แสงแดดยามสายสาดรอดเข้ามายังโต๊ะข้างหน้าต่างในห้องหอ ความอบอุ่นของแสงแดดในยามนี้กระตุ้นให้หลิวเซียงเอ๋อร์รู้สึกประปรี้ประเปร่ายกกายบิดเล็กน้อย
“หลินเสียง เตรียมชุดให้ข้าทีข้าอยากออกไปชมสวน” เสียงเล็ก ๆ ของนางเอื้อนเอ่ยหากำนัลคู่กาย แววตาที่เคยดูเหนื่อยล้ากลับสดใสดังเช่นเดิม
“พระสนม..พระองค์ทรงหายป่วยดีแล้วหรือเพค่ะ” หลินเสียงหยิบยกน้ำชารินยื่นส่งให้นาง
“เราหายดีแล้ว และก็อยากออกไปข้างนอกจวนนี้เสียให้ไว เรานอนอยู่แต่ในห้องนี้มาเกือบสามวันแล้วนะ” หลิวเซียงเอ๋อร์บ่นอุป ก่อนจะเดินไปนั่งลงโต๊ะแต่งกายที่มีเหล่ากำนัลค่อยผลัดเปลี่ยน ส่วนหลินเสียงเองนางก็กำลังผลัดแป้งให้เธอ
“พระสนม..เห็นนางกำนัลตำหนักซูเม่ยกงเอ่ยว่าสนมจูทรงป่วยเช่นเดียวกับพระองค์ แต่ฮ่องเต้กลับไปหานางเพียงคนเดียว พระสนมมิทรงทำอะไรบ้างหรือเพค่ะ” หลินเสียงนึกน้อยใจแทนนายตน นางรู้ดีว่าหลิวเซียงเอ๋อร์มีใจรักฮ่องเต้เพียงผู้เดียวแม้ยามหลับนางก็ยังคงห่วงหาฮ่องเต้ที่มิทรงเหลียวแลเลยั้แ่แต่งเข้าวังหลวงนี่ก็เกือบจะสามหนาวเห็นจะได้
“แล้วเ้าจักให้เราทำสิ่งใด ในเมื่อสนมจูนางเป็คนโปรดของฝ่าา”
“ยามพระสนมป่วยมีเพียงสั่งให้เหิงกงกงนำสมุนไพรชั้นดีมามอบให้ แต่กลับมิมาดูแลพระสนมเลย หม่อมฉัน...” หลินเสียงก้มหน้าบ่นมือนางยังคงรัดสายเอวชุดให้เธอ
“ช่างเถอะ..แค่นี้ก็มากพอแล้ว เรามิยากแย่งเป็คนโปรดของใคร”
“พระสนม!!”
“เราแค่้าชีวิตที่สงบ ยามที่เราเคยผ่านตายมาแล้วครั้งหนึ่งทำให้เรารู้แล้วว่าเป็เช่นไร เช่นนั้นเราจักรักตนเองก่อนเ้าก็เช่นกัน” หลินเสียงยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ มือเล็กหยิบยกปิ่นประดับอัญมณีสีแดงปักลงมวยผมเธออย่างบรรจง ศีรษะเล็ก ๆ ของหลิวเซียงเอ๋อร์สายหันไปมามองดูผ่านกระจกทองเหลืองที่ดูลางเลือนเล็กน้อยปิ่นอัญมณีนี้ช่างงดงามนัก
‘สนมหลิวนี่ช่างดีจริง ๆ มีชีวิตที่สุขสบายแต่เหตุใดจิตใจถึงไม่ยอมเป็สุข’ หลิวเซียงเอ๋อร์นึกบ่นเ้าของร่างเดิมเธอจับชุดสีฟ้าครามมองดูอย่างพอใจ
‘สวยจริง ๆ’
“พอแล้วล่ะ พวกเ้าออกไปก่อน” หลิวเซียงเอ๋อร์ลุกยืนก่อนจะก้าวออกจากห้องหอ สวนที่เธอจะไปเป็สวนฝั่งในที่ติดกับตำหนักฮองเฮา เพราะเธอไม่อยากไปสวนส่วนกลางที่ฮ่องเต้มักจะอยู่กับสนมคนโปรดอย่าง จูเหมยฮวา
สวนเหว่ยซีเป็สวนที่ตกแต่งไว้ภายในวังหลังติดกับตำหนักเจียวเชินกงของฮองเฮา ต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่นเหม่ย์กุยฮวา (1) ชูช่อออกดอกบานเต็มสวน จวี๋ฮวา (2) เรียงรายเต็มทางเดิน หลิวเซียงเอ๋อร์ที่เห็นความสวยความงามเช่นนี้ก็หลงลืมตัวะโโลดเต้นไปมาอย่างไม่เก็บกิริยาท่าทาง แววตาคู่จับจ้องมองมาที่เธอยกยิ้มเล็กน้อยจนคนถูกมองรู้สึกตัวได้
“ฮะ..ฮองเฮา..หม่อมฉันถวายพระพรเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์รีบยืนตัวตรงก่อนย่อกายลงคารวะสตรีสูงศักดิ์ที่กำลังเดินมาทางเธอ
“ลุกเถิดน้องหญิง เปิ่นกงแค่เห็นเ้าดูอารมณ์ดีเลยทำให้เปิ่นกงเองก็รู้สึกสดชื่นไปด้วย” ฮองเฮาเย่ฟานนางเป็บุตรีตรีของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาผู้มีศักดิ์เป็น้าชายของฮ่องเต้หนานรั่วหาน นางถูกหมั่นหมายไว้ั้แ่วัยเยาว์นางถูกฝึกให้เป็สตรีที่รักษากิริยามารยาทนอบน้อม เพื่อฝึกให้เป็จักรพรรดินีของแผ่นดิน ทำให้่วัยเยาว์ของนางแทบไม่มีเวลาได้วิ่งเล่นหรือความสนุกสนานเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไปที่มี
“ฮองเฮาอยากทรงเดินเล่นด้วยกันกับหม่อมฉันไหมเพค่ะ” หลิวเซียงเออร์มองแววตาเศร้า ๆ คู่นั่นก่อนเอ่ยชวน
‘หากนางยิ้มคงจะงดงามกว่านี้ซินะ’ หลิวเซียงเอ๋อร์ยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มแววตานางเต็มไปด้วยความสนุกสนาน จนสตรีตรงหน้าพยักหน้ารับ เช่นนั้นเธอรีบคว้ามือขาวซีดของนางมาจับ บรรดานางกำนัลเห็นจึงจะรีบคว้า
“เปิ่นกงไม่เป็ไร พวกเ้าแค่ยืนรออยู่ตรงนี้พอ” เย่ฟานเอ่ยน้ำเสียงแห้ง ๆ มองเหล่าขันทีและนางกำนัลที่รายล้อมตัวนางจนต้องถ่อยหลังกับไปราวศอก
“ฮ่องเฮาชอบสวนนี้ไหมเพค่ะ”
“.....” เย่ฟานไม่ตอบเพียงแค่พยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ
“เช่นนั้นพระองค์ต้องออกมาเดินเล่นบ่อย ๆ นะเพค่ะ”
“เปิ่นกงร่างกายไม่แข็งแรงนัก เกรงเ้าจะรำคาญเสียก่อน”
“มิเป็เช่นนั้นแน่นอน..หม่อมฉันอยู่แต่ในตำหนักน่าเบื่อจะตายไป”
หลิวเซียงเอ๋อร์หลุดคำพูดออกมาทำให้เย่ฟานถึงกับหลุดขำออกมาเล็กน้อย
“เ้านี่นะ...หากมิได้อยู่ตรงนี้แล้วอย่าเที่ยวพูดจาเช่นนี้อีกเปิ่นกงมิถือสาเ้าก็จริง แต่เ้าต้องพึงระวัง”
“หม่อมฉันจะระวังเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์ก้มหน้างุด สองมือขาวซีดลูบลงฝ่ามือเธอ
“หากเ้าตัวตรงไม่กลัวเงาเอียง (3) เช่นนั้นก็มิมีใครทำเ้าได้” เย่ฟานกล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างห่วงใยนาง
หลิวเซียงเอ่อร์ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเดินเล่นกับฮ่องเฮา และนั่งคุยกับนาง นี่เป็ครั้งแรกที่เธอได้พูดใครกับใครซักคน
ราวกับพูดคุยเพื่อนสาวคนหนึ่ง ร่างบางเอนกายลงฟูกนิ่มความเหนื่อยล้าทำให้หนังตาของเธอเริ่มหนัก
แกร๊ก!! ตุ๊บ!! ร่างเงาชุดดำยืนมองจับจ้องร่างบางที่ยามนี้นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้กังวล เขาค่อย ๆ ไล้มือลงแก้มนวลอย่างเบามือ ก่อนจะเดินวนไปมาราวกับหาสิ่งหนึ่งสิ่งใด
“หลินเสียงนั่นเ้าหรือ” หลิวเซียงเอ๋อร์ที่ขยับพลิกกายเพราะรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ใกล้เธอ เพียงแต่กลิ่นกายนี้กลับคุ้นชินแปลก ๆ
ไม่มีเสียงใดเอ่ยตอบทำให้เธอรีบปรือตาดู
“เฉินฮั่ว?” เธอลองเอ่ยเรียกเพราะไม่แน่ใจเช่นกันว่าองครักษ์เฉินจะเข้ามาในยามนี้ทำไม จนบุรุษที่หยุดยืนอยู่ภายในห้องหอ
ต้องรีบหันมาหยุดอยู่ข้างเตียงนางอย่างหงุดหงิด
“นี่เ้าผูกพันกับองครักษ์นั่นมากซินะ” เสียงทุ้มเอ่ยราวคุ้นหูแ่เบาข้าง ๆ ตัวเธอ
“ฝ่าา!!” หลิวเซียงเอ๋อร์ยันกายลุกนั่ง เธอใที่เห็นฮ่องเต้หนุ่มบุกเข้ามาในห้องหอนี้ เธออุทานอย่างใจนมือหนารีบยกปิดปากอิ่มของเธอ
“เป็เจิ้นเอง”
“ฝ่าาเหตุใดจึงแอบเข้ามาเช่นนี้”
“เจิ้นแค่อยากมาถามคลายสงสัย เหตุใดวันที่เ้าฟื้นจึงได้ออกไปที่ตลาดนั่น”
“ตลาด?” หลิวเซียงเอ๋อร์ทำท่ากรุ่นคิดตาม ก่อนเอามือทาบอกอย่างไม่เชื่อ
“งั้นบุรุษชุดดำนั่นก็คือ....”
“ใช่..เป็เจิ้นเองที่ช่วยเ้าไว้ เ้าบอกมาว่าเ้าออกไปพบใคร” หนานรั่วหานบีบเค้นเสียงแ่เบาข้างลำหูนางอย่างระวังคนด้านนอกจักได้ยิน
“หม่อมฉันแค่ออกไปเที่ยวเล่นก็เท่านั้นเอง มิได้นัดพบผู้ใด หากพระองค์อยู่ที่นั้นก็ย่อมต้องเห็นว่าหม่อมฉันไปเพียงแค่สามคน”
หลิวเซียงเอ๋อร์กระซิบบอกก่อนจะค่อย ๆ ถอยกายห่างจากตัวเขา แต่ก็ถูกมือหนาดึงแขนของเธอไว้
“แล้วในเทศกาลหยวนเซียว เ้าสอดส่ายสายตามองผู้ใดกัน หรือเ้ามีส่วนรู้เห็นในคืนที่เกิดเหตุ”
“ฝ่าา!!” หลิวเซียงเอ๋อร์ใกับวาจาที่เขากล่าวราวกับเธอเป็ผู้ต้องสงสัย
“แล้วเหตุใดเ้าจึงมิเป็ไรเลยทั้ง ๆ ที่เหล่าทหารต่างก็...”
“เป็เพราะฝ่าาซินะเพค่ะ..มิแปลกเลยที่สนมอื่นกับได้รับการดูแลปกป้อง หากมิได้องครักษ์เฉินยามนี้หม่อมฉันก็คงไปอยู่ปรโลกแล้ว” หลิวเซียงเอ๋อร์ใจเต้นแรงมือไม้เย็นเฉียบ น้ำตาเอ่อล้นขอบตาเรียวเธอรู้สึกกลัวบุรุษตรงหน้าขึ้นมาทันที เขากล้าที่จะสั่งให้เหล่าทหารละการดูแลเธอได้อย่างไร หนานรั่วหานมองใบหน้านางที่ตอนนี้มีน้ำใสไหล่อาบแก้ม หากแต่เสียงนางกลับดูใจเย็นราวมิได้เป็ไร
“เจิ้นแค่อยากรู้ว่าเ้ารู้จักกับคนเ่าั้หรือไม่ แต่ดูเหมือนเจิ้นจะมองผิดไป” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบจนเธอต้องรีบลุกพร้อมจะะโเรียกนางกำนัลที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องหอนี้ แต่มือหนากลับคว้าเอวเธอไว้พร้อมเอามือหนึ่งปิดปาก
“หากเ้ามิได้รู้เื่ เจิ้นก็มิมีสิ่งใดสงสัยเ้าแล้ว” เขาเอ่ยกระซิบ จนเธอเริ่มร้อนรนแทนเรียวแขนเล็ก ๆ ของเธอพยายามผลักดันอ้อมแขนแกร่งของเขาหวังให้หลุดออก
“เช่นนั้นก็ปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพค่ะ” เธอกัดฟันเอ่ยเสียงจนเขารู้สึกได้ถึงแรงที่เธอพยายามดันตัวเขา
“เจิ้นปล่อยเ้าแน่แต่เ้าต้องบอกเจิ้นก่อนว่าเ้ามีสัมพันธ์เช่นไรกับเ้าองครักษ์นั่น” ความจริงเขามิได้คิดที่จะถามนางเื่นี้แต่เพราะนางเอยชื่อนั่นขึ้นมา และยังจำภาพในคืนเทศกาลก่อนได้ดีที่นางให้องครักษ์หนุ่มนั่นอุ้มนางไปยังเกี้ยว
“หม่อมฉันว่าพระองค์สู้ปล่อยหม่อมฉันแล้วไปดูแลสนมโปรดเถิดเพค่ะ ถึงอย่างไรพระองค์ก็มิได้สนใจหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันสัญญาจะไม่ไปวุ่นวายพระองค์ขอเพียงแค่อิสระ”
“เ้า้าให้เจิ้นปลดเ้า แล้วเ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าเจิ้นปลดเ้าแล้วจะเป็เช่นไร” มือหนาจับไหล่เล็กของนางหันหน้าเข้าอกแกร่ง วงแขนกอดกระชับแน่น จนเธอต้องเอามือยันแผลงอกกำยำของเขาไว้
เสียงฝีเท้าหนึ่งเคลื่อนไหวผ่านสายลมหากร่างสูงจับจังหวะได้เป็อย่างดี ก่อนที่บุรุษหนึ่งจะเข้ามาในห้องหอนี้ เขาเอ่ยเสียงทุ้มเข้มราวขัดใจ
“ออกไป!! เ้าไม่มีสิทธิเข้ามาในห้องหอนี้” เสียงแข็งเปล่งดังจนบุรุษร่างสูงที่เพิ่งมาถึงต้องก้าวถอยออกจากห้องหอไป เฉินฮั่วรู้ตัวดีว่าเขาทำผิดและตอนนี้เขายังสร้างความผิดให้กับนางด้วยเช่นกัน
“เฉินฮั่ว?” เธออุทานออกมาเบา ๆ แต่หนานรั่วหานผู้ที่ได้เคยถูกฝึกวรยุทธมาอย่างดีกลับได้ยินชื่อนี้อย่างชัดเจน
“เป็ห่วงกันมากซินะ” ยังไม่ทันที่ร่างบางจะผละออกริมฝีปากหนาขบเม้มลงที่เรียวปากอิ่มของเธอลิ้นอุ่นร้อนดุนดันราวเกี่ยวหาน้ำหวานในปากอิ่ม เธอพยายามเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อให้ไม่เขาล่วงล้ำเข้ามาได้ แต่มือหนากลับกอบกุมอกอิ่มบีบเค้นจนเธอสะดุ้งเผลออ้าปากจนลิ้นอุ่นลุกล้ำเข้ามาเกี่ยวพันปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอย่างเร่งเร้า เธอสู้ยันกายเขาไว้อย่างหลบหลีกกลับยิ่งทำให้อารมณ์เขาพลุกพล่านมากกว่าเดิมจนหมุนเหวี่ยงร่างบางลงเตียงนุ่มซุกไซ้จมูกโด่งของเขาลงที่ลำคอเธอ
“ฝ่ะ..ฝ่าาหยุดนะเพค่ะ..อ่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของเธอได้หลุดหายไปในลำคอ ด้วยรู้สึกถึงความเปียกชื่นปลายยอดอกจนเธอเองรู้สึกเสียวขนลุกไปด้วย หนานรั่วหานยามนี้มิอาจควบคุมอารมณ์ตนได้อีกแล้วจึงคว้าอาภรณ์บางออกจากกายเธอ เขาค่อย ๆ ซุกไซ้ริมฝีปากอุ่นไปตามเนื้อผิวเนียนราวไข่มุกนั่น ก่อนจะหยุดตรงปลายยอดถัน หนานรั่วหานเงยหน้ามองใบหน้าที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเนียน จนเขากลับดึงสติมาได้รีบส่งอาภรณ์บางให้เธอสวมใส่ เสียงสูดลมหายใจแรงก่อนจะปล่อยร่างบางนั้นอย่างเบามือ
“เจิ้นมิได้ตั้งใจรังแกเ้าเลย” หนานรั่วหานยกมือปาดน้ำตาบนหน้าเธออย่างบรรจง เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำไปราวคนป่าเถื่อน ร่างสูงเอนกายลงนอนข้าง ๆ ค่อย ๆ ยกศีรษะเล็ก ๆ ของเธอหนุนมาที่ต้นแขนเขาพร้อมสวมกอดราวปลอบประโลมเธอ หลิวเซียงเอ๋อร์แม้จะรู้สึกโกรธ แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็ยังรู้สติยั้งไว้ จนความกังวลหายไปความผ่อนคลายทำให้เธอเผลอหลับไปในอ้อมกอดเขา
(1) เหม่ย์กุยฮวา = ดอกกุหลาบ
(2) จวี๋ฮวา = เบญจมาศ
(3) ตัวตรงไม่กลัวเงาเอียง = หากคนเราประพฤติตนถูกต้อง ต่อให้ถูกว่าร้ายก็ไม่จำเป็ต้องกลัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้