หมู่บ้านที่นางและลูกอาศัยอยู่ในยามนี้... มีชื่อว่า ม่อหวน หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงนักแต่กลับไม่มีใครเอ่ยถึง ไม่มีใครอยากย่างกรายเข้าไปแม้จะใกล้เมือง แต่เส้นทางกลับกันดารยิ่งนักดินทางนั้นขรุขระ โค้งชัน และแฝงด้วยความเงียบงันผู้คนจึงมักมองหมู่บ้านนี้เป็เพียง ทางผ่าน...ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครอยากอยู่
ม่อหวน หมู่บ้านที่แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ยังเดินทางมาถึงอย่างอ่อนแรงและก็เพราะความทุรกันดารเช่นนี้เอง...หมู่บ้านจึงกลายเป็ที่ซ่อนที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่ ไม่มีที่ให้หวนคืน
สตรีเ้าของร่างเดิม ดำรงชีวิตอยู่ภายในหมู่บ้านม่อหวนด้วยวิถีอันเรียบง่ายนางปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะ และรับจ้างหยิบจับงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเพื่อนบ้านใกล้เคียงเพื่อแลกข้าวของยังชีพแม้หมู่บ้านแห่งนี้จะห่างไกลความเจริญแต่ผู้คนกลับเปี่ยมด้วยน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามกำลัง
หลานจิ่วอวิ๋นทันทีที่รู้ว่าแม่ของตนหายป่วย เด็กน้อยก็เบาใจรอยยิ้มกลับคืนมาอีกครั้ง เขาวิ่งเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมีชีวิตชีวา ในส่วนของอดีต...สตรีเ้าของร่างเดิมไม่เคยเอ่ยปากบอกลูกชายว่าตนเป็ใคร หรือบิดาของเขาเป็คนเช่นไรไม่ใช่เพราะปิดบัง... แต่เพราะไม่อยากให้เขาแบกรับความเ็ปที่ไม่ควรเป็ของเด็ก
“พวกเขานั้นตายไปหมดแล้ว” นั่นคือคำตอบสั้น ๆ ที่นางพูดให้บุตรชายฟัง
“ฮ่า ฮ่า… คิก คิก…” เสียงหัวเราะของผู้คนลอยมาแ่เบาในยามเย็นหลานเยว่จ้องมองภาพของหนุ่มสาวที่หยอกเย้ากันอย่างอ่อนโยนและพ่อแม่ที่ยิ้มให้กับลูกน้อยราวกับทั้งโลกมีเพียงพวกเขานางไม่เข้าใจ...แต่ก็เฝ้ามอง พยายามเรียนรู้พยายามจะจดจำ และซึมซับสิ่งที่เรียกว่า ความรัก
ใบหน้าเ็าของนางพยายามเลียนแบบภาพตรงหน้าค่อย ๆ ขยับมุมปากราวกับกำลังเรียนรู้การ ยิ้ม เป็ครั้งแรกในชีวิต
มันช่างเป็รอยยิ้มที่ดูอบอุ่น และอ่อนโยน...หรืออย่างน้อยก็ ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้นทว่า… น่าแปลกนักในขณะที่กล้ามเนื้อบนใบหน้ายกขึ้นภายในอกของนางกลับว่างเปล่าอย่างน่ากลัว
บางทีหัวใจของนาง อาจด้านชาจนไม่เหลือความอบอุ่นดั่งคนที่ตายไปแล้ว แต่ยังต้องฝืนยืนอยู่ในโลกใบนี้แต่นั่นก็เพียงพอแล้วเพียงพอที่จะสวมบทบาทของ แม่ ที่อบอุ่นถึงแม้จะเป็แค่ละคร...ถึงแม้จะเป็เพียงการแสดงที่ไม่มีไออุ่นใด ๆ ก็ตาม
นางยอม... ยอมแสดงบทนี้เพื่อไม่ให้ลูกชายตัวน้อยของนางต้องรู้สึกว่าชีวิตของเขา... ขาดแคลนความรักเหมือนเช่นนางเคยเป็
“ลูกแม่ มากินข้าวได้แล้ว!” เสียงร้องเรียกอย่างอ่อนโยนดังมาจากสตรีคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลานเยว่หันไปมอง เด็กชายที่เพิ่งถูกเรียกก็คือเพื่อนเล่นของหลานจิ่วอวิ๋นเขาหยุดเล่นและรีบวิ่งกลับบ้านด้วยรอยยิ้มทันใดนั้น... หลานจิ่วอวิ๋นก็หันกลับมามองมารดาของตนดวงตากลมใสคู่นั้นกำลังเฝ้ารอ... รอคอยคำพูดเดียวกันจากเธอ
หลานเยว่หยุดนิ่งเล็กน้อย ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างที่เธอแอบฝึกเมื่อครู่รอยยิ้มบางเบาแผ่กระจายบนใบหน้าที่มักเยือกเย็นคราวนี้เธอส่งมันให้กับลูกชายของตนเองด้วยความอ่อนโยน
“หลานจิ่วอวิ๋น… ลูกแม่ เย็นนี้แม่ทำข้าวต้มให้เ้า”
น้ำเสียงของนาง... อ่อนโยน อบอุ่นราวกับกลั่นกรองจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทั้งที่ความจริงภายในใจของหลานเยว่นั้น ช่างว่างเปล่าและชาเย็นนางเพียงแค่ ลอกเลียน โทนเสียงของหญิงเมื่อครู่แต่กลับสามารถแสดงออกได้อย่างสมบูรณ์แบบราวกับเป็แม่ที่แท้จริง
เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า...การกระทำเล็ก ๆ เช่นนี้ สำคัญเพียงใดต่อหัวใจของเด็กคนหนึ่งทว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้ใบหน้าของหลานจิ่วอวิ๋นเปล่งประกายขึ้นในพริบตาดวงตากลมนั้นยิ้มก่อนริมฝีปากจะยิ้มตาม
“ท่านแม่!” เขาเรียกเสียงใสอย่างร่าเริงก่อนจะวิ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็มารดา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข…
ภายในบ้านไม้หลังเก่าท่ามกลางแสงไฟสลัวเสียงเล็ก ๆ ของหลานจิ่วอวิ๋นดังขึ้นอย่างร่าเริงเด็กชายเล่าถึงเื่ราวการเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ ตลอดทั้งวันใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ราวกับโลกทั้งใบคือสนามเด็กเล่นหลานเยว่นั่งฟังเงียบ ๆในมือของนางถือชามข้าวต้มที่ยังอุ่นสายตาเ็าที่เคยไร้แวว… กลับทอดมองบุตรชายอย่างนิ่งงัน
หัวใจของนาง…เต้นสะดุดขึ้นเพียงเล็กน้อยจังหวะหนึ่งที่ผิดปกติแต่ชัดเจนพอจะทำให้นางต้องรับรู้มันคือความรู้สึกบางอย่างเจือจางแต่แ่เบาอย่างอ่อนโยนนางไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรไม่รู้ว่ามันคือ ความสุข หรือ ความผูกพันแต่นางเคยัับางส่วนของมัน... นานมาแล้วก่อนที่ชีวิตจะกลายเป็เงาก่อนที่หัวใจจะด้านชา
“ลูกแม่... เ้าอย่าเที่ยวเล่นมากนักเลยหากเ้าล้มป่วย ไม่สบายขึ้นมา แม่จะทำเช่นไร…” เสียงของหลานเยว่ นุ่มนวล อ่อนโยนประโยคที่ดูห่วงใยและลึกซึ้งเช่นนี้…ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดขึ้นเองเธอแอบได้ยินเพื่อนบ้านพูดกับลูกชายของเขาเมื่อตอนสายและเพียงไม่นาน เธอก็จดจำไว้นำมาพูดกับบุตรชายของตนในค่ำนี้...ราวกับเป็ของเธอเอง
แต่เด็กชายไม่ได้รู้ถึงที่มาเ่าั้สิ่งที่เขาได้ยินคือ แม่ผู้ห่วงใยเขาจากใจจริง
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็ห่วง!”
หลานจิ่วอวิ๋นตอบกลับอย่างแข็งขัน “ถ้าข้าเติบใหญ่ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านแม่ลำบากอีกเป็อันขาด!”
น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความตั้งใจทำให้หัวใจของหลานเยว่สั่นไหวแม้ไม่อาจเข้าใจทุกอารมณ์แต่นางััได้ถึง บางสิ่ง ที่เรียกว่าความผูกพันนางยิ้ม... แม้เป็เพียงรอยยิ้มที่ฝืนเล็กน้อยมือข้างหนึ่งเอื้อมไปลูบศีรษะของลูกชายเบา ๆ
“แม่จะรอวันนั้น...แม่จะเฝ้ามองความสำเร็จของเ้า” คำพูดเ่าั้... สำหรับเด็กชาย มันคือคำมั่นสัญญาแต่สำหรับหลานเยว่ มันคือบทเรียนอีกบทว่าความรัก... อาจไม่จำเป็ต้องรู้สึกได้ทันทีขอเพียงตั้งใจมอบให้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันมีอยู่จริง
ท้องฟ้ากลางดึกพร่างพราวไปด้วยแสงดาวแสงจันทร์นวลผ่องทอดผ่านช่องหน้าต่างไม้ฉลุ เข้ามาััพื้นกระดานเก่าภายในบ้านเงียบงันภายในอ้อมอกของหลานเยว่ เด็กชายตัวน้อยนามว่า หลานจิ่วอวิ๋น กำลังหลับใหลอย่างสงบ
เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ราบเรียบ…ราวกับโลกทั้งใบปลอดภัยเพียงเพราะอยู่ในอ้อมแขนของมารดาแต่ในขณะที่ลูกชายฝันหวานผู้เป็แม่กลับลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นสงบนิ่ง ทว่าแฝงความตื่นรู้เธอค่อย ๆ ขยับกายอย่างเบาที่สุด เท้าของเธอััพื้นไม้ไร้แม้เสียงก่อนจะผละออกจากร่างเล็กของลูกชายอย่างเงียบงันราวกับเงา
เพราะจิติญญาของนักฆ่า... ไม่เคยหลับใหล
ภายนอก อากาศเย็นเยียบและเงียบงันใต้แสงดาว หลานเยว่ยืนอยู่กลางลานกว้างหลังบ้านร่างของเธอเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำทรงพลัง และไร้สุ้มเสียงเธอเริ่มฝึกฝีมืออีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่วงท่าที่เคยใช้พรากชีวิตทักษะเดิมกลับมาด้วยความแม่นยำเกินมนุษย์แต่ในโลกใบใหม่นี้… มันไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียวที่นี่ มีสิ่งหนึ่งที่โลกเดิมของเธอไม่มีนั่นคือพลังปราณ
มันแทรกซึมอยู่ในอากาศ…และไหลเวียนเข้าสู่ร่างของเธอราวกับตอบรับเงาแห่งความตายเส้นลมปราณในร่างกายนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตราว่า พิการกลับตอบสนองต่อจิตสำนึกใหม่ของเธอราวกับถูกปลุกให้ตื่นพลังพุ่งพล่านประหนึ่งเขื่อนที่แตกทะลักประตูแห่งพลังในแต่ละระดับ… เปิดออกทีละชั้นอย่างไม่มีสิ่งใดขวางกั้น หลานเยว่คนเดิม อาจเป็เพียงหญิงสาวไร้พร์แต่หลานเยว่คนนี้คือนักฆ่าผู้ไร้เทียมทานที่แฝงกายอยู่ในโลกที่ไร้ผู้ใดรู้จักนามของเธอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้