยังไม่กล้าให้เขาตาย ดังนั้นเขาจึงกล้าเป็ผู้ต่อรอง ไม่ใช่เบี้ยที่จะถูกสะกดอีกต่อไป
ทั้งสองเสียงพลันดังจากปากไท้หยูพร้อมกัน
“เ้าไม่มีอำนาจต่อรอง”
ไท้หยูยิ้มหยันเชิดหน้ากลอกตากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า
“ไม่มีอำนาจต่อรอง? ร่างกายของข้าก็คืออำนาจต่อรอง หากไม่มีข้า ไม่มีร่างนี้ พวกเ้าจะไม่มีหวังได้คืนชีพ อย่าได้โอหังไปนัก ข้ามิใช่เด็กขนอ่อนที่พวกเ้าแค่ขู่ก็ทำให้ข้ากลัว ข้ายินยอมเป็หยกแหลกลาญ ไม่ยอมเป็กระเบื้องที่สมบูรณ์”
ไท้หยูยามนี้คือบัณฑิตประสบการณ์โชกโชน มิใช่ประมุขสำนักพันปีป่วยโรคอีกต่อไป เขาพลันคิดในใจว่า
“เฮอะ จะอย่างไรร่างนี้ก็ไม่ใช่ของข้าอยู่แล้ว ข้าหาอาลัยอาวรณ์ไม่”
ฉงฉงเห็นท่าทางของไท้หยูพลันรู้สึกว่าเขาแปลกตา พยศดื้อรั้นทว่ากุมอำนาจไว้ในมือ มันยังสงสัยว่าไท้หยูที่ถูกเขาบังคับใน่เช้าใช่ไท้หยูคนนี้หรือไม่
หลังจากนิ่งเงียบเนิ่นนานน้ำเสียงทรงอำนาจนั้นพลันกล่าวว่า
“ข้าจะช่วยเ้าชำระสำนัก ข้าััได้ว่าเทือกเขาหยกมีคำสาปสะกดเ้าไว้ สำนักพันปีคล้ายกำลังเจอมรสุม”
“นี่เป็สำนักของเ้าตาเฒ่าน่ารังเกียจ ข้าแม้เป็ประมุข แต่สามารถทิ้งมันไปได้โดยไม่แยแส”
ที่เขากล่าวคือความจริง เขาสามารถทิ้งสำนักนี่โดยไม่แยแสสิ่งใด เพราะสำหรับเขาหาได้มีความผูกพันขนาดต้องใช้ชีวิตเข้าแลกไม่
ในตอนแรกเขาเพียงเคารพรากฐานของไท้หยูคนเก่า คิดว่าในเมื่อใช้ร่างนี้แล้วก็ควรรักษาสิ่งนี้ไว้ ทว่ายามนี้ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งกลับใช้สิ่งนี้มาเป็ข้อต่อรองกับเขา เห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังคงหลับใหลนานเกินไปจนสติเลอะเลือน ลืมไปว่าสำนักพันปีคือเขาสร้างขึ้นมา ผู้ที่ผูกพันมากที่สุดคือเขา มิใช่ไท้หยู
“ช่างเืเย็นนัก” ฉงฉงกล่าว
ไท้หยูแค่นเสียงเ็าตอกกลับว่า
“ที่เืเย็นคือพวกเ้า คิดแต่จะใช้สอยผู้อื่นเปล่าๆ”
ดวงอาทิตย์กลมมนสาดแสงร้อนแรงกำลังร่วงหล่น อีกไม่นานรัตติกาลจะมาเยือน เป็รัตติกาลแรกของไท้หยูในโลกนี้ วิหคมากมายโบยบินกลับรัง ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วสับสน
“นี่เป็เศษขวัญิญญาของข้า อีกทั้งเพิ่งตื่นขึ้น ความนึกคิดยังไม่สมบูรณ์.....เ้า้าสิ่งใดเป็ข้อแลกเปลี่ยน”
ดวงตาไท้หยูพลันเป็ประกาย เขากำลังรอคอยคำนี้ เขาเปลี่ยนจากผู้ถูกกดขี่มาเป็ผู้ต่อรองที่มีอำนาจในมือ ยามนี้สามารถกวาดทุกสิ่งได้ตาม้าแล้ว ปล้นตาเฒ่าน่ารังเกียจผู้นี้ให้อิ่มหนำ .....แต่แล้วความตื่นเต้นยินดีของเขาพลันสะดุด เกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจ
“ข้า้าสิ่งใด?”
เขาไม่ทราบว่าตนเอง้าสิ่งใด หากเป็ผู้อื่นการถูกถามโดยปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักพันปี คงจะบอกว่าปรารถนาเป็ผู้ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในโลก อยากได้คำชี้แนะจากเขา
ทว่าไท้หยูมิใช่คนเช่นนั้น ทั้งชีวิตในภพเก่า เขาชอบใช้ชีวิตสงบสุข อยู่ตัวคนเดียวหลีกห่างจากความวุ่นวาย การเป็ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกสำหรับเขาเป็เื่ไร้สาระอย่างยิ่ง ต้องเผชิญความอันตรายและความวุ่นวายมากมาย ไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขา เพราะเขารักสันโดษ
เขารอคอยโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ทว่าเมื่อโอกาสมาถึง เขากลับพบว่าตอนนี้ตัวเขามิได้มีความ้าอันใด ไร้ปณิธาน ไร้ความปรารถนา ไร้ห้วงอาวรณ์
ทั้งชีวิตที่เป็บัณฑิต เขาพบว่านี่เป็คำถามที่ตอบได้ยากที่สุดในชีวิตของเขา
“ชีวิตที่แล้วข้าเพียง้าอ่านตำราทุกเล่มในโลก นั่นเป็ปณิธานที่ทำให้ข้ามีอายุเกินร้อยปี ชีวิตนี้ข้า้าสิ่งใด?” ยามกะทันหันไม่อาจหาคำตอบได้ ไท้หยูจมลึกสู่ห้วงความคิด คาดกับตอนที่ิญญาเพิ่งทะลุมายังร่างนี้ ความคิดสับสนวุ่นวาย
ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังสับสน จากนั้นเป็เสียงเจื้อยแจ้วทุ่มเถียงแหลมหู เสียงดรุณีก่นด่ากันวุ่นวายปลุกไท้หยูที่จมอยู่ในภวังค์ความคิดให้ตื่นขึ้นมา
ไม่นานเด็กหญิงหน้าตาดีแช่มช้อย กิริยางามสองคนพลันเดินขึ้นมาจากบันได เมื่อเห็นไท้หยูกำลังหันมามอง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากการทุ่มเถียงกันเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็สงบนิ่ง
รอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้แย้มบาน ดวงตาเรียวยาวทั้งงดงามทั้งดึงดูดสองคู่จ้องมองเขาด้วยประกายสุกใส เป็แววตาที่สัตย์ซื่ออ่อนโยนและบริสุทธิ์ถึงที่สุด
ดวงตาทั้งสองคู่ทำให้เขานึกย้อนกลับไปเมื่อชีวิตที่แล้ว เคยมีดวงตาเช่นนี้จ้องมองเขา
ห้วงความจำในชีวิตเก่าที่เขาลืมเลือนไปแล้วพลันผุดขึ้นมา แววตาบริสุทธิ์เช่นนี้เคยปรากฏบนใบหน้าของบุตรีเขา ความทรงจำที่เขาใช้วิชาปิดกั้นเอาไว้พลันทะลักออกมา เขาเคยมีบุตรีที่น่ารักเช่นนี้สองคน
คนหนึ่งสุขุมอีกคนดื้อรั้น การเฝ้ามองเด็กน้อยเติบโตคือ่เวลาที่สุขและสงบที่สุดในชีวิตของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งเพราะเขาไม่ยอมให้ฮ่องเต้ใช้ประโยชน์ ฮ่องเต้ทรงกริ้วสั่งปะาบุตรีทั้งสองของเขา หัวใจเขาแตกสลาย เพราะทรมานเกินไปจึงคิดจบชีวิต ทว่าฮ่องเต้สุนัข้าให้เขาทุกข์ทรมาน เขาจึงมิอาจตาย สุดท้ายเขาจึงใช้วิชาปิดกั้นความทรงจำ ลืมเลือนตัวตนของบุตรีทั้งสองไป
ดวงตารื้นชื้นใบหน้าและจมูกไท้หยูพลันร้อนขึ้นมา ขอบตาเริ่มแดงก่ำ โชคดีที่ฮุ่ยเซี่ยนและซวีฉีอยู่ห่าง ทั้งยังไม่ได้เริ่มฝึกตนจึงไม่สามารถมองเห็น
ไท้หยูปั้นยิ้มอ่อนโยนเอ่ยถามเสียงใสว่า
“มีเื่ใดหรือ”
ศิษย์ทั้งสองประสานมือคารวะด้วยความน้นอบน้อม
“อาจารย์ โอ๊ย โอ๊ย” ซวีฉีชิงเป็ฝ่ายกล่าววาจา ทว่าอึดใจต่อมาก็ถูกฮุ่ยเซี่ยนเหยียบเท้าเ็ปจนร้องออกมา
ฮุ่ยเซี่ยนดึงเท้ากลับปั้นสีหน้าปกติกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดว่า
“ข้ามองไม่เห็นขออภัยด้วย” จากนั้นใช้สายตาสังหารถลึงใส่ ซวีฉีคล้ายมุสิกถูกแมวจ้องเขม็งจนหวาด สะท้านทั้งร่างไม่กล้าเอาเื่ ได้แต่ก้มมองรองเท้าตนเอง
“อาจารย์ได้เวลารับประทานอาหารเย็นแล้ว ...ซวีฉีและศิษย์เตรียมอาหารไว้ อาจารย์ไปทานกันเถอะ เดี๋ยวเย็นชืดจะไม่อร่อย”
ฮุ่ยเซี่ยนเป็เด็กหญิงที่สติปัญญาโตเกินวัยจริง ๆ ไท้หยูชมอยู่ในใจ พยักหน้าเล็กน้อยตอบว่า
“เข้าใจแล้ว พวกเ้าไปเถอะ เดี๋ยวอาจารย์ตามออกไป”
ซวีฉียิ้มแย้มด้วยความยินดีะโโลดเต้นไปมา ตื่นเต้นจนรอให้อาจารย์ชมฝีมือการทำอาหารของตนไม่ไหวแล้ว เด็กหญิงทั้งสองเดินลงจากหอตำรา เมื่อเดินออกไปก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว ทั้งยังเดินร้องเพลงออกไปอย่างสบายใจ
เสียงของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งพลันเอ่ยออกมา
“ว่าอย่างไร เ้า้าสิ่งใด?”
ไท้หยูเดินไปปิดหน้าต่าง หยิบตำราที่หามาได้ทั้งหมดขึ้นจากนั้นเอ่ยด้วยอารมณ์นิ่งเฉยว่า
“ข้าขอคิดดูก่อน วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไว้เจรจากันวันหลัง” หยุดครุ่นคิดครู่หนึ่งไท้หยูพลันกล่าวสืบต่อว่า
“หลังจากนี้หากข้ามิได้อยู่ลำพัง พวกเ้าทั้งสองอย่าได้ใช้ปากข้ากล่าววาจา หากมีเื่ใดจะสื่อสารก็เอ่ยในใจข้าจะได้ยิน”
เดินออกจากหอตำราเป็่เวลาที่พระอาทิตย์คล้อยตกไปแล้ว ดวงจันทร์ราวกับจานเหล็กลอยขึ้นประดับท้องฟ้าแทนที่ รัตติกาลที่เพิ่งคลี่คลุม ให้แสงสว่างแก่โลกเพิ่มขึ้นมา
เป็คืนพระจันทร์เต็มดวง
ไท้หยูหยุดมองพระจันทร์เ็าบนท้องฟ้า ในใจพลันนึกถึงเื่ที่ความทรงจำของไท้หยูหายไปทุกสามสิบวัน ซึ่งคือวันพระจันทร์เต็มดวง
“วันนี้พระจันทร์เต็มดวง แม้นว่าิญญาของไท้หยูคนเก่าจะจากไปแล้ว ทว่ากายเนื้อของเขายังอยู่ หากการที่ความทรงจำของเขาหายไปเกี่ยวข้องกับเื่นี้ คืนนี้คงต้องมีเื่เกิดขึ้น”
ไท้หยูครุ่นคิดอยู่ในใจ ยังโชคดีที่สองขวัญิญญาในร่างไม่สามารถรับรู้ความคิดของเขา
ฉงฉงก็คือขวัญิญญาประเภทหนึ่ง เป็ขวัญิญญาที่หล่อเลี้ยงตนเองจนมีรูปลักษณ์ออกมา เป็ขวัญิญญาที่กล้าแกร่งระดับหนึ่งแล้ว ส่วนตาเฒ่าน่ารังเกียจเป็เศษขวัญิญญาที่เพิ่งถูกปลุกขึ้นมาจึงมีเพียงแค่ดวงตา
ภายในห้องโถงร้อยปีของสำนัก ครื้นเครงไม่น้อย หลังจากที่ไท้หยูรับศิษย์ทั้งสี่เขาไม่ได้ตรากฎเข้มงวดเช่นเก่าอีก เขาปล่อยให้เด็กทั้งสี่ทำตามอำเภอใจได้เต็มที่ เพียงไม่เข้าสู่เขตต้องห้ามสถานที่อื่นอยากจะทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น
เด็กน้อยทั้งสี่ทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ในตึกศิษย์รับใช้ ปกติมักถูกดูถูกรังแก เป็เพียงข้ารับใช้ของผู้อื่น ยามนี้มีอิสระทุกคนจึงคึกคักมีความสุขกันอย่างยิ่ง
เมื่อไท้หยูข้ามธรณีประตูเข้ามาพลันได้กลิ่นหอมโชยมาตามลม กลิ่นไขมันเนื้อสัตว์และกลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นพริกฉุนแสบจมูก อบอวลกับกลิ่นกำยานหอมที่จุดทิ้งไว้
เด็กสี่คนและหนึ่งชายวัยกลางคนกำลังนั่งล้อมวงกับพื้น มือถือถ้วยและตะเกียบ ตาลุกวาวจ้องมองหม้อไฟที่กำลังเดือดตรงหน้า ทุกคนยังไม่เริ่มรับประทาน เพราะรอไท้หยู
เมื่อประมุขสำนักเดินเข้ามาทุกคนพลันหันมาแล้วเรียกพร้อมกันด้วยรอยยิ้มและใบหน้าอ่อนโยน
“อาจารย์”
“ท่านประมุข”
ไท้หยูยิ้มแย้มเดินไปนั่งที่ว่าง ซวี่ฉียื่นถ้วยและตะเกียบให้ ฮุ่ยเซี่ยนรินสุราสีทองให้ เห่ารานจ้องมองเนื้อที่ลอยอยู่ในหม้อไฟจนตาเป็ประกาย จื่อหยวนกลับมองถ้วยสุราที่ฮุ่ยเซี่ยนยื่นให้ไท้หยูด้วยความกระหาย
ไท้หยูใบหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้มพลางมองดูทุกคน ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นและเป็สุขขึ้นมา
เื่ดีเื่แรกนับั้แ่ิญญามายังโลกนี้...
“ทานเถอะ เนื้อต้มนานจะไม่อร่อย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้