ตอนที่ 53 วันแต่งงาน
“ข้า…”
คำพูดของมู่อวิ๋นหานทำให้มู่อวิ๋นจิ่นมิอาจปฏิเสธได้ นางทำได้เพียงแต่มองมู่อวิ๋นหานอยู่อย่างนั้น
นางไม่เคยพบเห็นพี่ใหญ่เป็เช่นนี้มาก่อน นึกว่าเขาเป็คนที่เ็าต่อเื่ต่าง ๆ รอบตัวเสียอีก
เพียงแต่ว่าผลลัพธ์กลับเป็คนที่อารมณ์รุนแรงไม่น้อย
มู่อวิ๋นหานเห็นแววตาของมู่อวิ๋นจิ่นปรากฏความรู้สึกไม่เป็ธรรมออกมา พลันพูดอย่างจนปัญญา “อีกไม่กี่วันเ้าก็ออกเรือน แต่งงานไปที่จวนคุณชายหกจะทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ได้แล้ว”
“อืม อวิ๋นจิ่นทราบแล้ว” นางพยักหน้ารับ
เมื่อนึกถึงว่าต้องย้ายไปอยู่จวนองค์ชายหก นางกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “โชคดีที่พอองค์ชายได้รับพระราชทานสมรสแล้ว สามารถย้ายออกจากวังหลวงได้ มิอย่างนั้นวัน ๆ ข้าก็คงจะถูกขังอยู่ในกำแพงวังหลวงที่สูงใหญ่ คงน่าเบื่อสิ้นดี”
ระหว่างนั้นมู่อวิ๋นหานแอบมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาที่แน่นิ่ง “ท่าทางและอารมณ์ของเ้าในตอนนี้ ผิดแปลกจากเมื่อก่อนราวกับเป็คนละคน หากไม่ใช่เพราะหน้าตายังเหมือนเดิม มิอย่างนั้นพี่ชายคนนี้คงคิดว่าเป็คนอื่น ”
มู่อวิ๋นจิ่นสะอึกกับคำพูดของมู่อวิ๋นหาน ก่อนพยายามฝืนยิ้มออกมา “เมื่อก่อนข้าถูกท่านแม่กดดันทุกด้าน ได้แต่ภาวนาให้มีชีวิตรอดไปวัน ๆ มาตอนนี้ ข้าสามารถเป็ตัวของตัวเองได้เต็มที่แล้ว”
มู่อวิ๋นหานพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นพูด จากนั้นทอดสายตาไปที่จื่อเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “จื่อเซียง ไม่กี่วันนี้เ้าช่วยข้าดูอวิ๋นจิ่นทุกฝีก้าว อย่าให้นางทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรล่ะ!”
“ได้เ้าค่ะ คุณชายใหญ่” จื่อเซียงก้มหน้าคารวะรับคำ
…
เมื่อเดินไปด้านหลังเรือน จื่อเซียงจึงค่อยยกมือขึ้นลูบอกผ่อนคลายลมหายใจ “คุณหนู เมื่อครู่ที่คุณชายใหญ่ดุ บ่าวนึกว่าจะลงโทษคุณหนูเสียแล้วเ้าค่ะ”
“จะกลัวอะไรเล่า ภายในจวนแห่งนี้คนที่สามารถมองทุกเื่ในเรือนจนทะลุปรุโปร่งคงมีเพียงพี่ใหญ่คนนี้เท่านั้น” มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะคิกคัก
จื่อเซียงทำท่าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ทว่ายังคงทำตามที่มู่อวิ๋นหานกำชับเอาไว้เมื่อครู่ “คุณหนูเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว พวกเราอยู่แต่ภายในจวนเถิดเ้าค่ะ”
“อืม ก็ได้” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับเสียอย่างไม่ค่อยเต็มใจเสียเท่าไหร่
หลังจากที่เดินกลับมาที่เรือนบุปผาภิรมย์แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นถึงได้พบว่าภายในจวนสกุลมู่ได้ประดับตกแต่งด้วยโคมไฟจีนและผ้าไหมสีแดงอย่างมากมาย อักษรมงคลกับคำอวยพรต่างถูกติดจนทั่วไปหมด
ในเวลานี้ ลัวหนิงอวี่ที่เดินออกมาจากด้านในของเรือนบุปผาภิรมย์ได้เห็นมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ด้านนอกก็ส่งรอยยิ้มให้ “อวิ๋นจิ่น ทุกที่น้อยใหญ่ในจวนสกุลมู่ต่างประดับตกแต่งไว้เป็ที่เรียบร้อยแล้ว ขาดเพียงเรือนมวลบุปผาเท่านั้นยังไม่ได้ตกแต่ง เดี๋ยววันนี้ซานเหนียงจะให้บ่าวรับใช้มาช่วยจัดแต่งห้องหอให้เสียหน่อยแล้ว”
กระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ลัวหนิงอวี่ได้เอ่ยต่อไปว่า “ใช่แล้ว อวิ๋นจิ่น ไม่มีผู้ใดแตะต้องสิ่งของในเรือนทั้งนั้น เ้าวางใจได้”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าขึ้นลง “ขอบคุณซานเหนียง”
“คนครอบครัวเดียวกันไม่ต้องขอบคุณหรอก อย่างนั้นซานเหนียงไม่รบกวนแล้ว อวิ๋นจิ่นพักผ่อนให้เต็มที่” หลังจากลัวหนิงอวี่พูดจบ นางก็ก้าวเท้าเดินจากไป
มู่อวิ๋นจิ่นหันมองลัวหนิงอวี่ที่เดินจากไป ด้วยความรู้สึกในใจที่ไม่ค่อยสู้ดี
…
่เวลาไม่กี่วันมานี้ก็ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ในที่สุดก็มาถึงวันที่มู่อวิ๋นจิ่นต้องเข้าพิธีวัยปักปิ่นและแต่งงานออกเรือน
ในเช้าตรู่ของวันนี้ มู่อวิ๋นจิ่นถูกจื่อเซียงปลุกขึ้นมาจากภวังค์แห่งความความฝัน ด้วยเสียงของนางที่ดังขึ้นข้างหู “คุณหนูวันนี้เป็วันมงคล จะเอาแต่นอนไม่ได้เ้าค่ะ”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นขยี้ตาไปมาอย่างเชื่องช้า ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง พอเหลือบตามองไปที่พบว่ายามนี้ เป็ยามเม่าสือเท่านั้น
ระหว่างที่อาบน้ำชำระร่างกายเป็ที่เรียบร้อย มู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อยมานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้จื่อเซียงทำผม
“คุณหนูวันนี้เป็วันดีทั้งเป็วันปักปิ่นและวันแต่งงานออกเรือนพร้อมกัน ดังนั้นเราจำต้องทำพิธีให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ค่อยนั่งเกี้ยวที่องค์ชายหกเตรียมให้กลับไปที่จวนองค์ชายเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ
ไม่นานนัก มู่อวิ๋นจิ่นก็สางผมและเกล้าขึ้นเป็ที่เรียบร้อย ด้านนอกประตูมีแม่นมยืนรอเปลี่ยนอาภรณ์ที่มีสีสันหลากหลายอยู่
“สมแล้วที่คุณหนูสามเป็หญิงที่งดงามที่สุดในอาณาจักรซีหยวน ทั้งกิริยามารยาท ท่วงท่าการเดินไม่เป็รองผู้ใดในใต้หล้า” แม่นมคนหนึ่งพลางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากเล็กน้อยพร้อมกับเดินไปที่ห้องโถงโดยมีแม่นมให้จับมือ
ในวันนี้เป็วันที่มู่อวิ๋นจิ่นเข้าวัยปักปิ่นและแต่งงานออกเรือน ห้องโถงของจวนสกุลมู่จึงมีแเื่มาร่วมไม่น้อย มู่หลิงจูผู้น้องได้แต่งอาภรณ์งดงามมาร่วมงานก่อนหน้าแล้ว
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นมาถึงห้องโถง สายตาของแเื่ต่างหันมาจับจ้องนางเสมือนมีแรงดึงดูดมหาศาล
มู่หลิงจูที่เห็นภาพเหตุการณ์นั้นได้แต่กัดฟันกรอด กำมือทั้งสองข้างจนสั่นไปหมด
“ได้เวลาอันเป็มงคลแล้ว เริ่มพิธีเสียบปิ่นปักผมได้”
เมื่อได้ยินเสียงของอัครเสนาบดีมู่ มู่หลิงจูได้คุกเข่าลงไปกับพื้น โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้เป็พ่อ
มู่อวิ๋นจิ่นที่แม้ไม่อยากจะคุกเข่าให้ผู้ใด ทว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าพลอยให้นางจำต้องทำสิ่งที่ไม่้านี้ลงไป
ลัวหนิงอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างลุกยืนขึ้นมาหยุดลงเบื้องหน้าคุณหนูทั้งสอง เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “หากผ่านพิธีวัยปักปิ่นแล้ว พวกเ้าทั้งสองถือว่าจะเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วนะ”
เมื่อกล่าวจบลง ลัวหนิงอวี่ได้หยิบปิ่นหยกมรกตมาจากแม่นมที่ถือถาดอยู่ด้านข้าง บรรจงเสียบไปที่ผมที่เกล้าเป็อย่างดีของมู่อวิ๋นจิ่นอย่างเบามือ
จากนั้นได้หยิบปิ่นหยกมรกตอีกชิ้นเสียบไปที่ผมที่เกล้าเป็อย่างดีของมู่หลิงจู
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี แเื่ต่างอวยพรกันเสียงอื้ออึงไปทั่ว “ท่านอัครเสนาบดีมู่ ยินดีด้วย บุตรสาวทั้งสองของท่านได้กลายเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว”
อัครเสนาบดีมู่แย้มยิ้มด้วยจิตใจที่ฟูฟ่องพองโต
“เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อเสร็จสิ้นพิธีวัยปักปิ่นแล้ว พวกเราก็ประคองคุณหนูสามกลับไปเปลี่ยนอาภรณ์ในชุดแต่งงานกันได้แล้ว” แม่นมคนหนึ่งพูดอย่างดีใจ
มู่หลิงจูที่เห็นภาพเหตุการณ์ได้แต่กัดฟันกรอด ๆ มองมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ด้านหลังด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะเงยหน้ามองห้องโถงที่ตกแต่งเป็สีแดง นั่นหมายความว่าความพยายามที่นางทำมาทั้งหมดพังทลายจนหมดสิ้นแล้ว
ทางด้านมู่อวิ๋นหานเอาแต่ยิ้มมุมปาก มองไปตรงปิ่นมรกตที่มู่อวิ๋นจิ่นได้รับไปเมื่อครู่
ในที่สุดเ้าเด็กน้อยก็เติบโตเป็ผู้ใหญ่เสียที
…
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับมาที่เรือนมวลบุปผา แม่นมและบ่าวรับใช้ต่างมาช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประทินโฉมกันใหม่
ในเวลานี้มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่เบือนปากยืนนิ่ง ๆ ให้พวกนางเปลี่ยนชุดที่เพิ่งใช้เวลาแต่งตัวมานานกว่าครึ่งชั่วยามออกอย่างรวดเร็ว
ลัวหนิงอวี่กับมู่เซี่ยโหรวเดินตามมาจากห้องโถงเพื่อมาดูมู่อวิ๋นจิ่นเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่
มู่เซี่ยโหรวยิ้มน้อย ๆ ออกมา “เมื่อครู่พี่สามแต่งตัวงดงามเหลือเกิน อีกประเดี๋ยวก็จะกลายเป็เ้าสาวคนใหม่แล้ว”
“ขอบใจน้องห้า”
ไม่นานนัก จื่อเซียงก็ได้เข้ามาเกล้าผมให้ผู้เป็นาย ซึ่งเป็ทรงที่เ้าสาวทำกัน เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นมองตนเองในกระจกดังนั้น ก็เกิดรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาฉับพลัน
การแต่งงานออกเรือนหาใช่สิ่งที่นางนั้นใฝ่ฝันมาก่อนในชีวิตนี้
“มาแล้ว มาแล้วเ้าค่ะ ตอนนี้นอกประตูจวนสกุลมู่มีขบวนสู่ขอมารับแล้ว พวกบ่าวจะต้องพาเ้าสาวใหม่ออกไปแล้วเ้าค่ะ” แม่นมคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมกับนำผ้าแดงคลุมหน้าสวมให้มู่อวิ๋นจิ่น
หลังจากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็จับแขนแม่นมเดินออกจากเรือนบุปผาภิรมย์
กระทั่งเดินถึงห้องโถงรับรอง มู่อวิ๋นจิ่นพลันนึกขึ้นได้ เป็เพราะฉู่ลี่เป็องค์ชายจึงไม่ต้องมารับนางด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ?
แม้ว่าฉู่ลี่ไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่นางจากใจจริง แต่ก็ไม่ควรที่จะไม่มาแบบนี้ สิ่งนี้ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าไหร่นัก
พอเดินผ่านห้องโถงแเื่ ก็ต่างพากันส่งเสียงร้องแสดงความยินดีกันเกรียวกราว เสียงประทัดถูกจุดตลอดทางเดินจนเสียงดังสนั่นไปทั่วจวน
“เ้าสาวใหม่ขึ้นเกี้ยวได้” เสียงแม่นมเอ่ยขึ้นเสียงดัง หลังจากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็ค่อย ๆ ขึ้นเกี้ยวมุ่งหน้าไปที่จวนขององค์ชายหก
พอเดินขึ้นไปนั่งเป็ที่เรียบร้อย มู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อยเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออก ถอนหายใจยืดยาวออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นจับผ้าม่านเปิดแง้มออกดูภายนอก
ในเวลานี้ขบวนรับตัวเ้าสาวกำลังเคลื่อนผ่านถนนที่คึกคักที่สุดในเมือง สองข้างทางมีชาวบ้านมาดูการแห่ขบวนอย่างล้นหลาม รวมทั้งชาวบ้านที่เตรียมดอกไม้มาโปรยแสดงความยินดี ขณะที่ขบวนเดินทางผ่านมา
หลังจากนั้นไม่นานเกี้ยวได้มาหยึดตรงหน้าประตูจวนขององค์ชายหก
มู่อวิ๋นจิ่นกวาดสายตามองประตูไปรอบ ๆ ก่อนจะหยิบผ้าคลุมแดงขึ้นมาคลุมตามเดิม แล้วจับแขนแม่นมเดินลงจากเกี้ยว
ด้านนอกประตูจวนองค์ชายหก มีคนมายืนรอต้อนรับอยู่ไม่น้อยทั้งฉู่ชิง ฉู่ซิ่น ฉู่เย่ ฉู่ชิงหยวน อีกทั้งองค์หญิงองค์ชายที่เป็พระสหายขององค์ชายหกต่างมากันจนเกือบครบ
ฉู่ลี่เดินออกมาจากหน้าประตูใหญ่ เขาเผยยิ้มมุมปากขึ้นมา พร้อมเดินออกมาด้วยอาภรณ์แต่งงานสีแดงสดที่ตัดเย็บอย่างประณีต
มู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่ในเกี้ยว ได้ยินเสียงของแม่นมเอ่ยด้วยความปรีดา “องค์ชายหกเดินเข้ามารับเ้าสาวที่เกี้ยวได้เพคะ”
“อืม” ฉู่ลี่ตอบกลับเสียงเรียบ
จากนั้นม่านที่เกี้ยวได้ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า ด้านนอกมีมือยื่นเข้าไป พร้อมกับเสียงที่ราบเรียบ “ส่งมือมาให้ข้า”
ทันใดนั้นมู่อวิ๋นจิ่นยิ่งเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา จนอยากจะะเิความโกรธ เห็นได้ชัด ว่าเ้านี่้าแต่งนางเป็ภรรยาไม่ใช่หรือ ทำไมต้องทำประหนึ่งว่านางบังคับขู่เข็ญเขาให้มาแต่งงานด้วยก็มิปาน!
“เ้าแบกข้าออกไป” มู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่ในเกี้ยว้าเอาคืนฉู่ลี่
เมื่อแม่นมได้ยินที่มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้นถึงกับสะดุ้งโหยงกันทุกคน รีบยื่นหน้ากระซิบข้างหน้าต่าง “คุณหนูสาม วันนี้เป็วันแต่งงาน อย่าทำให้องค์ชายหกไม่พอพระทัยเลยเ้าค่ะ”
“ฉู่ลี่ เ้าจะแบกหรือไม่แบก?” ดูเหมือนมู่อวิ๋นจิ่นไม่สนใจในสิ่งที่แม่นมกระซิบ นางกลับยิ่งพูดด้วยเสียงหนักแน่นอีกครั้ง โดยเรียกชื่อตรง ๆ ของฉู่ลี่ออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
ฉู่ลี่ที่ยืนดูข้างนอกได้ยินที่มู่อวิ๋นจิ่นพูดดังนั้น ถึงกลับหลุดหัวเราะออกมา ราวกับนึกถึงภาพของนางที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเบือนปากด้วยความไม่พอใจก็มิปาน
ชั่วพริบตาเดียว มีเสียงเรียบเอ่ยขึ้น “ขึ้นมา”
เมื่อรู้ว่าฉู่ลี่ยอมแบกนางแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นค่อยคลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันด้วยความโล่งอก ก่อนเปิดม่านที่เกี้ยวออกแล้วะโขึ้นหลังฉู่ลี่
พอมู่อวิ๋นจิ่นะโขึ้นไปบนหลังของฉู่ลี่ นางััได้ถึงความหนาวเหน็บะเืแผ่ซ่านออกมาจากแผ่นหลังจนนางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ในระหว่างที่ฉู่ลี่เดินแบกมู่อวิ๋นจิ่นเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปข้างในจวน ฉู่ชิงที่ยืนอยู่นั้นกลับยิ้มออกมาที่เห็นฉู่ลี่โดนเล่นงานเสียบ้าง “ดูท่าแล้ว น้องหกของพวกเราดูจริงจังกับคุณหนูสามอยู่ไม่น้อย”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว พี่สะใภ้หกหน้าตางดงามถึงเพียงนั้น ่เหมาะสมกับพี่หกราวกับกิ่งทองใบหยก” ฉู่ชิงหยวนหัวเราะออกมา จากนั้นเดินเข้าไปในจวน
ด้านฉู่ชิงเฉียงที่ได้ยินฉู่ชิงหยวนสัพยอก ได้เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “นางเป็คนงามก็จริง แต่ไร้ความสามารถ ไม่เหมาะสมกับน้องหกของพวกเรา!”
“มีแต่ความงาม ไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือ? ชิงเฉียงเื่ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เ้ายังเชื่อข่าวลือพวกนั้นอยู่อีกหรือ?” ฉู่ชิงขมวดคิ้วมองฉู่ชิงเฉียงด้วยความฉงนใจ
ฉู่ชิงเฉียงถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก
…
บรรดาผู้มาร่วมงานที่ยืนรอต้อนรับอยู่ด้านนอก ต่างอึ้งกับภาพที่ฉู่ลี่ยอมแบกมู่อวิ๋นจิ่นขึ้นหลัง
คงมีเพียงติงเสี่ยนผู้เดียวกำลังฝืนกลั้นหัวเราะเอาไว้ ที่เห็นองค์ชายหกของเขาต้องสยบให้กับคุณหนูสามสกุลมู่เสียแล้ว
ดูท่าแล้วคุณหนูสามมู่มีความสามารถอยู่มิน้อยทีเดียว!