หากเป็เมื่อก่อน การที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ หลิ่วหว่านหรงก็คิดว่าตัวนางน่าจะมีความสุขจนเป็บ้าไปแน่แล้ว แต่หลังจากที่ป่วยหนักไปรอบหนึ่ง ได้เห็นท่าทางของมารดาที่ร้องไห้อยู่ข้างเตียงตน นางก็คล้ายจะมองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนขึ้น เพราะความรู้สึกอันใดนั่น แท้จริงแล้วไม่อาจบีบบังคับกันได้ ถึงแม้นางจะไม่อยากแต่งงาน แต่ก็ไม่อยากใช้ชีวิตต่อไปด้วยการเฝ้าเก็บรักษาความรู้สึกที่มีต่อเขาไปชั่วชีวิต
ตอนนี้นางจึงตัดสินใจวางมือแล้ว แต่เหตุใดชายผู้นี้กลับยังจะมาหาเื่ตนอีก
อวิ๋นไห่มองสตรีที่อยู่เคียงใกล้หลั่งน้ำตา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ชีวิตของเ้าเป็ข้าที่ช่วยไว้ หากเ้าจะแต่งงาน คนผู้นั้นก็ต้องเป็คนที่ข้ายอมรับ มิเช่นนั้น ชั่วชีวิตนี้เ้าก็เลิกฝันว่าจะแต่งออกไปได้เลย และหากเ้ากล้าหมั้นหมายกับชายอื่น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็ผู้ใด ข้าล้วนมีวิธีที่จะทำให้คนคนนั้นต้องตายเป็ศพไม่ครบส่วน”
อวิ๋นไห่ในยามนี้จะยังดูสง่างามเยือกเย็นเช่นเดิมได้อย่างไรกัน เขาไม่ต่างจากผีชั่วร้ายที่ปีนออกมาจากขุมนรก หว่านหรงมองเขาด้วยสายตาดุดัน “คนแซ่อวิ๋น หากท่านบีบบังคับข้าเพียงนี้ อย่างมากข้าก็แค่โกนผมเป็ชี นับแต่นี้เป็ต้นไปตัวข้านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับท่าน เช่นนี้คงได้แล้วกระมัง ท่านพอใจแล้วใช่หรือไม่”
พูดไปพูดมา หว่านหรงก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ นางชอบเขามากมายเพียงนั้น แต่เขากลับบีบคั้นนางครั้งแล้วครั้งเล่า คนสารเลวนี่ ตอนนั้นเหตุใดนางถึงได้ตาบอดไปชอบคนเยี่ยงเขาได้นะ
อวิ๋นไห่ยื่นมือออกไปช่วยเช็ดหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นให้นาง จากนั้นพูดเสียงเบา “เด็กดี ไม่ร้องไห้แล้ว ถ้ายังร้องอยู่เช่นนี้ ก็จะไม่น่ามองแล้วนะ ขอแค่เ้าเป็เด็กดี เชื่อฟังข้า และอย่าได้คิดถึงเื่ที่จะแต่งออกไปอีก ข้าขอรับรองว่าจะไม่ทำร้ายเ้า”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากปากนาง ชั่วขณะนั้นสีหน้าของอวิ๋นไห่ก็ขรึมลง “คำพูดของข้า เ้าไม่ได้ยินหรือ”
หว่านหรงตัวสั่น “ข้า ข้าได้ยินแล้ว”
“นี่สิ ถึงจะเป็แม่นางน้อยที่รู้ฟัง เป็เด็กดีคนนั้นที่ข้ารู้จัก อย่างไรเ้าก็วางใจเถอะ ข้าบอกแล้ว ขอแค่เ้าเชื่อฟัง ข้าย่อมไม่ตีเ้า แต่หากเ้าไม่เชื่อฟังละก็ ข้าจะกำจัดสาวใช้ข้างกายที่ไม่ได้เื่พวกนั้นของเ้า ทีละคน ทีละคน จากนั้นข้าก็จะหาคนที่ดีกว่าไปให้เ้า”
หว่านหรงอยากจะะโด่าเสียงดัง ชายคนนี้เป็บ้าไปแล้ว เหตุใดเมื่อก่อนนางถึงไม่เคยพบว่า เขาเป็คนบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ คนกล้ากระทำเื่ใดๆ โดยไม่สนใจผลลัพธ์แม้แต่น้อย กว่านางจะดึงสติกลับมาอีกครั้งได้ อีกฝ่ายก็จากไปแล้ว
หญิงสาวเหลียวซ้ายแลขวา มองรถม้าที่ไม่มีใครอื่น นอกจากตัวเอง จากนั้นจึงกอดเข่าทั้งสองข้างของตน ปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายในออกมาผ่านหยดน้ำตาที่หลั่งรินไม่ขาดสาย นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่ง ไม่รู้ว่าจะเล่าเื่นี้ให้ใครฟังดี ตอนนั้นหลังจากที่เขาช่วยนางไว้ก็เป็นางที่คิดอยากจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเขาไปชั่วชีวิต หากในใจเขามีนางอยู่ก็ช่างเถอะ ทว่า สิ่งที่ทำให้เศร้าโศกมากที่สุดก็คือ ในใจเขาไม่เคยมีนางอยู่เลย แต่คนกลับคิดหาวิธีมาก้าวก่ายชีวิตตน
อวิ๋นซีไม่รู้เื่ที่เกิดขึ้นระหว่างที่หว่านหรงกำลังเดินทางกลับ ยามนี้นางกำลังเอนกายอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยอย่างเกียจคร้านพลางจิตนาการถึงสีหน้าท่าทางในยามนี้ของชายารัชทายาทผู้นั้น นางพูดกับหวนเอ๋อร์ “ให้คนจับตาดูจวนรัชทายาทอย่างใกล้ชิด อีกประการหนึ่ง เื่ที่สนมซู่เฟยเจิ้งตั้งครรภ์ ก็ควรให้คนรับรู้ได้แล้ว”
หวนเอ๋อร์พยักหน้า “เพคะ หม่อมฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ณ จวนรัชทายาท
ลู่หลิงฉิงเอนกายอยู่บนเตียงด้วยอาการปวดศีรษะเล็กน้อย ในสมองของนางยังคงปรากฏภาพใบหน้าของชายผู้นั้นที่จวนหนิงอ๋องในวันนี้ รวมถึงฉากต่างๆ ที่ตนและเขาได้พันพัวกันอย่างแแ่เมื่อเดือนเก้าปีที่แล้ว
เหตุใดถึงเป็เช่นนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเขายังไม่ได้แต่งงานหรอกหรือ? แล้วเหตุใดถึงกลายเป็จวิ้นหม่าไปได้ มิหนำซ้ำยังมาอยู่ในเมืองหลวงด้วย ในตอนนั้นเขาอยากจะรู้สถานะของนางอยู่หลายครั้ง และเป็นางที่ปิดบังไว้
วันนี้ที่ไปจวนหนิงอ๋องนับว่าผิดพลาดจริงๆ นางลูบหน้าท้องของตนอย่างเบามือ นอกจากเฉียวอวิ๋นซีแล้ว นางก็ไม่เคยเคียดแค้นใครเช่นนั้นมาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับแค้นใจต่อชายผู้นั้นที่ไม่อาจทำให้นางมีลูกได้
คนคนนั้นก็คือสามีของนาง หลายปีมานี้เพื่อจะมีลูก เขาต้องกระทำเื่เช่นนั้นกับสตรีไม่น้อย แต่โชคร้ายที่ไม่มีสตรีนางใดตั้งครรภ์เลยสักคน หากเขามีความสามารถสักหน่อย นางก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้
ทว่า ในตอนที่จิตใจนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จู่ๆ สาวใช้ข้างกายคนหนึ่งก็รีบร้อนเดินเข้ามา “ชายารัชทายาทเพคะ คนที่เรือนสนมซู่เฟยเจิ้งมารายงานว่าสนมซู่เฟยตั้งครรภ์แล้ว คนตั้งครรภ์มานานกว่าหนึ่งเดือนแล้วเพคะ”
ลู่หลิงฉิงลุกขึ้นนั่งทันที นางชี้นิ้วไปที่สาวใช้ เอ่ยถาม “เ้าว่าอันใดนะ สนมซู่เฟยชั้นต่ำนางนั้นตั้งครรภ์แล้ว? ”
“เพคะ ได้ยินมาว่าตั้งครรภ์มากว่าหนึ่งเดือนแล้ว อีกทั้ง หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงยังกล่าวว่า เป็ไปได้แปดเก้าส่วนที่ในครรภ์นั้นจะเป็คุณชาย” ในตอนที่สาวใช้กำลังพูดอยู่นั้น แท้จริงแล้วในใจนางหวาดกลัวยิ่ง ชายารัชทายาทผู้นี้มิใช่คนที่อารมณ์เย็นแม้แต่น้อย ตอนนี้ยิ่งได้รู้ว่าสนมซู่เฟยมีข่าวดีแล้ว ผู้เป็นายจักต้องกริ้วแน่ และทุกครั้งที่พระนางกริ้ว ทุกคน ณ ที่แห่งนี้ก็ล้วนไม่ได้อยู่ดี
สายตาของลู่หลิงฉิงทอแววเ็า นางพูดขึ้นเรียบๆ “ในเมื่อน้องหญิงมีข่าวดีแล้ว เช่นนั้นเปิ่นเฟยในฐานะภรรยาหลวง ก็ควรจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย”
ไม่มีทางที่คนจะมีข่าวดีได้ นางไม่เชื่อ เพราะมิใช่ว่าโอวหยางเทียนหัวไร้สามารถหรือ? เหตุใดเขายังสามารถทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้ เื่นี้เป็ไปไม่ได้หรอก
ข่าวคราวของสนมซู่เฟยเจิ้งได้ไปถึงหูขององค์รัชทายาทแล้ว เขาที่ได้ทราบข่าวและกลับมาถึงจวนก็เร่งรี่ไปยังตำหนักนาง ยามนี้เขากำลังแย้มยิ้มพลางกอบกุมมือสนมซู่เฟย พูดเสียงเบา “วันหน้าอยากกินอะไรก็บอกให้ห้องเครื่องจัดเตรียมให้เ้า แต่หากพวกเขาไม่เห็นสนมรักอยู่ในสายตา ก็มาบอกเปิ่นไท่จื่อ ไม่ว่าอย่างไรเปิ่นไท่จื่อย่อมต้องช่วยระบายความโกรธนั้นให้เ้าแน่”
เมื่อสนมซู่เฟยได้ยินก็ยิ้มกริ่มพร้อมอิงแอบแนบอกเขา “ทราบแล้วเพคะ ขอบพระทัยองค์รัชทายาที่ทรงปกป้องหม่อมฉันและลูกในท้องถึงเพียงนี้ วันหน้ารอจนเขาคลอดออกมา หม่อมฉันจะต้องบอกเขาแน่ว่า ยามที่เขายังอยู่ในท้องของหม่อมฉัน รัชทายาททรงปกป้องดูแลเขาดีเพียงใด”
ในเวลาเดียวกันนั้น ยามที่ลู่หลิงฉิงก้าวเข้าไปในห้องก็เห็นฉากที่ขัดหูขัดตาเยี่ยงนี้เข้าพอดี สามีของนางกำลังกอดสตรีอีกนางหนึ่ง ทั้งยังบอกกล่าวจะปกป้องคนเป็อย่างดี เดิมทีสิ่งเหล่านี้ควรจะเป็ความสุขของนางแต่เพียงผู้เดียว เหตุใดจึงต้องปันให้ผู้อื่น
มือที่แอบอยู่ในแขนเสื้อของนางกำแน่น เมื่อดึงสติกลับมาได้ก็เดินยิ้มเข้าไปหาคนทั้งสอง “รัชทายาท หม่อมฉันได้ยินมาว่า น้องเจิ้งเล็กมีข่าวดีแล้ว มิคาดจะเป็เื่จริง ถ้าเช่นนั้นในปีนี้จวนรัชทายาทของเราก็จะมีเด็กถึงสองคนถือกำเนิด”
โอวหยางเทียนหัวยิ้มพยักหน้า แต่เมื่อเห็นลู่หลิงฉิงกำลังจะถวายความเคารพเขา เขาก็รีบปล่อยสนมซู่เฟยเจิ้ง และเข้าไปประคองลู่หลิงฉิงไว้ “กายเ้ามีสองชีวิต เปิ่นไท่จื่อเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าวันหน้าหากเจอข้าไม่ต้องคารวะ ไม่ว่าอย่างไรในท้องของพวกเ้าก็ล้วนมีเืเนื้อเชื้อไขของเปิ่นไท่จื่ออยู่ พวกเ้าล้วนเป็ผู้มีคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่”
ลู่หลิงฉิงเพียงยิ้มน้อยๆ หึหึ ผู้มีคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่? ไม่แน่หรอกกระมัง เพราะในใจของเขามีเพียงคนที่จะสามารถ่ชิงตำแหน่งนั้นมาให้เขาได้เท่านั้นถึงจะเป็ผู้มีคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ ส่วนพวกนางก็เป็แค่หินรองเท้าที่ให้เขาเดินไต่เต้าไปถึงตำแหน่งนั้นก็เท่านั้น ่นี้นางได้ขบคิดหลายสิ่งจนชัดแจ้งแล้ว บุรุษตรงหน้าผู้นี้เป็เพียงคนคนหนึ่งที่ไร้หัวจิตหัวใจ สิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขาน่าจะมีแค่ตำแหน่งสูงส่งนั่นกระมัง เพราะหากนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลลู่ แน่นอนว่า เขาก็คงไม่แม้แต่จะแยแสนาง ดังนั้น หากในวันหน้าเขาได้กลายมาเป็ฮ่องเต้จริงๆ อันดับแรกที่เขาจะทำคงเป็การกำจัดตระกูลลู่ให้พ้นทาง ด้วยเื่นี้คงเหมือนกับตอนนั้นที่เขาปฏิบัติต่อจวนเฉียวกั๋วกง เพียงเพราะคนไม่มีคุณค่าให้หลอกใช้แล้ว