ความสงบนิ่งที่เป็นิสัยของจ้าวเยี่ยน ในยามนี้มีร่องรอยของการสลายตัวไปอย่างแปลกประหลาด หากมิใช่เพราะเหตุผลเดียวที่เหลืออยู่ เขาคงจะพุ่งตัวเข้าไปหาและคว้ามือนางไว้อย่างแน่นอน พร้อมกับถามนางว่า เขาหลีอ๋องผู้สูงศักดิ์ นางกลับทำท่าทีจงเกลียดจงชังเขาเยี่ยงนั้นได้อย่างไร!
“มือของอีหลานดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?” เสียงของฉางไทเฮาดังขึ้นมาจากในรถม้า ดึงสติของจ้าวเยี่ยนให้กลับมา เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังกลับไปอีกครั้ง กว่าจะรู้สึกตัวก็พบว่าพวกเขาออกไปไกลแล้ว
อีกด้านหนึ่ง
เหนียนยวี่ในรถม้า ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อครู่นี้ องค์หญิงใหญ่ชิงเหอที่นั่งอยู่ในรถม้าต้องเห็นท่าทีของนางตอนที่กลับไปในรถม้าอย่างแน่นอน
ท่าทีตอบสนองขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอคราแรกคือ การเปิดม่านด้านข้าง ทว่าครั้นนางเห็นจ้าวเยี่ยนบนหลังม้า นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทีของยวี่เอ๋อร์เมื่อครู่นี้นั้น เป็เพราะเห็นจ้าวเยี่ยนหรือ?
แต่ครู่ต่อมา องค์หญิงใหญ่ชิงเหอก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น เมื่อเห็นรถม้าของจวนเหนียน
“หลีอ๋องไปสนิทสนมกับจวนเหนียนั้แ่เมื่อใด” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอพึมพำ
เหนียนยวี่ได้ยินทุกสิ่ง จวนเหนียน...เมื่อครู่นี้ นางปิดม่านถอยตัวออกมา มิใช่เพราะ้าหลบจ้าวเยี่ยน ทว่าเป็รถม้าของจวนเหนียนต่างหาก
ในสายตาของเหนียนอีหลาน ตัวนางในยามนี้เป็ดั่งคนที่ตายไปแล้ว หากถูกคนของจวนเหนียนเห็นเข้า เกรงว่าเื่ที่นาง้าจะทำให้เหนียนอีหลานประหลาดใจหลังจากนี้คงไร้สีสันลงทันใด
ทว่าผู้ใดนั่งอยู่ในรถม้านั่น?
“หึ ที่แท้วันนี้เป็วันที่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเข้าวัง มิน่าแปลกใจเลย ทว่าอย่างไรตระกูลหนานกงก็ควรมารับคนเอง เหตุใดถึงนั่งรถม้าของจวนเหนียนมา?” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเองก็รู้สึกแปลกใจ เดิมทีนางเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าคำพูดนี้กลับเตือนสติของเหนียนยวี่
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง?
คนฉลาดมีปัญญาเช่นเหนียนยวี่ เพียงครุ่นคิดชั่วครู่เดียวก็รู้เื่ราวทั้งหมดได้แล้ว
“ได้ยินว่าวันนี้จิ้นหวางเฟยไปจวนเหนียน...”
กลัวเพียงแต่ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงผู้นี้จะไปร้องขอให้ทหารมาช่วย!
ทว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร?
นางหวนคิดถึงเื่ราวพัวพันของความเคียดแค้นระหว่างตระกูลหนานกงและจวนจิ้นอ๋อง ในใจเหนียนยวี่เข้าใจทันที คิดดูแล้ว วันนี้นอกจากของกำนัลที่ตนส่งไปให้เหนียนอีหลาน ยังมีผู้อื่นที่้าจะส่งของกำนัลให้พวกนางแม่ลูกด้วย
คนผู้นั้นเป็ใคร เหนียนยวี่เองก็รู้ชัดอยู่ในใจ
ท่านหญิงจ้าวอิ้งเสวี่ย อย่าทำให้ผิดหวังเล่า!
ทว่า...
นึกถึงจ้าวเยี่ยนเมื่อครู่นี้แล้ว เขาตามไปเช่นนั้น แท้จริงมันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว หันมององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ประจวบเหมาะสายตาล้ำลึกขององค์หญิงใหญ่อย่างพอดิบดี มิรู้เลยว่านางกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ คนทั้งสองจึงลงจากรถม้า และเข้าไปในวังหลวงทางประตูจูเชวี่ย
ณ ตำหนักชีอู๋
หลังจากฉางไทเฮาและหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของฮองเฮาอวี่เหวิน พลันจางหายไปทันใด
สายตามองน้ำชาอุ่นร้อนตรงหน้า ในหัวคิดวกวนแต่เื่ในสวนร้อยสัตว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนที่องค์หญิงใหญ่ชิงเหอพาเหนียนยวี่เข้ามา ฮองเฮาอวี่เหวินยังคงนั่งมองถ้วยชาอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งเจินกูกูที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายต้องกล่าวเรียก ครั้นฮองเฮาอวี่เหวินได้สติ และเห็นสตรีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้า ภาพเื่ราวทุกฉากทุกตอนอันแสนอันตรายในสวนร้อยสัตว์ค่ำคืนนั้นยิ่งฉายชัดในหัว
“เสด็จพี่ วันนี้ชิงเหอพาเหนียนยวี่มาเพื่อขอขมาท่านโดยเฉพาะเพคะ วันนั้นชิงเหอรู้สึกเป็ห่วงยวี่เอ๋อร์เป็อย่างมาก จึงพานางกลับไปก่อน หากเสด็จพี่้าตำหนิก็ตำหนิชิงเหอเถิดเพคะ หลายปีแล้วที่หม่อมฉันไม่สามารถมีทายาท ยามนี้ครั้นหม่อมฉันได้นางมาเป็บุตรี จึงรู้สึกรักนางอย่างยิ่ง” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นเบนสายตาหันมองเหนียนยวี่ “ยวี่เอ๋อร์ รีบถวายบังคม โขกศีรษะขอขมาต่อฮองเฮาเสีย เื่นี้จะได้ผ่านพ้นไป”
“เพคะ เสด็จแม่” เหนียนยวี่รีบตอบรับและทำตามคำสั่งขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ นางรู้ดีว่าองค์หญิงใหญ่ชิงเหอกำลังปกป้องนาง ในใจนางรู้สึกขอบคุณซาบซึ้ง นางเองก็รู้ดีว่าการโขกศีรษะเป็โทษที่เบาที่สุดแล้ว ทว่ายามที่นางกำลังก้มลงไป ฮองเฮาอวี่เหวินกลับลุกขึ้นยืน และก้าวเข้ามาประคองนางด้วยตัวพระองค์เอง
“พอเถิด พอเถิด วันนั้นเป็เปิ่นกงเองที่คิดไม่รอบคอบ” ฮองเฮาอวี่เหวินจูงมือเหนียนยวี่ เหนียนยวี่รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิจากฝ่ามืออันบอบบาง วันนั้นในสวนร้อยสัตว์ ยามที่มือคู่นี้คว้าจับตนเอง ตอนนั้นฮองเฮามองนางเป็องค์หญิงจี้เยวี่ย ทั้งสองร่วมทุกข์ไปด้วยกัน ยามนี้ ฮองเฮาอวี่เหวินที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้างดงาม ท่าทีอ่อนโยนสูงศักดิ์ แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้ม ทว่าก็รักษาระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด
“าแของเ้าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?” ความรู้สึกที่ฮองเฮาอวี่เหวินมีต่อเหนียนยวี่ตรงหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง
วันนั้นในสวนร้อยสัตว์ หากมิใช่เพราะนางโค่นเสือที่หิวโหยตัวนั้น และต่อสู้กับชายชุดดำพวกนั้น เกรงว่าตนคงตายในสวนร้อยสัตว์ตั้งนานแล้ว นับว่าเหนียนยวี่เองก็เป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางไว้ ทว่า...เพราะเื่นี้ เหนียนยวี่จึงได้รู้เื่ที่ไม่ควรรู้มากมาย
ไม่เพียงเท่านี้...ครั้นนางนึกถึงการเอาใจใส่ของจ้าวอี้ที่มีต่อเหนียนยวี่ ในใจของฮองเฮาอวี่เหวินยิ่งทวีความเ็า
“ทูลฮองเฮา าแของเหนียนยวี่มิได้ร้ายแรงอะไรเพคะ” เหนียนยวี่เลิกคิ้วเล็กน้อย และเอ่ยตอบอย่างสุภาพ “เพียงแต่ว่าฮองเฮา...”
ครั้นเหนียนยวี่เอ่ยถึงตรงนี้ ฉับพลันนั้นนางชะงักไป สายตาเหลือบมององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ อึกอักลังเลไม่กล้าพูด เพียงแค่นั้นก็สื่อชัดอย่างยิ่งแล้ว
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเป็คนฉลาด นางยกยิ้มและหัวเราะออกมาครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาว่า “เสด็จพี่ ท่านดูสิ พวกท่านอยู่ด้วยกันในสวนร้อยสัตว์เพียงค่ำคืนเดียว บุตรีบุญธรรมของหม่อมฉันผู้นี้กลับหลบเลี่ยงไม่ให้หม่อมฉันฟังด้วย จือเถา ประคองเปิ่นกงออกไป ให้พวกนางได้คุยกันอย่างเงียบๆ เถิด”
แม้องค์หญิงใหญ่ชิงเหอจะตรัสออกมาเช่นนี้ ทว่าก็ไม่มีคำตำหนิเจือมาในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย
เหนียนยวี่พยักหน้าแย้มยิ้มให้องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ พลางเฝ้ามองจือเถาประคององค์หญิงใหญ่ลุกเดินออกไปนอกตำหนัก
เจินกูกูเหลือบมองฮองเฮาอวี่เหวิน ส่งสายตาว่าจะเดินออกไปข้างนอกเช่นกัน
ในตำหนัก เหลือเพียงเหนียนยวี่และฮองเฮาอวี่เหวินแค่สองคนอยู่กันตามลำพัง ไม่มีผู้คนรอบข้าง ฮองเฮาอวี่เหวินปล่อยมือที่จับเหนียนยวี่ออก
“เ้าฉลาดมาก” ฮองเฮาอวี่เหวินเอ่ยปาก การกระทำเมื่อครู่นี้ของเหนียนยวี่ ทำให้นางวางใจลงไม่น้อยเลยทีเดียว คิดดูแล้ว นางคงยังไม่นำเื่ที่เกิดขึ้นในสวนร้อยสัตว์ไปพูดให้ใครฟัง รวมถึงองค์หญิงใหญ่ชิงเหอด้วย
เหนียนยวี่เข้าใจความหมายของฮองเฮา มุมปากนางค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “ฮองเฮาโปรดวางใจเถิดเพคะ เื่ที่เกิดขึ้นในสวนร้อยสัตว์ ฮองเฮาทรงตรัสว่าเป็ความลับ เช่นนั้นเหนียนยวี่มิบังอาจเอ่ยถึงเื่นี้หรอกเพคะ ทว่า...”
‘ทว่า’ เพียงคำสองคำนี้ ทำให้ฮองเฮาอวี่เหวินขมวดคิ้วทันใด ดวงตาคมปลาบเพ่งมองเหนียนยวี่ สายตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
เหนียนยวี่เห็นทุกสิ่งในสายตา นางเริ่มเอ่ยปากพูดต่ออย่างไม่รีบร้อน “เหนียนยวี่รู้สึกว่าเื่นี้ดูมีลับลมคมใน ได้ยินท่านแม่ทัพหลวงบอกว่า ตอนที่พวกเขาตามหาจนมาถึงสวนร้อยสัตว์วันนั้น พบว่าประตูสวนถูกปิดไว้...”
ฮองเฮาอวี่เหวินชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เจินกูกูสาธยายออกมาให้ฟัง วันนั้นแท้จริงเป็เพราะแม่ทัพหลวงฉู่ชิง สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของกลไกประตู จึงคาดเดาออกมาว่าพวกนางอยู่ในสวนร้อยสัตว์ แต่ทำไมเหนียนยวี่ถึงเอ่ยเื่นี้ขึ้นมาในเวลา่นี้
ฮองเฮาอวี่เหวินจ้องมองเหนียนยวี่ ดวงตาพินิจมองอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น “เปิ่นกงเคยตรัสแล้วว่า ห้ามพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นในสวนร้อยสัตว์อีก”
“เพคะ เหนียนยวี่ทราบแล้ว ทว่าเื่ที่เกิดขึ้นนอกสวนร้อยสัตว์เล่าเพคะ?” เหนียนยวี่สบตาฮองเฮาอวี่เหวินอย่างอาจหาญ ครั้นเห็นความสงสัยในดวงตาของฮองเฮาอวี่เหวิน นางจึงเอ่ยออกมาทันทีว่า “สวนร้อยสัตว์เป็เขตหวงห้าม เหนียนยวี่มิบังอาจบุกรุกเข้าไปอย่างแน่นอน ทว่าวันนั้น เหนียนยวี่ได้รับข้อความจากข้าหลวงในวังคนหนึ่งว่า มีใครบางคนรอหม่อมฉันอยู่ที่หน้าสวนร้อยสัตว์ หม่อมฉันคิดว่า ตอนนั้นนอกจากพระนาง อาจจะมีใครบางคนอยู่ที่นั่นด้วยเพคะ ส่วนเสียงร่ำไห้ของเด็ก...”
เหนียนยวี่เอ่ยถึงตรงนี้ และมิได้กล่าวอะไรต่อไปอีก
ฮองเฮาอวี่เหวินราวกับกำลังนึกคิดตามคำพูดของเหนียนยวี่ ฉับพลันนั้นดวงตานางลุกวาว พาดผ่านประกายตระหนกใ
นางเข้าใจความหมายที่เหนียนยวี่้าจะสื่อแล้ว นาง้าบอกกับตนว่า เสียงเด็กที่นางได้ยินตอนนั้น บางทีอาจมีคนอื่นได้ยินด้วยเช่นกัน และสำหรับนางที่้าเก็บเื่วันนั้นไว้เป็ความลับ มิต้องสงสัยเลยว่าการมีอยู่ของคนผู้นั้นเป็ความเสี่ยง แม้เป็เพียงความเสี่ยงเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
หรือว่า...
ฮองเฮาอวี่เหวินหันมองเหนียนยวี่อีกครั้ง ครานี้นางมองสำรวจเหนียนยวี่อย่างละเอียด ราวกับกำลังค้นหาอะไรอยู่
เหนียนยวี่ปล่อยให้นางจ้องมอง ไม่ตื่นตระหนกใ ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ใบหน้าสุขุมสงบนิ่ง
ครู่ใหญ่ต่อมา ในที่สุดฮองเฮาอวี่เหวินก็เอ่ยปากถามว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็ใคร?”