กิจกรรมของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ที่เซี่ยเสี่ยวหลานจัดขึ้นได้ผลลัพธ์ดีทีเดียว
เมื่อถุงน่องหนึ่งร้อยคู่ที่แถมไปใกล้หมด เครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิรอบนี้ก็จำหน่ายได้เกือบหมดเช่นกัน ต้นเดือนมีนาคม ในที่สุดอากาศภายในซางตูก็กลับมาอบอุ่น แดดออกเป็ครั้งคราว ยิ่งดึงยอดขายของร้านเสื้อผ้าขึ้น ภายใต้ปัจจัยกระตุ้นยอดการขายทวีคูณ ปริมาณจำหน่ายของเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิล็อตนี้ก็เพิ่มขึ้น ทุกคนในร้านต่างก็มีงานยุ่งไม่หวาดไม่ไหวทุกวัน เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นว่าสินค้าในร้านไม่เพียงพอแล้ว จำเป็ต้องเดินทางไปหยางเฉิงอีกรอบ
ครั้งนี้ให้เฉินซีเหลียงเติมสินค้าโดยตรงไม่ได้ พอเข้าสู่เดือนมีนาคม เสื้อผ้าแบบใหม่เอี่ยมต่างๆ นานาของหยางเฉิงก็วางขายแล้ว มีตัวเลือกมากกว่าครั้งก่อนๆ แน่นอน ปลายฤดูเพิ่งเติมสินค้าแบบที่เคยขาย ขณะกำลังขายดีก็มีเสื้อผ้าแบบใหม่มากระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค ช่างพอเหมาะพอเจาะอะไรเช่นนี้
คราวนี้เธอจึงไม่ได้พาหลี่เฟิ่งเหมยหรือหลิวเฟินไป การค้าขายในร้านจะละทิ้งไม่ได้เลยเด็ดขาด
เดิมทีหลิวเฟินอยากเพาะปลูกบนที่ดินที่ได้รับการแบ่งสรรด้วยตนเอง ทว่าพิจารณาสถานการณ์ธุรกิจตรงหน้านี้แล้ว เธอยังมีเวลาว่างที่จะเพราะปลูกด้วยตนเองเสียที่ไหน? แต่สภาพอากาศเริ่มอบอุ่น จะให้เธอปล่อยไร่นาแล้งร้างไว้ก็ไม่ได้ หลี่เฟิ่งเหมยจึงแนะนำว่าให้คนในหมู่บ้านเช่าเพาะปลูกแบบบ้านเธอเสียเลย
“เื่นี้ควรจัดการให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน จะถ่อกลับไปตอนนี้อีกรอบก็คงไม่ได้ วานพ่อเทาเทาเขากลับไปเถอะ!”
หลี่เฟิ่งเหมยพูดเสียจนหลิวเฟินรู้สึกเกรงใจ
หลิวหย่งยังไม่ได้รับงาน ทว่าหลิวหย่งก็ไม่ได้ว่างทุกวัน เกษตรกรคนหนึ่งผู้รู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ทำบัตรยืมหนังสือผ่านกงหยางนักศึกษาศิลปะที่เซี่ยเสี่ยวหลานรู้จักคนนั้น ตอนนี้เขาเข้าห้องสมุดไม่ว่างเว้นแต่ละวัน ทุกคนในครอบครัวล้วนกำลังเรียนรู้ เซี่ยเสี่ยวหลานกล่าวว่าสังคมกำลังก้าวหน้า มนุษย์ต้องเรียนรู้จนแก่เฒ่า อย่าหน่ายความรู้มาก เพราะอย่างไรก็จะได้ใช้ในไม่ช้าก็เร็ว
สร้างเนื้อสร้างตัวในยุค 80 เหมือนกัน ทว่าคนทำธุรกิจอิสระบางคนสามารถสร้างธุรกิจเป็กลุ่มบริษัทใหญ่ บางคนผ่านไปอีกหลายสิบปีก็ยังใช้ชีวิตแค่พอถูไถ การสร้างตัวตอนแรกเริ่มคือความโชคดีที่เข้ามาในชีวิต ส่วนจะรักษากิจการให้รุ่งโรจน์ได้อย่างยั่งยืนได้หรือไม่ ผู้มีความรู้ย่อมเหนือกว่าผู้ที่ไม่มี!
มีบางคนเป็ถึงเถ้าแก่แต่ก็ยังเรียนรู้พัฒนาตนสุดความสามารถ มีบางคนหลังจากร่ำรวยก็เริ่มซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเลี้ยงดูอนุภรรยา เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ตำหนิทัศนคติในการดำเนินชีวิตของคนประเภทหลัง ทว่าเธออยากให้ทั้งครอบครัวยกระดับสภาพแวดล้อมชีวิตมากกว่า มิใช่คนในครอบครัวต่างเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็หลังมือ
ระหว่างสามีภรรยา ถ้าป้าสะใภ้หลี่เฟิ่งเหมยกลายเป็สตรีผู้ประสบความสำเร็จ และคนเป็ลุงอย่างหลิวหย่งยังย่ำอยู่ที่เดิม แิคร่ำครึแบบชนบท ครอบครัวจะมั่นคงได้อยู่หรือ? ในทางกลับกัน หากวันไหนหลิวหย่งร่ำรวยและพบโลกกว้าง หลี่เฟิ่งเหมยยังเป็หญิงชนบทในพื้นที่ห่างไกล ทั้งสองคนสนทนากันไม่รู้เื่ ความสัมพันธ์ไม่เกิดปัญหาก็คงแปลก!
ดังนั้นต้องก้าวหน้าพร้อมกัน พัฒนาไปพร้อมกัน
นี่คือหลักความจริงระหว่างสามีภรรยา บุตรและบิดามารดาก็เป็เช่นนี้ เมื่อลูกมีอนาคตไกล อย่ารังเกียจที่พ่อแม่หัวโบราณ พวกเขาไม่มีปัจจัยและความกล้าในการลิ้มลองสิ่งแปลกใหม่ ควรใช้ความอดทนอีกหน่อยพาพวกเขาไปด้วยกัน ทั้งครอบครัวย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียิ่งขึ้น ใครก็ไม่โดนสังคมคัดออกแน่นอน!
พออายุมากขึ้น ระบบการคิดวิเคราะห์และสมรรถภาพความจำล้วนสู้คนหนุ่มคนสาวไม่ได้ พื้นฐานการศึกษาน้อย ความเข้าใจต่อเนื้อหาบนหนังสือก็ไม่พอ การ ‘ชาร์จแบตเตอรี่ [1] ’ ของหลิวหย่งหนนี้ ลำบากยากเย็นกว่าตอนทำงานเกษตรในชนบทเสียอีก สิ่งที่เขาเรียนรู้จำเป็ต้องมีความเป็มืออาชีพสูง หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยพลิกอ่านนิตยสารแฟชั่นแบบนี้ เปรียบเทียบกันแล้วถือว่าง่ายดายยิ่งนัก... หลิวเฟินเห็นใจพี่ชายไม่น้อย จึงไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาเดินทางกลับชนบท
“ตอนบ่ายฉันไปเร็วหน่อย กลางคืนก็คงถึงหมู่บ้าน คุยเื่ช่วยเพาะปลูกกับคนอื่นเรียบร้อย เช้าตรู่ฉันจะขี่จักรยานกลับมาอีกที เสียเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น”
ครึ่งวัน หลี่เฟิ่งเหมยขายเสื้อผ้าและรับเงินคนเดียว ยังพอจัดการไหว
ตอนนี้หลิวหย่งเรียนอย่างบ้าคลั่ง มักอ่านหนังสือจนดวงตาแดงก่ำ ท่าทางจริงจังยิ่งกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานที่จะสอบเกาเข่าเสียอีก หลิวจื่อเทาเลิกเรียนกลับบ้านยังไม่กล้ารบกวนบิดาด้วยซ้ำ เขาทำได้เพียงทบทวนบทเรียนด้วยตนเองอย่างว่านอนสอนง่าย ดังนั้นการสอบย่อยเมื่อวานซืนของหลิวจื่อเทานั้น ปรากฏว่าคะแนนของเขาเพิ่มขึ้นด้วย!
ในเมื่อหลิวเฟินไม่อยากขัดความกระตือรือร้นของพี่ชายเธอ หลี่เฟิ่งเหมยก็ไม่บังคับ
ขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งขึ้นรถไฟเที่ยวไปหยางเฉิง หลิวเฟินก็ขี่จักรยานกลับชนบท—จักรยานสตรีมีขนาดกะทัดรัดสวยงาม ขอบวงล้อใหญ่ไม่เท่ารุ่น 28 นิ้ว และวิ่งเร็วไม่เท่ารุ่น 28 นิ้ว จักรยานสตรีใช้ขี่ในเมืองซางตูยังพอไหว แต่หากขี่บนทางดินโคลนของชนบท ต้องใช้จักรยานคันโตของหลิวหย่งอยู่ดี
หลิวเฟินจะกลับชนบท ย่อมต้องนำของติดไม้ติดมือไปด้วย
เธอรับอิทธิพลมาจากเซี่ยเสี่ยวหลาน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยเยือนบ้านใครมือเปล่า ธุระนี้มิใช่ต้องรบกวนเฉินวั่งต๋าจัดการหรอกหรือ หัวหน้าหมู่บ้านเฉินช่วยเหลือสองแม่ลูกจนได้ไร่นาและที่ดินปลูกบ้าน ถ้าที่ดินผืนนี้ของพวกเธอไม่มีแผนเพาะปลูกเอง ก็ควรแจ้งให้คนเขาทราบสักหน่อย
แต่จะนำอะไรกลับไปให้เล่า?
หลิวเฟินไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเข้าสังคมพวกนี้ เมื่อก่อนเธอไม่มีคุณสมบัติที่พอจะให้ของขวัญใคร ตอนเป็สะใภ้บ้านเซี่ยเธอไม่เคยแม้แต่จะได้จับเงินด้วยซ้ำ
ย่าอวี๋พูดอะไรไม่ออกเลย
“น้ำเต้าปากทึบ [2] หุ่นไม้ [3] แข็งทื่อ ต้องแทงสักทีถึงจะรู้จักสะดุ้ง ไม่รู้ว่ามีลูกฉลาดหลักแหลมได้อย่างไร”
ยิ่งบุตรสาวปราดเปรื่อง ยิ่งสะท้อนความซื่อบื้อของผู้เป็มารดา ย่าอวี๋บ่นก็จริง ทว่าพอเจอคนซื่อที่ไม่สันทัดกระทั่งการสนทนากับผู้อื่นเช่นนี้ เธอจึงอดรู้สึกกังวลแทนหลิวเฟินอย่างช่วยไม่ได้
“ในบ้านพวกเธอยังมีบุหรี่ไม่ใช่หรือ? หยิบบุหรี่ไปหนึ่งคอตตอน ซื้อน้ำตาลทรายสองถุง บะหมี่แห้งสองห่อ และเธอก็ไม่ต้องสนว่าหัวหน้าหมู่บ้านพวกเธอจะวานให้ใครช่วยปลูก ส่งของถึงแล้วต้องส่งเจตนาที่จะพูดด้วย รับผิดชอบให้เธอไม่ต้องพะว้าพะวงทุกปี... อยากรับที่นากลับมาปลูกเองเมื่อไร ธุระนี้หัวหน้าหมู่บ้านของพวกเธอจะจัดการให้เธอเอง”
การเลี้ยงอาหารหรือมอบของขวัญล้วนคือความรู้
แม้ย่าอวี๋จะไม่เข้าใจอย่างอื่น ทว่าเื่นี้จะไม่รู้เชียวหรือ
หลิวเฟินกลับไปเอง จะจ้างคนในหมู่บ้านทำนา ‘ค่าเช่า’ ระหว่างนี้ควรคิดคำนวณอย่างไร? ถ้าจะบอกว่าไม่้าสิ่งใดเลย แต่พอที่ดินนี้ถูกใครนำไปเพาะปลูกหลายปีเข้าคนเขาย่อมไม่อยากคืนแล้ว ช่างเป็เื่ที่ดีขนาดไหน ที่ดินได้เปล่าซึ่งออกผลผลิตทุกปี อีกทั้งไม่ต้องส่งผลผลิตและค่าบำรุง เริ่มแรกคงขอบคุณหลิวเฟิน ภายหลังคงเฉยเมย
ผู้อื่นซาบซึ้งเมื่อมอบที่ดินให้ แต่ชิงชังเมื่อขอที่ดินกลับคืน
ย่าอวี๋เห็นเื่พวกนี้จนชินชา จึงบอกให้หลิวเฟินไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ ‘ค่าเช่า’ หรือไม่ และควรคิด ‘ค่าเช่า’ อย่างไร ล้วนรับผิดชอบโดยหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ใช่ว่าหัวหน้าหมู่บ้านมีความน่าเชื่อถือมากหรือ ธุระประเภทนี้ต้องมอบให้หัวหน้าหมู่บ้านจัดการอยู่แล้ว ไม่ว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะเจรจาได้เงื่อนไขอะไร หลิวเฟินแค่รอรับผลก็พอ
หนึ่งปีใหม่ผ่านพ้นไป ความสัมพันธ์ระหว่างย่าอวี๋กับหลิวเฟินและลูกสาวดีขึ้นมาก
พอได้ ‘ยุ่งเื่คนอื่น’ ย่าอวี๋ก็หยุดไม่ได้แม้แต่น้อย น้ำเสียงที่เธอพูดจายังคงไม่รื่นหู แต่ยอมแจกแจงอธิบายอย่างละเอียดแก่หลิวเฟิน หญิงชราทำความสะอาดถนนแล้วอย่างไร หลิวเฟินใช้ชีวิตมาเกือบสี่สิบปี ประสบการณ์ยังห่างไกลจากย่าอวี๋อยู่มากโข
หลิวเฟินเองก็มีข้อดีที่ผู้อื่นไม่มีทางเปรียบได้ นั่นคือเธอเป็คนเชื่อฟัง!
เมื่อก่อนคำพูดของใครเธอก็ฟังทั้งหมด โอนอ่อนผ่อนตามจนเป็นิสัย ตอนนี้เธอมีพัฒนาการแล้ว ใครดีต่อเธอ เธอก็ฟังคนนั้น
ใครก็มีพื้นที่ในใจของเธอสู้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ แต่ขณะนี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยู่นี่นา ย่าอวี๋พร่ำบอกสิ่งเหล่านี้เพราะความหวังดี หลิวเฟินจึงฟังเงียบๆ ปฏิบัติตามที่ย่าอวี๋บอก พอเธอขี่จักรยานกลับถึงหมู่บ้านชีจิ่ง ก็มุ่งตรงไปยังบ้านเฉิน
เฉินวั่งต๋ายังไม่กลับมา หลิวเฟินเลยมอบข้าวของให้สะใภ้ใหญ่เฉินแทน
สะใภ้ใหญ่เฉินรับปากเป็มั่นเป็เหมาะ ธุระนี้พ่อสามีของเธอจะจัดการให้เรียบร้อยแน่นอน จากนั้นเธอก็ดึงหลิวเฟินไปอีกทาง
“พวกเธอเข้าเมืองไปราวหนึ่งเดือน น้องสาวเธอกลับบ้านแม่ตั้งสามหน ฉันเห็นท่าทางเขาร้อนรน ไม่รู้เหมือนกันว่าตามหาเธอด้วยธุระอะไร”
เชิงอรรถ
[1]充电 ชาร์จแบตเตอรี่ ในที่นี้หมายถึงการศึกษาเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม
[2]闷葫芦 น้ำเต้าปากทึบ หมายถึง คนพูดน้อย
[3]木头人 หุ่นไม้ หมายถึง คนหัวช้า ทำหรือคิดไม่กระฉับกระเฉง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้