เพื่อเพิ่มความชำนาญในการดีดลูกคิดให้มากขึ้นหลายวันมานี้กู้เจิงจึงไปฝึกดีดลูกคิดกับป้าใหญ่เสิ่นที่ร้านตลอดทั้งบ่ายที่ร้านเสี่ยวเหมาเอ๋อร์มีหน้าที่แนะนำสิ้นค้า ส่วนนางมีหน้าที่คิดเงินทำไปทำมานับวันก็ยิ่งดีดลูกคิดได้คล่องมือขึ้นเรื่อยๆ และได้สนิทคุ้นเคยกับเสี่ยวเหมาเอ๋อร์มากขึ้นด้วย
แต่เ้าเด็กคนนี้นอกจาก่ที่ทำงานที่จะพูดมากขึ้นหน่อยแล้วเวลาที่เหลือก็เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ คนเดียว
ชุนหงมักจะชอบหยอกล้อเสี่ยวเหมาเอ๋อร์แต่ทุกครั้งเสี่ยวเหมาเอ๋อร์กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
ในตอนที่กู้เจิงพอจะเข้าใจวิธีการคำนวณบัญชีขึ้นบ้างแล้วก็เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนจะถึงวันสอบในพระราชวัง
หลายวันมานี้ในตอนเช้าตรู่จะมีไอหมอกหนาทึบเกิดขึ้นต้องรอให้สายหน่อย ท้องฟ้าถึงจะค่อยเปิด
ยามที่กู้เจิงลืมตาตื่นนอน เสิ่นเยี่ยนก็ได้ลุกจากเตียงไปนานแล้วไม่ว่านางจะตื่นแต่เช้าแค่ไหน เขาก็มักจะไวกว่านางก้าวหนึ่งเสมอ
หลังล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วออกมาจากห้องก็เห็นพ่อสามีกำลังถือฟักทองเดินออกมาจากห้องเก็บฟืน
“ท่านพ่อ” กู้เจิงยิ้มทักทาย
“อากาศหนาวขนาดนี้ ทำไมเ้าถึงไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะ” นายท่านเสิ่นตบฟักทองในมือพลางเอ่ยทักกู้เจิง “แม่สามีเ้าบอกว่าเช้านี้จะกินหมั่นโถว* ฟักทองน่ะ” เขาชวนคุยต่อ
(* เป็อาหารชนิดหนึ่งของจีนมีลักษณะเป็แป้งล้วนเหมือนซาลาเปาที่ไม่มีไส้ แต่บางพื้นที่ก็เรียกว่าซาลาเปา)
“ข้าจะช่วยทำด้วยเ้าค่ะ” กู้เจิงรีบอาสานางภูมิใจมากที่วันนี้ตัวเองตื่นมาทันช่วยพ่อแม่สามีเตรียมอาหารเช้า
นายหญิงเสิ่นถืออ่างออกมาพอดี ได้ยินว่าลูกสะใภ้จะมาช่วยทำอาหารจึงรีบเอ่ยไล่ “มีเขาช่วยคนเดียวก็พอแล้วเ้ามาเอานี่ไปแล้วไปเรียกอาเยี่ยนให้พาไปซื้อเต้าฮวยเค็ม* พอกลับมาหมั่นโถวก็น่าจะเสร็จพอดี” นางว่าพลางส่งอ่างให้กู้เจิง
(* ลักษณะคล้ายกับเต้าฮวยน้ำขิงแต่น้ำที่ใส่นั้นมีรสชาติเค็มและโรยด้วยถั่วเหลืองสด สามารถปรุงรสแบบเผ็ดได้คนจีนมักกินคู่กับปาท่องโก๋)
ตอนที่กู้เจิงรับมา เสิ่นเยี่ยนก็ถือตะกร้าหัวไชเท้าออกมาจากสวนหลังบ้านพอดีเขาได้ยินคำสั่งของท่านแม่ จึงพยักหน้ารับทราบ
“ข้าไปคนเดียวได้เ้าค่ะ ท่านไปอ่านหนังสือเถอะ” กู้เจิงส่งยิ้มหวานให้สามี เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนสอบนางไม่อยากรบกวนเวลาอ่านหนังสือของเขา
เสิ่นเยี่ยน “...”
สองสามีภรรยาเสิ่นมองสบตาพร้อมอมยิ้มให้กันจากนั้นพวกเขาจึงพากันเดินเข้าห้องครัวไป
เสิ่นเยี่ยนคว้าอ่างที่ภรรยาอุ้มอยู่มาถือไว้เองก่อนจะเดินนำออกนอกประตูไป กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ รีบวิ่งตามไปทันที
หมอกยามเช้าตรู่หนาจนมองไม่เห็นทางข้างหน้าระหว่างที่เดินไปตลาดก็มีเสียงเห่าหอนของสุนัขดังแว่วมาเป็ครั้งคราว
“หลายวันมานี้ท่านไปค่ายทหารแต่เช้ามีเวลาแค่่บ่ายที่จะได้ทบทวนหนังสือ ข้าไม่อยากรบกวนเวลาของท่านเ้าค่ะ” กู้เจิงชวนคุย นางกังวลเื่การสอบของเขา
“การสอบที่จะถึงนี้ เป็การสอบเชิงกลยุทธ์ กอดเท้าพระในยามฉุกละหุก* ไปก็ไร้ผล” เสิ่นเยี่ยนมองสบตาภรรยาที่เดินตามเขามาติดๆ “ถ้าข้าสอบได้ที่หนึ่ง เ้าชื่นชมพอใจข้าแต่ถ้าข้าสอบไม่ติดสักลำดับเลยเล่า?”
(* หมายถึงในยามปกติไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อจวนตัวกลับรีบคิดหาทางแก้ปัญหา)
กู้เจิงฉีกยิ้มอ่อนหวาน “ข้าก็ยังชอบท่านอยู่ดี มันไม่เกี่ยวอะไรกับผลการสอบหรอกเ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?” เสิ่นเยี่ยนถามขึ้นเบาๆ
กู้เจิงได้แต่อมยิ้มไม่ตอบคำถาม นางเงยหน้ามองสามีอย่างอ่อนโยน “หากท่านพี่ได้เป็จ้วงหยวนจริง ต่อไปท่านจะเป็ขุนนางใหญ่แล้วท่านจะทำเหมือนที่ตวนอ๋องพูดในวันนั้นหรือไม่เ้าคะที่ว่าท่านจะหย่ากับข้าแล้วไปแต่งงานกับบุตรสาวผู้สูงศักดิ์?”
“ย่อมไม่เป็เช่นนั้น” เสิ่นเยี่ยนตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“อย่างนั้นหรือเ้าคะ?” กู้เจิงเลียนแบบคำพูดเขา
“ใช่”
คำตอบอันหนักแน่นมั่นคงนี้ทำให้กู้เจิงแอบดีใจ เสิ่นเยี่ยนไม่ใช่คนที่พูดถ้อยคำหวานซึ้งอย่างเกลื่อนกลาดและเขาก็ไม่ใช่คนที่พูดคุยโวโอ้อวดเกินจริง กู้เจิงถามอย่างประหม่า “เพราะอะไรเ้าคะ?”
“ยุ่งยาก”
กู้เจิง “...” ทำเหมือนว่านางไม่เคยถามแล้วกัน
ร้านขนมขนมเสิ่นหลางคนแน่นขนัดทุกวันแม้แต่วันที่หนาวและหมอกลงหนาขนาดนี้ในร้านก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน
เสิ่นเยี่ยนไปต่อคิวซื้อเต้าฮวยเค็มส่วนกู้เจิงยืนกินปาท่องโก๋อยู่ข้างๆ ปาท่องโก๋ของร้านนี้กรุบกรอบอร่อยจนหยุดกินไม่ได้
“อาเยี่ยน” เสียงคุ้นเคยเอ่ยทักเสิ่นเยี่ยนขึ้น
กู้เจิงเห็นท่านน้าเฝิงซื่อเดินเข้ามาหาพวกนาง นางไม่เห็นเหนียนหงซานบุตรสาวของท่านน้าตามมาด้วย
หลังจากทั้งสามคนทักทายกันเรียบร้อย เฝิงซื่อก็กล่าวขึ้น “ข้ากำลังคิดจะกินข้าวเช้าแล้วไปบ้านพวกเ้าไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่”
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเอ้อของร้านก็ได้นำอ่างที่เต็มไปด้วยเต้าฮวยเค็มมาให้เสิ่นเยี่ยนกู้เจิงหยิบถุงเงินออกมาควักจ่ายให้เขา
“ในเมื่อท่านน้ายังไม่ได้กินข้าวเช้า ก็มากินที่บ้านข้าเถอะขอรับท่านพ่อท่านแม่กำลังทำหมั่นโถวฟักทองอยู่”
“ดีเลย ไม่ได้กินหมั่นโถวฟักทองที่แม่เ้าทำมานานแล้ว” เฝิงซื่อมองถุงเงินของกู้เจิง ดูจากท่าทางของเสิ่นเยี่ยนแล้วเขาคงจะมอบเงินให้ภรรยาดูแล
เฝิงซื่อเห็นเสิ่นเยี่ยนเป็ดั่งหลานชายแท้ๆนางก็หวังให้ชีวิตแต่งงานของหลานชายจะมีความสุขดีแต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือการที่คุณหนูใหญ่สกุลกู้ได้รับการยอมรับจากหลานชายเร็วเช่นนี้
เมื่อกลับกันมาถึงบ้าน นายหญิงเสิ่นที่เห็นเฝิงซื่อตามมาด้วยนางจึงทำอาหารเพิ่มขึ้นอีกอย่าง
ภายในห้องครัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของหมั่นโถวฟักทอง
“ที่ข้ามาวันนี้ ที่จริงแล้วมีเื่จะขอความช่วยเหลือจากอาเยี่ยนกับอาเจิง” เฝิงซื่อวางหมั่นโถวในมือลง แล้วเริ่มพูดธุระของนาง
“เ้ามีเื่อะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ” นายหญิงเสิ่นอยู่ที่นี่ไม่มีญาติพี่น้องนางมีเฝิงซื่อเป็เสมือนญาติเพียงคนเดียว
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านแม่พูดถูก ท่านน้ามีเื่อะไรก็ว่ามาได้เลยขอรับหากพวกเราช่วยได้ย่อมช่วยแน่นอน”
“ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร” เฝิงซื่อรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง นางหันไปเอ่ยกับกู้เจิงว่า “เมื่อครึ่งเดือนก่อน จวนสกุลกู้ส่งคนมาบอกว่าให้หลัวฉี่เก๋อไม่ต้องส่งผ้าไปที่จวนอีก ข้าตั้งใจไปถามถึงสาเหตุแต่จนใจที่นายหญิงไม่อยากพบข้า ที่ข้ามาที่นี่วันนี้เพียงแค่อยากถามว่าเ้าพอจะรู้สาเหตุไหมว่าเป็เพราะอะไร?”
กู้เจิงประหลาดใจ จวนกู้ไม่้าผ้าจากหลัวฉี่เก๋ออีกแล้วอย่างนั้นหรือ? นางส่ายศีรษะอย่างงุนงง “ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับน้องสี่และท่านแม่พวกนางไม่ได้เอ่ยถึงเื่นี้เลยเ้าค่ะหากข้าว่างข้าจะกลับบ้านไปถามให้ท่านน้านะเ้าคะ”
“ขอบคุณเ้ามาก” เฝิงซื่อกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจก่อนจะหันไปหาเสิ่นเยี่ยน “ยังมีอีกเื่ที่ข้าอยากรบกวนอาเยี่ยนตวนอ๋องใกล้จะแต่งงานแล้ว หลังจากแต่งพระชายาคนใหม่คงมีเื่ต่างๆในจวนต้องจัดการข้าคิดว่าพอจะเป็ไปได้ไหมที่จะให้หลัวฉี่เก๋อเป็คนดูแลเสื้อผ้าของบ่าวรับใช้ในจวนอ๋อง?”
นายหญิงเสิ่นได้ยินธุระของเฝิงซื่อจึงเอ่ยขึ้นด้วยความขบขัน “ตอนที่เ้าบอกว่ามีเื่้าให้ช่วยข้าก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็เื่เกี่ยวกับเสื้อผ้าแน่นอน”
“นับว่าท่านรู้ใจข้ามากเ้าค่ะ” เฝิงซื่อถอนหายใจก่อนพูดต่อ “ก่อนหน้านี้เคยเชิญพ่อบ้านว่านของจวนตวนอ๋องมาดื่มชาและรับงานจากจวนอ๋องมาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้งานหลัวฉี่เก๋อของพวกเราอีก”
เสิ่นเยี่ยนรีบเอ่ยขัดขึ้น “ท่านน้าที่จริงแล้วเื่เสื้อผ้าในจวนตวนอ๋องกับเื่ทางฝั่งบ้านของภรรยาข้านั้นถือเป็เื่เดียวกัน” อย่างไรเสียเื่ในจวนตวนอ๋องเหล่านี้ล้วนต้องตกเป็หน้าที่ของคุณหนูสามสกุลกู้อยู่ดี
“ใช่แล้ว” เฟิงซื่อพยักหน้ารับก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ข้าก็หวังว่าจะแก้ปัญหาทางฝั่งจวนกู้ได้และได้รับงานจากจวนตวนอ๋องด้วย”
ความคิดของนักการค้าที่้าหาเงินนั้นกู้เจิงเข้าใจดีแต่สิ่งที่น่าสงสัยคือสองแม่ลูกเว่ยซื่อนั้นชื่นชอบผ้าของหลัวฉี่เก๋อมาตลอดเหตุใดจู่ๆ ถึงไม่้าเสียแล้วล่ะ?
หลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จ ฮูหยินใหญ่เสิ่นกับเฝิงซื่อก็พูดคุยกันต่อในห้องครัวอยู่พักใหญ่เฝิงซื่อถึงได้ขอตัวกลับ
่สายหมอกค่อยๆ จางหายไป อากาศเริ่มปลอดโปร่งขึ้นดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าขับไล่ความหนาวเหน็บออกไป เหลือไว้แต่ความอบอุ่น
“ท่านพี่ ท่านจะเอาหัวไชเท้ามากมายขนาดนี้ไปไหนหรือเ้าคะ?” กู้เจิงเห็นสามีหิ้วตะกร้าหัวไชเท้าเตรียมจะออกจากบ้านนางจึงถามขึ้น
“เพื่อนในค่ายทหารบอกว่าอยากกินหัวไชเท้าที่ท่านแม่ปลูกข้าก็เลยจะเอาไปให้พวกเขา”
ชุนหงที่ตากเสื้อผ้าเสร็จพอดี นางเข้ามาถามคุณหนูว่า “คุณหนู หรือพวกเรากลับไปจวนกันตอนนี้เลยไหมเ้าคะ?”
“ค่อยไปตอนบ่ายเถอะ” เสิ่นเยี่ยนขัดขึ้น “ตอนบ่ายข้าต้องไปจวนตวนอ๋องข้าจะกลับมารับพวกเ้าไปส่งที่จวนกู้ก่อน แล้วค่อยเลยไปที่จวนตวนอ๋อง"
“ได้เ้าค่ะ” กู้เจิงรับคำ
ทว่าในตอนบ่ายยังไม่ทันที่เสิ่นเยี่ยนจะกลับมาแม่เฒ่าซุนก็ได้มาหากู้เจิงก่อนนางมาบอกว่านายท่านจะจัดงานเลี้ยงให้กู้เจิ้งชินในคืนนี้จึงมาเชิญคุณหนูกับครอบครัวตระกูลเสิ่นไปร่วมทานอาหารด้วยกัน
ตอนที่กู้เจิงออกมาส่งแม่เฒ่าซุนนางเลยถามเื่ที่เฝิงซื่อไหว้วาน “แม่เฒ่าซุน ข้ามีเื่จะถามท่าน”
“เชิญคุณหนูใหญ่ถามมาได้เลยเ้าค่ะ” น้ำเสียงของแม่เฒ่าซุนไม่ได้เ็าเหมือนแต่ก่อนนางนอบน้อมและเป็กันเองมากขึ้น
“แต่ไหนแต่ไรเสื้อผ้าในบ้านล้วนสั่งมาจากหลัวฉี่เก๋อ เหตุใดจู่ๆถึงไม่ใช้ผ้าจากร้านนั้นแล้วเล่า?”