ดูจากท่าทางการพูดพละกำลังและการแต่งตัวแล้ว แทนที่พวกเขาจะบอกว่าเป็ขุนนางบอกว่าเป็องครักษ์เสื้อแพรจิ่นอีเว่ยยังจะน่าเชื่อถือมากกว่า...
เหอตังกุยมีเหงื่อซึมออกมากลางหลังยังดีที่เมื่อครู่ไม่ได้คุยเื่คนที่ได้รับาเ็ที่กลางเขากับเจินจิ้งขณะกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ เหอตังกุยก็ส่ายหน้าตอบออกไป “เรียนใต้เท้าพวกเราสองคนไม่เคยเจอนักโทษที่ท่านกล่าวถึง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทราบว่าพวกท่านเป็ขุนนาง จึงพูดจาเหลวไหลไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หวังว่าใต้เท้าทั้งหลายจะไม่ถือสาเอาความ”เจินจิ้งรีบพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย
“อ้อในเมื่อเป็เช่นนี้...” ชายชุดแดงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มให้“ไม่ทราบว่าแม่นางทั้งสองอยู่วัดไหน นำทางพวกเราไปเยี่ยมชมหน่อยได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหอตังกุยจึงก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง “เรียนใต้เท้าเมื่อครู่ข้าไม่ระวังจึงข้อเท้าแพลง ทำให้เดินเหินไม่สะดวกเกรงว่าจะทำให้ใต้เท้าทั้งหลายเสียเวลา วัดที่ท่านถามเมื่อครู่ชื่อวัดสุ่ยซังตั้งอยู่ที่ปลายเส้นทางนี้ ใต้เท้าเดินไปตามทางเรื่อย ๆ อีกไม่นานก็จะเจอเอง”
เมื่อเห็นว่าเหอตังกุยพูดจาสุภาพเรียบร้อยรู้กาลเทศะ น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูชายชุดแดงจึงรู้สึกถูกชะตาและพยายามหาเื่พูดคุยด้วย “หญิงชาวจวนทั่วไปเมื่อเจอขุนนางของราชสำนัก ต่างก็จะเขินอายจนพูดไม่ออก แต่ไฉนหญิงอายุน้อยเช่นเ้านอกจากจะไม่กลัวพวกเราแล้ว ยังพูดจาตอบคำถามได้ลื่นไหลคล่องแคล่วถึงเพียงนี้? ”
เหอตังกุยหลุบตาลงต่ำพลางส่งประกายรอยยิ้มออกมา“ใต้เท้าชมเกินไปแล้ว ความจริงข้ารู้สึกเกรงขามและหวาดกลัวใต้เท้าทั้งหลายเป็อย่างมากต้องรวบรวมความกล้าอยู่นานจึงจะพูดคุยได้จนถึงตอนนี้”
“ฮ่า ๆ ๆนี่เป็ครั้งแรกที่ข้าเจอสาวน้อยที่น่าสนใจเช่นเ้า” ชายชุดแดงหลุดหัวเราะออกมา“เ้าบอกว่าขาแพลง คงจะเดินลำบากน่าดู อย่างไรเสีย พวกเราก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้วให้ข้าแบก...” ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังกระแอมไอขึ้นมาเสียงดังเจตนาขัดบทสนทนาระหว่างทั้งสองอย่างเปิดเผย
เหอตังกุยมองดูพวกเขาอีกครั้งด้วยสายตาราบเรียบก่อนจะพูดทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้อย่างแเี “อากาศบนเขาเปลี่ยนแปลงง่ายอาจมีฝนโหมลงมาเมื่อไรก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้น การค้นหาจะเป็ไปได้ยากขึ้นกว่าเดิมเหตุใดทุกท่านจึงไม่รีบออกตามหาคนกันเล่า? ”
ชายชุดดำกล่าวด้วยเสียงทรงพลัง“แม่นางน้อยพูดมีเหตุผล ต้วนชี ขนาดเด็กสาวธรรมดา ๆ ยังรู้เหตุผลข้อนี้เลยเ้าไม่รู้หรืออย่างไร ยิ่งโตก็ยิ่งไม่ได้เื่จริง ๆ! ” หลังพูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปทันที ในตอนนั้นเองที่เหอตังกุยพบว่าคนอื่น ๆพากันเดินออกไปั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ชายชุดแดงจึงโบกมือลาอย่างขัดเขินแล้วรีงวิ่งตามกลุ่มคนออกไป
เมื่อเห็นคนเ่าั้เดินจากไปไกลแล้วทั้งสองจึงถอนหายใจโล่งอก เจินจิ้งกำลังจะกล่าวบางอย่างทว่าเหอตังกุยก็ยกมือขึ้นมาบังที่ปากไว้เป็เชิงให้เงียบเสียงลงเสียก่อน ทันใดนั้นแม่ชีน้อยจึงเบิกตากว้างแล้วยกมือขึ้นมาปิดปากทันที
ต้วนเสี่ยวโหลววิ่งตามไปรวมกับกลุ่มคนอีกครั้งเขากล่าวกับชายชุดดำด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เฮ้! เ้าคนสกุลเกาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงแบบนั้น เ้าช่วยไว้หน้าข้าหน่อยได้หรือไม่! ”
เกาเจวี๋ยมีสีหน้าเ็าเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาลู่เจียงเป่ยที่อยู่ข้างกันจึงหัวเราะแล้วพูดคลายสถานการณ์แทน “เอาน่า ๆทุกคนเดินทางกันมาทั้งวัน ต่างก็เหนื่อยล้ากันเต็มทีแล้วเหตุใดพวกเ้ายังมีแรงมาทะเลาะกันอีกเล่า! ” ลู่เจียงเป่ยพูดไปพลางก้าวยาว ๆเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างทั้งสอง หวังจะแยกคู่กัดให้ออกจากกันอย่างรวดเร็ว
เลี่ยวจือหย่วนกล่าวเย้ยหยัน“นิสัยเดิมของเสี่ยวโหลวออกฤทธิ์อีกแล้วน่ะสิ! ข้าล่ะยอมเขาเลยใส่ใจั้แ่สาวน้อยอายุสิบปีไปจนถึงสาวใหญ่วัยสี่สิบเลยทีเดียวมากรักเสียยิ่งกว่าพระปางยับยุมบนแท่นบูชาเสียอีก...”
“จือหย่วนเ้าหยุดเลยนะ! ” ต้วนเสี่ยวโหลวผลักเ้าของประโยคก่อนหน้า “นักบวชตัดจากกิเลสแล้วนางอยู่ของนางดี ๆ ไม่เคยมีเื่บาดหมางอันใดกับเ้าทำไมต้องไปพูดถึงผู้อื่นลับหลังแบบนั้นด้วย! ”
เลี่ยวจือหย่วนหลุดหัวเราะออกมา“แม่ทัพต้วนน้อย ท่านได้ยินข้าพูดชื่อแม่ชีนางนั้นั้แ่เมื่อใดกัน? ข้าหมายถึงแม่นางเหลียนเอ๋อร์กับมารดาของนางต่างหาก! แต่ท่านนี่สิพอเห็นว่าเขามีหน้าตาสะสวยก็เลยคิดเลยเถิด แถมยังมาพาลใส่ข้าอีกช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
ต้วนเสี่ยวโหลวยิ่งฟังก็ยิ่งร้อนรนเขาคำรามเสียงดังลั่น ก่อนจะะโถีบไปที่ร่างกายท่อนล่างของเลี่ยวจือหย่วนทันที
เลี่ยวจือหย่วนะโไปหลบหลังเกาเจวี๋ยพลางะเิเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “น่าเสียดายที่แม่ชีน้อยคนนั้นยังเด็กเกินไปหากพากลับไปด้วยก็คงเป็ได้แค่น้องสาวเท่านั้น สหายต้วนการมาเยือนเมืองหยางโจวในครั้งนี้ เ้าได้น้องสาวไปกี่คนแล้วเล่า? ”
ต้วนเสี่ยวโหลวหน้าแดงก่ำเขาเริ่มเตะและต่อยเลี่ยวจือหย่วนอย่างเอาจริงเอาจังทันทีปากก็พูดแก้ต่างให้ตนเองไปด้วย “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือแม่นางเสวี่ยเหนียงนั้นมีชะตาชีวิตที่น่าสงสาร ถูกสามีนักพนันเอาไปเป็ของเดิมพันพอแพ้ก็ส่งนางไปที่หอนางโลม ทว่านางยอมตายแต่ไม่ยอมจำนนถูกคนพวกนั้นทำร้ายจนมีแผลเต็มตัวไปหมดทั้งยังพยายามจะะโแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตายอีกตั้งหลายครั้งข้าทนเห็นเื่โหดร้ายไม่ได้เลยเข้าไปช่วยส่วนแม่นางเหลียนเอ๋อร์ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ หลังบิดาของนางตายทรัพย์สินภายในจวนก็ถูกลุงยึดเอาไปจนหมดนางและแม่ต้องไปขุดถ่านในเหมืองเพื่อเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเ้าชั่วนั่นยังคิดจะขายนางไปเป็อนุของตาเฒ่าคนหนึ่งอีก ข้าทนเห็นไม่ได้ก็เลย...”
“ดังนั้นคุณชายต้วนก็เลยรับดูแลทั้งแม่ทั้งลูกเลยสินะ! ”เลี่ยวจือหย่วนพูดต่อบทพลางดึงร่างของเกาเจวี๋ยมาเป็เกราะกำบังจึงสามารถหลีกหนีจากกรงเล็บพิฆาตและจระเข้ฟาดหางของต้วนเสี่ยวโหลวไปได้
เกาเจวี๋ยก้มหน้าก้มตาเดินอยู่ดีๆ จู่ ๆ ก็ถูกหมัดปาดผ่านหน้าไปเสียอย่างนั้น ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็ะเิที่ถูกจุดขึ้นมาทันที เกาเจวี๋ยเหวี่ยงหมัดซ้ายตรงไปที่คางของเลี่ยวจือหย่วนและเตะขาขวาไปที่หัวของต้วนเสี่ยวโหลวทว่าต้วนเสี่ยวโหลวกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยเขาเปลี่ยนจากการโจมตีด้วยกรงเล็บเป็การกันด้วยฝ่ามือแทน ขณะรับการโจมตีต้วนเสี่ยวโหลวก็ยังไม่ลืมที่จะเอาคืนเ้าตัวต้นเื่ไปด้วย
และแล้วเลี่ยวจือหย่วนจึงตกอยู่ในสถานการณ์แบบสองรุมหนึ่งเขาร้องท้วงว่าไม่ยุติธรรมออกมาไม่หยุด เมื่อเห็นว่าพึ่งเกาเจวี๋ยไม่ได้ชายหนุ่มจึงพุ่งไปหาคนอื่น ๆ แทนทว่าคนที่ตกเป็เป้าของเขากลับพากันหลบไปยืนอยู่สองข้างทางด้วยความรวดเร็วปฏิเสธการให้ความช่วยเหลืออย่างไร้เยื่อใย
“เฮ้ เจี่ยงพีเมื่อเดือนก่อนข้าเพิ่งช่วยเ้าไปนะ! เ้าไม่เข้าใจคำว่าสำนึกบุญคุณหรืออย่างไร?” เลี่ยวจือหย่วนพูดทวงบุญคุณหน้าด้าน ๆ “ตอนนี้ถึงเวลาตอบแทนแล้วรีบมาช่วยผู้มีพระคุณของเ้าเร็ว! ”
คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงพีจะแคะจมูกด้วยความเบื่อหน่ายแล้วถามกลับไปอย่างไร้ยางอาย “เ้าไม่รู้จักคำว่าทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือ? ”
เลี่ยวจือหย่วนโกรธจนแทบจะะเิอยู่แล้วคำพูดของเจี่ยงพียิ่งทำให้เขาเสียสมาธิ จังหวะการก้าวจึงขาดสมดุลเกือบทำให้เขาโดนหมัดของเกาเจวี๋ยซัดเข้า เลี่ยวจือหย่วนรีบเบี่ยงตัวหลบพลันหมัดหนักก็เฉียดผ่านหน้าของเขาไปเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้นหลังประลองกันหลายสิบกระบวนท่าต้วนเสี่ยวโหลวก็ซัดฝ่ามือลงที่หน้าท้องของเลี่ยวจือหย่วนได้สำเร็จทว่าเขาเองก็ถูกเกาเจวี๋ยเตะจนกระเด็นเช่นกัน... ท้ายที่สุดการต่อสู้ก็จบลงโดยมีเกาเจวี๋ยเป็ผู้ชนะ
ต้วนเสี่ยวโหลวกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปหลายฟุตแรงเสียจนต้นไม้เอียงเลยทีเดียว ร่างของเขาล้มลงไปนอนหงายอยู่บนพื้นในขณะที่สายตายังคงจ้องเขม็งไปที่เลี่ยวจือหย่วน เขากล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว“วันหลังห้ามพูดถึงเื่นี้อีก! ข้าทำไปเพื่อช่วยพวกนางเท่านั้นไม่มีเื่ของชายหญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อยมันไม่ได้เป็อย่างที่เ้าคิดสักนิด! ”
ฝ่ามือที่กระแทกลงบนหน้าท้องของเลี่ยวจือหย่วนก็หนักเอาการเช่นกันเขาจับท้องของตัวเองเอาไว้พลางกล่าวด้วยคิ้วขมวดมุ่น “บิดาเ้าสิ ล้อเล่นนิด ๆหน่อย ๆ ไม่ได้เลยเชียว ข้าแค่พูดเล่นไปเช่นนั้นเอง!ข้าไม่ได้มีน้องสาวหรือคนรู้จักที่กำลังจะแต่งงานกับเ้าเสียหน่อยเหตุใดต้องรีบร้อนมาพูดอธิบายกับข้าด้วย! อีกอย่างแม้เ้าจะไม่มีจิตคิดเกินเลยก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะเป็เช่นนั้นนี่นาสายตาที่เหลียนเอ๋อร์มองเ้าน่ะ แม้แต่คนตาบอดยังต้องคลื่นไส้ เ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ? หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ชาตินี้เ้าคงหาเมียไม่ได้แล้วล่ะ... ดูสิ ๆเวลาพูดถึงเื่นี้เ้าก็เป็ต้องทำหน้าบึ้งตึงทุกครั้งเลย! โอ๊ย เจ็บชะมัด...แต่ช่างเถอะ ข้าเบื่อจะพูดกับเ้าแล้ว”
แท้จริงแล้วแม้ต้วนเสี่ยวโหลวจะเกิดในตระกูลที่ไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่าฮูหยินต้วนจะพยายามหาคู่หมายให้บุตรชายมากแค่ไหนพวกเขาก็ไม่อาจหาหญิงที่เหมาะสมกับบุตรชายได้เลย ไม่ว่าจะเป็เหล่าองค์หญิงบุตรสาวคนโตของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย หรือแม้แต่บุตรสาวคนรองของตระกูลผู้ดีต่างก็ไม่ยอมแต่งเข้าตระกูลต้วนด้วยกันทั้งสิ้น
ทว่าตระกูลต้วนก็ไม่ใช่ตระกูลที่หญิงชาวจวนทั่วไปจะแต่งเข้าไปได้เช่นกันต้วนเสี่ยวโหลวเป็ถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของฮูหยินใหญ่ประจำตระกูลภรรยาในอนาคตของเขาย่อมต้องเป็หญิงที่สามารถควบคุมดูแลเื่ต่าง ๆ ภายในจวนได้อย่างไรเสีย หญิงจากตระกูลทั่วไปก็ไม่มีคุณสมบัติในข้อนี้ ไม่อาจเป็หน้าเป็ตาแก่วงศ์ตระกูลได้ด้วยเหตุนี้ เื่งานแต่งของต้วนเสี่ยวโหลวจึงถูกเว้นว่างมาโดยตลอดแม้ในตอนนี้เขาจะมีอายุอานามมากถึงยี่สิบสามปีแล้วก็ตามเขาก็ยังคงเป็จอมยุทธ์เดียวดายดังเดิมนี่จึงกลายเป็ปัญหาที่ฮูหยินต้วนหนักใจมาโดยตลอด
สิ่งที่น่าหนักใจมากไปกว่านั้นคือต้วนเสี่ยวโหลวมีความรู้สึกอ่อนไหวกับผู้หญิงมาั้แ่เกิดทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงลำบากหรือมีปัญหา เขามักจะเข้าไป ‘ให้ความช่วยเหลือ’อย่างอดไม่ได้เสมอ จนในตอนนี้ หญิงที่เขาเคยช่วยนั้น หากไม่ถึงหลักร้อยก็คงจะขาดอีกไม่กี่คนเท่านั้น หญิงอ่อนแอทั้งหลายล้วนถูกส่งไปยังตระกูลต้วนพวกนางได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านต่าง ๆ อยู่ภายในจวนและหากหางานภายในจวนให้ไม่ได้จริง ๆก็จะถูกส่งไปที่โรงผ้าและโรงเตี๊ยมของต้วนจี้แทน
แม้ต้วนเสี่ยวโหลวจะทำไปเพราะรู้สึกสงสารหญิงสาวพวกนั้นไม่ได้คิดเป็อื่น แต่หญิงที่เขาพากลับไปด้วยกลับไม่ได้คิดเช่นนั้นหญิงสาวหลายคนมักจะมอบสิ่งของให้แก่เขา ทั้งผ้าเช็ดหน้า ทั้งรองเท้าคนโน้นให้ถุงหอม คนนี้ให้เข็มขัด คนนั้นก็ ‘บังเอิญ’ เป็ลมล้มอยู่ตรงหน้าเขาพอดีอีกคนก็ดันตกลงไปในคูน้ำโดย ‘อุบัติเหตุ’และร้องขอความช่วยเหลือขณะเขาโดยสารเรือผ่านไป...
เื่เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ฮูหยินต้วนจะพยายามยับยั้งอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็ผลทำให้จวนขุนนางและจวนพ่อค้าทั้งหลายพากันซุบซิบเื่ความเ้าชู้ของคุณชายต้วนอยู่เสมอ
ั้แ่ต้วนเสี่ยวโหลวชื่อเสียงป่นปี้ก็ไม่มีคุณหนูจากตระกูลใดยอมแต่งงานกับเขาอีก อย่างไรเสีย ในฐานะหญิงคนหนึ่งหากได้ยินว่าว่าที่สามีในอนาคตมี ‘กองทัพศัตรูหัวใจ’ รอที่จะ ‘จัดการ’กับตนั้แ่ยังไม่ได้แต่งเข้าจวนล่ะก็คนที่ขวัญอ่อนอาจใจนโรคหัวใจกำเริบเลยก็เป็ได้ดังนั้นคุณหนูทั้งหลายจึงยอมแต่งไปเป็ภรรยารองของชายชราดีกว่าต้องแต่งเข้าตระกูลต้วน
ทางด้านคุณชายต้วนเองก็ไม่รู้ว่าแกล้งโง่หรือโง่จริงๆ กันแน่ เพราะนอกจากจะไม่แก้ข่าวเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนเองแล้ว กลับยังหา‘ศัตรูหัวใจ’ มาเพิ่มให้แก่ฮูหยินในอนาคตเฉลี่ยเดือนละสี่ห้าคนเลยทีเดียวถือเป็การเพิ่มความยากให้กับ ‘แผนตามหาสะใภ้’ ของผู้เป็มารดาอย่างอกตัญญูด้วยเช่นกัน
หากพูดกันตามจริงก็ไม่อาจกล่าวโทษผู้หญิงพวกนั้นที่ทำตัวได้คืบจะเอาศอกลองคิดดูเถอะ หญิงสาวคนไหนจะไม่หวั่นไหวกับชายที่เข้ามาช่วยเหลือยามลำบากได้เล่า? แถมชายผู้นั้นยังเป็ลูกหลานตระกูลขุนนางชั้นสูง รูปโฉมสง่างามมีหน้าที่การงานและอนาคตที่ดีอีกพวกนางต่างก็เชื่อว่าความจริงใจสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้จึงพยายามจะใช้ความจริงใจของตนกร่อนหัวใจที่แข็งแกร่ง เสมือนกับน้ำที่กร่อนหินผา
“พอได้แล้ว!ขืนยังทะเลาะกันอีก มีหวังฟ้ามืดกันพอดี พวกเรามาทำงานนะ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น”เกาเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ต้วนเสี่ยวโหลวหากเ้าเอาความใส่ใจที่ทุ่มให้เื่ไร้สาระพวกนี้มาลงกับงานอีกสักนิดก็คงไม่ปล่อยให้เบาะแสที่สำคัญที่สุดหลุดลอยไปแบบนี้หรอก! ”
ยังไม่ทันที่ต้วนเสี่ยวโหลวจะได้ตอบโต้ใดๆ กลับไป ลู่เจียงเป่ยก็ะโออกมาทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยเสียก่อน “เอาล่ะ ๆเื่นี้จะโทษต้วนเสี่ยวโหลวคนเดียวก็ไม่ได้ เ้าไส้เดือนดินนั่นเ้าเล่ห์จะตายไปแม้แต่พวกเราก็ยังหลงกลมันเลยไม่ใช่หรือ? ทุกคนต่างก็เหนื่อยกันมามากแล้วพวกเ้าพูดให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ เก็บแรงไว้เดินทางต่อดีกว่า!อีกอย่างตอนนี้ทางลงเขาก็ถูกพวกเราปิดล้อมไว้หมดแล้วข้าว่าคืนนี้พวกเราไปพักในวัดกันก่อนดีหรือไม่ พักให้หายเหนื่อยสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยออกตามหาต่อ” หลังพูดจบ เขาก็หันไปถามความเห็นของชายชุดฟ้าทันที“ใต้เท้าเกิ่ง ท่านมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง? ”
ใต้เท้าเกิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ ไม่ใช่แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นพวกเราต้องพักอยู่ในวัดจนถึงวันที่จะออกไปจากหยางโจว”
“หา? ทำไมล่ะ? ” ทุกคนกล่าวถามด้วยความสงสัย
ใต้เท้าเกิ่งชูมือขึ้นเป็เชิงให้เงียบพลางทอดสายตามองไปยังก้อนเมฆเบื้องหน้า “เื่จับนักโทษเป็เื่รองเท่านั้นความจริงแล้ว การที่เรามาหยางโจวในครั้งนี้เป็เพราะเื่อื่นต่างหาก...แต่เื่นี้ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี หากจำเป็ต้องให้พวกเ้ารู้ ข้าจะเป็คนบอกกับพวกเ้าเอง”
ลู่เจียงเป่ยกับเกาเจวี๋ยมองตากันด้วยความประหลาดใจทว่าไม่ได้กล่าวอันใดออกไป บอกตามตรงผู้บัญชาการคนใหม่ของจิ่นอีเว่ยคนนี้มีนิสัยลึกลับนักกระทั่งตอนนี้ก็ยังดูไม่ออกว่าเขาเป็คนอย่างไรแน่ครั้นจะบอกว่าเขาเป็มิตรและใจกว้างก็กล่าวได้ไม่เต็มปากบางครั้งก็รู้สึกราวกับว่าคนผู้นี้ยากที่จะเข้าใกล้เหลือเกินเหมือนมีกำแพงบางอย่างคอยกั้นเขาออกจากคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลาแต่หากจะบอกว่าเขาเป็คนผยอง เ็า ไม่เห็นใจใคร ก็ไม่ใช่เช่นนั้นอีกเพราะระหว่างทำงานด้วยกัน พวกเขาต่างก็ได้รับอิสระมากเหลือเกิน
อย่าเพิ่งพูดถึงเื่อื่นเลยลำพังแค่เื่การทะเลาะวิวาทของต้วนเสี่ยวโหลวกับเลี่ยวจือหย่วนที่มักจะเกิดขึ้นเบื้องหน้าผู้บัญชาการเกิ่งอยู่เป็ประจำที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ผู้บัญชาการจะดุด่าตำหนิหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจเลยสักครั้ง อันที่จริง เขาไม่เคยใช้ตำแหน่งผู้บัญชาการของตัวเองมาควบคุมหรือกดขี่ผู้อื่นแต่ก็ไม่เคยร่วมสังสรรค์กับพวกเขาสักครั้งเช่นกันปฏิบัติราวกับเขาไม่มีตัวตนเสียอย่างนั้น...เอาเป็ว่าผู้บัญชาการเกิ่งทำให้พวกเขาที่แม้จะทำงานคลุกคลีกับผู้คนในพระราชวังราชสำนักและชาวจวนร้านตลาดมานาน พบเจอคนหลากหลายรูปแบบจนนับไม่ถ้วนแต่ก็ยังดูไม่ออกเลยว่าผู้บัญชาการเป็คนอย่างไรกันแน่
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ลู่เจียงเป่ยก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นภายในจิตใจเขาจึงรีบพูดเปลี่ยนเื่ทันที “จะว่าไปแล้ว แม่ชีน้อยสองคนนั้นเดินช้ากันจริง ๆเลยนะ” พูดไปพลางหันกลับไปมองอีกครั้ง “พวกเราเสียเวลาอยู่ที่นี่นานขนาดนี้แล้วแท้ๆ จนป่านนี้พวกนางก็ยังตามมาไม่ทันเลย ไม่มีแม้แต่เงาด้วยซ้ำ น่าแปลกจริง ๆ! ”
ต้วนเสี่ยวโหลวเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเขารีบส่งพลังไปที่ใบหูแล้วตั้งใจเงี่ยหูฟังอย่างสงบครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้น“เป็จริงดังนั้น แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ยังไม่มีเลย เกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกนางหรือไม่? พวกเรากลับไปหา...”
เกาเจวี๋ยพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง“รีบเดินทางกันต่อเถอะ ข้าหิวแล้ว”
ลู่เจียงเป่ยเดินมากอดคอต้วนเสี่ยวโหลวเอาไว้แล้วส่งเสียงหัวเราะ“ไยต้องเป็กังวลด้วย บางทีพวกนางอาจจะไม่อยากเดินร่วมทางกับพวกเราก็ได้แบบนั้นก็เลยจงใจเดินรั้งท้ายอย่างไรเล่า อย่าลืมสิ เมื่อครู่เ้าแอบเดินตามพวกนางแอบฟังบทสนทนาระหว่างสตรียังไม่พอ ยังไปหัวเราะใส่พวกนางอีก นางต้องโกรธพวกเราแน่ๆ รีบไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวก็อยู่ในวัดเดียวกันแล้ว ยังกลัวจะหากันไม่เจออีกหรือ? ”
ในที่สุดต้วนเสี่ยวโหลวก็ยอมปิดปากเงียบแล้วเดินตามพวกพ้องไป
ทว่าเดินไปได้เพียงไม่นานเลี่ยวจือหย่วนก็เริ่มก่อกวนขึ้นอีกครั้ง เขาใช้ศอกสะกิดไปที่เอวของต้วนเสี่ยวโหลวจากนั้นจึงเหล่มองแล้วกล่าวขึ้น “เฮ้ ๆ คุณชายต้วน กับแม่ชีน้อยที่มีหน้าตาสะสวยพูดจาอ่อนหวานเมื่อครู่... เ้าเพียงรู้สึกสนใจนางเฉย ๆไม่ได้มีความรักใคร่แบบชายหญิงเข้ามาเกี่ยวข้องใช่หรือไม่? ”
ต้วนเสี่ยวโหลวรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหูเขาสบถเสียงดังแล้วกล่าวขึ้นอย่างเย็นะเื “ยังไม่จบใช่หรือไม่ เหตุใดยังจะพูดถึงนางอีก!”
“ฮิ้ว ๆ ๆ! ”เลี่ยวจือหย่วนส่งเสียงร้องโหวกเหวกขึ้น “คุณชายต้วน หูเ้าแดงไปหมดแล้ว!เ้าคงไม่ได้ชอบนางจริง ๆ ใช่หรือไม่? ”
“พูดเหลวไหลพอหรือยัง?หากยังพูดพล่อย ๆ อีก เ้าได้กินหมัดข้าแน่! ”
“ในฐานะของสหายคนหนึ่งข้าว่าเด็กคนนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน เฮ้ หันหน้ามาหน่อย อย่าทำเป็ไม่สนใจข้าสิ!ข้าว่านางดีกว่าคนที่เ้าพากลับไปด้วยก่อนหน้านี้เยอะเลยหากพานางกลับไปพบมารดาเ้าล่ะก็ ท่านต้องชอบมากแน่ ๆ รออีกสักสองสามปีให้นางโตเป็สาวงามก่อน ถึงตอนนั้นค่อยให้นางมาเป็อนุของเ้าก็ยังไม่สายอืม...เ้า ‘ช่วย’ พานางออกไปจากวัดที่ต้องเหนื่อยยากลำบากกายถือว่าเป็ผู้มีพระคุณของนาง บางทีนางอาจซาบซึ้งและตอบแทนเ้าด้วยร่างกายก็ได้...”
“ไสหัวไปเลย!ไปกันใหญ่แล้วนะ มีกระไรนิด ๆ หน่อย ๆ เป็ไม่ได้ จะต้องสร้างเื่เกินจริงตลอด!ทำไมเ้าถึงไม่พานางกลับไปพบมารดาของเ้าเองเล่า! ”
“ฮ่า ทุกคนฟังเขาพูดสิ ในที่สุดคุณชายต้วนก็ยอมรับแล้ว! ว่าในใจของเขา...มีกระไรอยู่ด้วย! ”
“ไอ้เ้าลูกสุนัขเ้าอยากโดนอัดอีกใช่หรือไม่! ”
…...
“เสี่ยวอี้เหตุใดพวกเราต้องเดินกลับไปทางเดิมอีกเล่า? ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าไปหาคนคนนั้นไม่ได้มิใช่หรือ?อีกอย่าง คนกลุ่มนั้นเป็ขุนนางของทางราชสำนักเชียวนะคนที่ได้รับาเ็อยู่ในพงหญ้าก็เป็คนร้ายที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“อย่าเพิ่งถามอันใดเลยดูนี่ จำหน้าตาของหญ้าแบบนี้เอาไว้ เ้าช่วยข้าหาหญ้าแบบนี้ที่บริเวณรอบ ๆดูหน่อย” เหอตังกุยยกต้นเจียวเข่า [1] ในมือขึ้นมาอวด
“ได้”เจินจิ้งก้มตัวลงช่วยตามหาอย่างว่าง่าย
ผ่านไปสักพักทั้งสองก็ได้หญ้าชนิดนั้นมาประมาณห้าหกต้นแล้ว “เอาล่ะ แค่นี้คงพอแล้วล่ะนะ”เหอตังกุยดึงให้เจินจิ้งลุกขึ้นยืนแล้วส่งยิ้มบาง ๆ ออกมา “ไปเราไปช่วยเขากันเถอะ”
“ช่วยงั้นหรือ?ก็ได้! แต่พวกเราช่วยคนร้ายแบบนี้จะไม่เป็ไรจริง ๆ หรือ? ” เจินจิ้งพูดพลางทำตาปริบ ๆ
เหอตังกุยกำมือแน่นใช้เล็บบีบน้ำออกมาจากสมุนไพร สายตาของนางเปล่งประกายสว่างไสวใบหน้างามอมยิ้มเล็กน้อย “เจินจิ้งในโลกใบนี้ไม่ได้มีคนที่ดีหรือเลวเพียงอย่างเดียวหรอกนะ ก็เหมือนที่นักบวชเช่นพวกเ้าชอบพูดกันอย่างไรเล่าดีชั่วขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเราเอง”
------------------------------------------------------
[1] ต้นเจียวเข่าคือ ต้นเปปเปอร์โรเมีย เป็พืชตระกูลหนึ่งที่มีหลายชนิดส่วนใหญ่เป็ไม้ประดับในร่ม เป็พันธุ์ไม้ที่มีขนาดเล็กขึ้นหนาแน่นเป็กอมีใบค่อยข้างหนาและเป็มันเงา