หลังจากเฝ้ารอให้เหล่าศิษย์ทยอยเดินออกไปพร้อมกันจนหมด หลี่อวิ๋นหังยังคงอยู่ที่เดิม คัดลอกและเขียน เพียงทำเป็ว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่ได้อยู่ด้วย
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดแล้ว สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปหาอย่างหน้าหนา แล้วนั่งขัดสมาธิอย่างไม่ยี่หระตรงข้ามอีกฝ่าย ฝ่ามือทั้งสองข้างเท้าคางบนโต๊ะก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “อาหังยังเขียนไม่เสร็จอีกหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้วแน่น ขยับตัวห่างจากเขาเล็กน้อยอย่างเงียบงัน
อันที่จริงแล้วเจียงเฉิงเยว่หาเื่ให้ตนเอง แต่ก็ไม่โกรธ ยังคงยิ้มใสซื่อและจ้องมอง ถึงอย่างไรหลี่อวิ๋นหังก็เติบโตมาอย่างงดงาม เมื่อได้ชมความงามแล้วกลับดีต่อสายตานัก เขาหยุดคิดไม่ได้เลยว่าหากมีน้องชายที่น่ารักและงดงามเช่นนี้จะดีเพียงไหน หลี่อวิ๋นเฉินบ่มเพาะความโชคดีมากี่ชาติกัน...
เป็ระยะเวลานาน ในที่สุดหลี่อวิ๋นหังอดไม่ได้ที่จะเปิดปาก แต่เขากลับกล่าวเพียงหนึ่งประโยคอย่างเฉยชา “ท่านบังแสงของข้า!”
“โอ้” องค์รัชทายาทรับฟังคำพูด จากนั้นหลีกทาง ผลักตะเกียงไปทางนั้นให้
หลี่อวิ๋นหังเหลือบมองเขาอย่างเ็าแวบหนึ่ง เริ่มเขียนคัดลอกต่อไป
่ที่กำลังคัดลอก เจียงเฉิงเยว่กลับพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ฝ่ามือซ้ายของหลี่อวิ๋นหังซุกอยู่ในแขนเสื้อ มีเพียงปลายนิ้วที่โผล่พ้นออกมา ศิษย์ของวิหารหลิงเซียวสวมชุดที่มีแขนกว้าง ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใด แต่เป็เขาที่พบว่ายามชหลี่อวิ๋นหังพลิกหน้าหนังสือโดยใช้ฝ่ามือซ้ายสองสามครั้ง ล้วนไม่ขยับข้อมือนัก แต่กลับยกขึ้นทั้งแขนอย่างเปลืองแรงเป็อย่างยิ่ง
แววตาของเจียงเฉิงเยว่นิ่งค้าง จากนั้นรีบคว้ามือซ้ายของอีกฝ่ายแล้วเปิดแขนเสื้อออก การกระทำเช่นนี้ทำให้หลี่อวิ๋นหังอดขมวดคิ้วไม่ได้ เป็ดังที่คาด ระหว่างแขนขาวที่งดงามกับมือเล็กที่อวบอ้วนยังไม่เป็ผู้ใหญ่นั้น ข้อมือบวมราวกับหมั่นโถว
“อาหัง...” เจียงเฉิงเยว่รู้สึกปวดใจอย่างกะทันหันราวกับถูกเข็มทิ่ม เขาเสียใจจนอยากตบตนเองเป็อย่างยิ่ง กล่าวอย่างโกรธเคือง “ทำไมฝ่ามือของเ้าบวมจนกลายเป็เช่นนี้แล้วถึงไม่บอกกัน?”
หลี่อวิ๋นหังดิ้นรน กลับถูกเจียงเฉิงเยว่คว้าเอาไว้ ระหว่างที่ยื้อยุดไปมาเขาเจ็บจนใบหน้าเริ่มซีดขาว ทว่ากลับเม้มปากโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “ข้าจะทายาให้”
หลี่อวิ๋นหังตอบกลับ “ไม่จำเป็!”
เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้สนใจ เขาหยิบยาขับและสลายเื ยาใช้ภายนอกลดอาการปวดบวมจากถุงผ้าที่เอวมาวางบนฝ่ามือ เมื่อหันไปมองหลี่อวิ๋นหังจึงเห็นว่าเขาถือโอกาสซ่อนมือซ้ายไว้ด้านหลัง
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “อาหัง ยื่นมือออกมา”
หลี่อวิ๋นหังเผยความเอาแต่ใจขึ้นมา เอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่้าให้ท่านมาดูแล!”
เจียงเฉิงเยว่รีบร้อนบอก “ครั้งที่แล้วที่ล้มจนาเ็ก็เป็ฝ่ามือนี้ อาการาเ็ยังไม่หายดี ครั้งนี้ยังเป็ฝ่ามือนี้ที่เคล็ดอีก...สุดท้ายแล้วเ้ายัง้าฝ่ามือที่มีปัญหานี้ของเ้าอยู่หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังปฏิเสธอย่างสุดชีวิต “จะ้าหรือไม่้านี่คือมือของข้า เกี่ยวอะไรกับท่าน?”
เจียงเฉิงเยว่ยอมแล้ว เขาทั้งโกรธและสำนึกผิด จึงทำได้เพียงง้ออีกฝ่ายด้วยเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ บรรพบุรุษตัวน้อยของข้า เลิกโกรธเสด็จพี่ได้หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
เมื่อเจียงเฉิงเยว่เห็นว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายผ่อนคลายเล็กน้อย เขาเพิ่มท่าทางอ่อนน้อมในทันที ขาดแค่พนมมือสิบนิ้วเพื่อบูชาอีกฝ่ายในฐานะบรรพบุรุษ ขณะที่ยังคงง้อเขาถือโอกาสเบี่ยงเบนความสนใจ ค่อยๆ ยื่นมือไปััมือซ้ายที่ซ่อนอยู่ จับมาไว้บนฝ่ามือพร้อมทายาขี้ผึ้งลงไป ขณะเดียวกันก็นวดฝ่ามือให้ “เสด็จพี่ผิดไปแล้ว...ครั้งนี้ต้องโทษข้า ไม่ควรมีความคิดไปเก็บเห็ดสนบ้าอะไรนั่น...เป็เสด็จพี่ที่โลภเอง ทั้งยังทำให้อาหังได้รับาเ็...เ้าอย่าโกรธข้าเลยได้หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังมองข้อมือของตนเองที่ถูกนวดด้วยฝ่ามือทั้งสองของเขา เริ่มสับสนเล็กน้อย
ยาขี้ผึ้งนั้นจำเป็ต้องเพิ่มการนวดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น หากนวดแรงก็กลัวว่าจะเจ็บ แต่หากนวดเบาๆ นั้นอาจไม่ได้ผล เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงใช้แรงปานกลาง ลูบข้อมือเล็กนุ่มของอีกฝ่ายแ่เบา ขณะเดียวกันยังคงง้อ “หากเจ็บก็บอกเสด็จพี่ ห้ามทนอย่างเด็ดขาด...”
ดวงตาของหลี่อวิ๋นหังหลุบมองที่ข้อมือของตนเอง แล้วค่อยๆ เคลื่อนไปบนใบหน้าของอีกฝ่าย มองอยู่เป็เวลานาน
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกได้ถึงสายตา เมื่อเขาหันมองอีกฝ่ายกลับรีบถอยห่างออกไป เจียงเฉิงเยว่แอบหัวเราะ คิดในใจว่าไม่ว่าภายนอกจะทำตัวเป็ผู้ใหญ่อย่างไร ท้ายที่สุดแล้วยังคงเป็เด็กอยู่ดี เด็กเอ๋ย...เป็ดังที่คาดว่ายัง้าได้รับการง้อ เมื่อคิดถึงตรงนี้เขากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “เสด็จพี่อยากขอบใจอาหังที่คอยปกป้อง...ทั้งกลัวว่าหลังจากนี้อาหังจะได้รับาเ็หากยังทำเช่นนี้”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
“ดังนั้นอาหังต้องสัญญากับข้า หากปกป้องผู้อื่นต้องจำไว้ว่าจะปกป้องตนเอง...อย่าพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่อันตรายตามอำเภอใจ เข้าใจหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังมองมาที่เขา ดวงตากลมโตที่นองไปด้วยน้ำตามีความประหลาดใจและตกตะลึง ดวงตาทั้งสองคู่สบกันเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่มองใบหน้าซาลาเปาที่งดงามของอีกฝ่าย ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกว่าน่ารัก ราวกับถูกมนต์สะกดอะไรบางอย่าง เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบใบหน้านั้น และแล้วใบหน้านั้นพลันเผยรอยยิ้มตามใจโดยไม่รู้ตัว
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึง เขารีบเก็บสีหน้าโดยสัญชาตญาณ เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างไปครู่หนึ่งแล้วดึงมือออกอย่างอับอาย
ด้วยเหตุนี้ บรรยากาศจึงเงียบอย่างน่าประหลาดใจอีกครั้ง ผ่านไปเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่ถึงหน้าแดงแล้วกำหมัดเพื่อปิดปากพร้อมกระแอมไอเล็กน้อย หลังจากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “พรุ่งนี้เสด็จพี่จะทายาให้เ้าเพื่อไถ่โทษดีไหม?”
หลี่อวิ๋นหังหันศีรษะ ฝ่ามือซ้ายยังคงถูกเจียงเฉิงเยว่จับนวดอยู่ในมือ ส่วนฝ่ามือขวายังคงคัดอักษรต่อไป เขาก้มศีรษะมองปลายพู่กันที่เคลื่อนไหวอยู่บนกระดาษของตัวเองเป็เวลานาน ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
“เด็กดี” ใจของเจียงเฉิงเยว่อ่อนยวบ เขายื่นมือออกไปอย่าง้าััศีรษะของอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่เมื่อยกมันขึ้นไปในอากาศเขากลับนิ่งค้าง สายตามองไปที่มือขวาของตนเองที่ไม่รักดี ก่อนเก็บมือกลับมาด้วยรอยยิ้มแข็งค้าง
...…..........................
วันต่อมา เจียงเฉิงเยว่พบหลี่อวิ๋นหังในลาน เขาทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “อาหัง อรุณสวัสดิ์”
หลี่อวิ๋นหังมองมาพลางเม้มปากไม่ส่งเสียง ทว่าใบหน้ากลับแดงขึ้นเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่คุ้นเคยกับการที่เขาไม่ตอบสนองเช่นนี้แล้ว ส่วนอิ้นไป่ผู้ติดตามหลี่อวิ๋นหังอยู่ด้านหลังทำความเคารพอย่างมีมารยาท “ฝ่าา”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหันกลับมาหาหลี่อวิ๋นหัง ก้มตัวลงเล็กน้อยพลางเอามือทั้งสองค้ำที่เข่าแล้วจ้องมอง ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้อมือยังเจ็บอยู่หรือไม่? ยังบวมอยู่ไหม? ให้เสด็จพี่ดูหน่อยสิ”
หลี่อวิ๋นหังใ รีบเอามือซ้ายไพล่หลังพลางถอยไปสองก้าว ใบหน้าของเขาแดงยิ่งกว่าเดิม สถานการณ์นี้ทำให้อิ้นไป่ที่อยู่ด้านหลังจ้องมองด้วยความตกตะลึง “องค์ชายห้า...”
เมื่อเจียงเฉิงเยว่เห็นการตอบสนองที่รุนแรงเช่นนี้ก็อับอายเล็กน้อย เขามองอิ้นไป่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง จำได้ว่าเมื่อคืนเขาสัญญากับอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้วว่าจะช่วยทายา เห็นท่าทางเช่นนี้ย่อมไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร หลังจากรอสอบถาม ทันใดนั้นข้าราชบริพารผู้หนึ่งที่เจียงเฉิงเยว่พามากลับเข้ามาประสานมือทำความเคารพพวกเขาทั้งสองพร้อมกล่าวกับเขา “ฝ่าา ราชครูมีรับเชิญ”
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงเลิกสนใจหลี่อวิ๋นหัง เขายืดตัวขึ้นกล่าวอย่างแปลกใจ “อาจารย์เรียกหาข้า? เ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ข้าราชบริพารผู้นั้นตอบ “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงเยว่เม้มปาก แล้วหมุนตัวแล้วเดินไปหาราชครูตามคำแนะนำของข้าราชบริพาร ขณะเดียวกันก็กล่าว “ช่างเถอะ ข้าจะไปดูเอง”
“ฝ่าา...ข้าไม่ได้จะว่าท่าน...หากท่านยังทรงทำเช่นนี้...” เดินไปสักพักเขากลับได้ยินอิ้นไป่ที่อยู่ด้านหลังกล่าวอย่างคลุมเครือ ราวกับกำลังพูดเกลี้ยกล่อมอะไรหลี่อวิ๋นหัง เมื่อหันกลับไปมอง หลี่อวิ๋นหังกลับใจนเบิกตากว้างเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวอยู่บ้าง
เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันคิดอย่างละเอียดกลับต้องเดินจากไปไกล เขาเกิดความสงสัยขึ้นมา
หลังจากตามข้าราชบริพารมาถึงโถงอวี้ไหลที่วิหารหลิงเซียวใช้สำหรับต้อนรับแขก เจียงเฉิงเยว่เห็นเหล่าศิษย์สำนักชิงเฟิงในชุดสีน้ำตาลอยู่ไกลๆ เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเป็คนเ่าั้ที่พบเมื่อวานนี้อย่างที่คาดคิด แต่ละคนต่างอดกลั้นกับความกลัวทำให้ไม่ทันรู้สึกตัว ภายหลังเฝ้ามองอีกครั้ง นอกจากผู้ที่ก่อเื่แล้ว ซ่งชิงอวี้ที่พบเมื่อวานนี้ก็อยู่ด้วย ด้านข้างยังมีนักพรตวัยกลางคนผู้มีเคราและเส้นผมขาวโพลนผู้หนึ่งนั่งอยู่ มองดูแล้วมีความเมตตาและอัธยาศัยดี เวลานี้กำลังดื่มชาพลางพูดคุยกับราชครูของเจียงเฉิงเยว่อย่างเป็มิตร
สำนักชิงเฟิงแห่งนี้ช่างเร็วดีจริงเชียว ให้เวลาพวกเขาสามวัน ผ่านไปเพียงหนึ่งวันกลับตัดสินเรียบร้อยและมาถึงที่นี่เชียวหรือ?
แม้ว่าจะมีฐานะองค์รัชทายาท แต่ก็เป็ศิษย์ด้วยเช่นเดียวกัน เจียงเฉิงเยว่จึงเดินไปหยุดนิ่งตรงหน้าราชครู พร้อมประสานมือทำความเคารพอาจารย์ของเขาอย่างสุภาพ “ท่านอาจารย์...เรียกศิษย์มาหรือ?”
ราชครูแห่งอาณาจักรจงซานผู้มีความสามารถในการบ่มเพาะอันยิ่งใหญ่ยิ้มก่อนกล่าว “เื่เมื่อวานนี้ นักพรตฉู่จากสำนักชิงเฟิงได้บอกกับข้าแล้ว...เดิมทีก็เป็ความเข้าใจผิด แต่ในเมื่อฝ่าาทรงเอ่ยปาก สำนักชิงเฟิงพร้อมยอมรับความผิดพลาดก่อนเอง จึงส่งศิษย์ผู้เกี่ยวข้องมาให้ฝ่าาทรงจัดการได้ตามพระทัย”
หากลองคิดดูแล้ว นักพรตวัยกลางคนผู้นั้นคือ ‘นักพรตฉู่’ นักพรตฉู่ผู้นั้นลุกขึ้นทำความเคารพเจียงเฉิงเยว่อย่างมีมารยาท เขาเป็ผู้าุโ เจียงเฉิงเยว่เป็ผู้เยาว์ จึงไม่อาจรับการเคารพอย่างเฉยเมยได้ เขาโค้งคำนับทำความเคารพกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้ นักพรตฉู่ผู้นั้นดูราวกับเป็ผู้ทรงความรู้และความกรุณา เริ่มกล่าวขออภัยในเวลาต่อมาทันที “ฝ่าา ศิษย์สำนักชิงเฟิงนั้นไม่รู้ความ ในฐานะอาจารย์ที่ปล่อยปละละเลยต่อการอบรมวินัย เป็มลทินที่ไม่ปัดออกมิได้...ศิษย์ที่ไร้ยางอายเหล่านี้กล่าวอย่างชัดเจนต่อหน้าเ้าสำนักว่า พวกเขาใช้จำนวนคนมากในการต่อสู้จริง ทั้งยังล่วงเกินองค์ชายห้าเมื่อหลายวันก่อน ต่อมากลับไม่รู้จักที่จะยอมรับและแก้ไข เพิ่มความเลวร้ายด้วยการขโมยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์ในสำนัก ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่น่าให้อภัย! เ้าสำนักของเราใและละอายใจเป็อย่างยิ่งที่ปรากฏศิษย์ชั่วร้ายออกมาในสำนักเช่นนี้
สำนักของเราก่อตั้งบนเขามากว่าร้อยสี่สิบปี มีไมตรีกับวิหารหลิงเซียว เกิดความขัดแย้งอย่างกะทันหันช่างเป็เื่ที่น่าเสียดายเสียจริง ดังนั้น ฉู่จึงได้รับคำสั่งจากเ้าสำนักให้นำศิษย์ชั่วร้ายเหล่านี้แบกไม้มารับโทษ1 จากฝ่าา ขอฝ่าาโปรดอภัยด้วย”
ศิษย์สำนักชิงเฟิงนี้ช่างอุกอาจ ผู้อยู่เบื้องบนนั้นลดทอนความหนักเบาของเื่ราวอย่างที่คิด เจียงเฉิงเยว่จึงพอใจยิ่ง แต่เขาไม่ลืมที่จะแสร้งทำเป็ว่าตนเองมีส่วนร่วมในเื่นี้ ยังคงแสร้งถามอย่างเป็กังวล “โอ้ เดิมทีเื่นี้เกิดขึ้นเพราะน้องห้าของข้า...แต่กลับไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเลย ไม่ทราบว่ามีสาเหตุอย่างไร?”
ซ่งชิงอวี้ตอบกลับ “เป็เพียงเพราะเหล่าศิษย์ชั่วร้ายพบสถานที่แห่งิญญาบนูเา องค์ชายห้าเสด็จผ่านไปอย่างบังเอิญในวันนั้น เหล่าคนไร้ประโยชน์จึงคิดว่าองค์ชายห้ากำลังมองหาสถานที่ิญญาเช่นเดียวกัน...จึงเข้าไปปะทะกับพระองค์”
เจียงเฉิงเยว่ถามต่อ “โอ้ ขอบังอาจถามนักพรตซ่งว่าสถานที่ิญญาอยู่ในขอบเขตของสำนักชิงเฟิงหรือไม่?”
ซ่งชิงอวี้ลำบากใจอยู่เล็กน้อย เป็เวลานานถึงเอ่ยตอบ “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วทำไม...เหล่านักพรตน้อยถึงเตรียมที่จะูเาอย่างาาเล่า?”
ใบหน้าของซ่งชิงอวี้ซีดขาว ปาดเหงื่อพร้อมกล่าว “สำนักของเราปล่อยปละละเลยในการอบรมสั่งสอน ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก”
พอใช้ได้ ไม่กลับกลอกนับว่าจริงใจ เจียงเฉิงเยว่กำลังคิดอยู่ในใจ แต่ริมฝีปากยังคงพูดอย่างไม่ปล่อยผ่าน “หากพูดเช่นนี้...ดูเหมือนว่าความผิดทั้งหมดจะอยู่ที่เหล่านักพรตน้อยของสำนักท่านกระมัง?”
ซ่งชิงอวี้กับนักพรตฉู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร “นี่...” เป็เวลานาน ซ่งชิงอวี้จึงถอนหายใจออกมา “กล่าวได้ว่าเป็เช่นนั้น...”
------------------------
[1] แบกไม้มารับโทษ เป็สำนวน หมายถึง ออกตัวยอมรับผิดก่อนจะโดนลงโทษ
