สวี่ตี้อธิบายออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่จางจ้าวฉือกับสวี่เหราต่างรู้สึกเห็นใจเขาเป็อย่างมาก เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าหากบุตรชายของตนไม่เอาความสามารถที่แท้จริงของเขาออกมาให้ผู้อื่นเห็นถึงความเก่งกาจของเขา ไม่มีทางที่ผู้อื่นจะเรียนรู้กับสวี่ตี้อย่างจริงใจ เพื่อสิ่งนี้ สวี่ตี้จึงทุ่มเทไปมาก
สวี่ตี้พรูลมหายใจ “พวกท่านเองก็ไม่ต้องมาเห็นใจข้าหรอกขอรับ กล่าวตามจริงแล้วนั้น ข้าเองก็รู้สึกมีความสุขตอนที่ทุกคนมาฟังข้าสอนขอรับ สายตาที่มองมาที่ข้าน่ะ ไอ๊หยา ปกติแล้วมีแต่ข้าที่ไปฟังคนอื่นสอน ข้าถูกผู้อื่นฝึกสอนข้าจะต้องฟังคำสั่งของผู้อื่น ตอนนี้ข้ากลับไปเป็อาจารย์ของผู้อื่นเสียเอง ให้ผู้อื่นฟังคำสั่งของข้า เพียงแค่คิด ข้าก็ตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว”
เหล่าทหารในกองทัพนอกจากฝึกซ้อมประจำวันแล้ว ทุกๆ เดือนจะมีเวลาพักสองวัน สามารถไปเดินเล่นในเมืองเหอซี หรือทหารที่บ้านอยู่ใกล้ค่ายทหารก็จะกลับไปเยี่ยมบ้าน
เพราะว่าครั้งนี้หม่าิทำคะแนนในการฝึกซ้อมได้อันดับหนึ่ง นอกจากเงินรางวัลแล้ว ยังได้วันหยุดสองวันเป็รางวัลพิเศษอีกด้วย
สวี่ตี้คิดไม่ถึงว่าหม่าิจะพาคนมาหาตนถึงเรือน ตอนที่พวกเขามาถึง สวี่ตี้ยังนอนหลับอยู่บนตั่ง ถึงแม้นิสัยจะหนักแน่นมั่นคงเพียงใด แต่ร่างกายก็ยังเป็เด็กตัวเล็กๆ อยู่วันยังค่ำ ทั้งยังไม่เคยฝึกซ้อมมาก่อนแล้วยังตามขึ้นเขา ถึงแม้ห้าวันนั้นจะไม่ได้ไปฝึกด้วย แต่ในแต่ละวันมีสิ่งที่จะต้องพิจารณามากมาย เมื่อใช้ความคิดและพลังใจในการพิจารณามากเข้า สุดท้ายเขาก็เหนื่อยล้า
หลังจากนายทวารนำเื่ไปรายงาน เพราะว่าสวี่ตี้ยังคงนอนหลับอยู่ เขาจึงไปรายงานกับจางจ้าวฉือแทน ซึ่งตัวนางเองก็ไม่ได้ใส่ใจอันใดมากแล้วนำคนไปยังห้องของสวี่ตี้ ในยุคปัจจุบันแต่ก่อนเพื่อนๆ ของสวี่ตี้มาเล่นด้วยที่บ้าน ก็ทำเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
สุดท้ายพวกหม่าิที่คอยระมัดระวังตัวเองก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกพาไปยังภายในห้องของสวี่ตี้ ทางด้านจางจ้าวฉือยังสั่งให้ชิงเหมี่ยวไปต้มน้ำชาและเอาขนมมาให้ที่นี่ จากนั้นก็ถามว่าตอนกลางวันจะอยู่ทานข้าวที่นี่หรือไม่ หากอยู่จะได้สั่งให้ป้าเหอเตรียมอาหารกลางวันเอาไว้ให้
ห้องของสวี่ตี้เป็ห้องชุดเล็กๆ ด้านนอกเป็ห้องรับแขก ด้านในเป็ห้องนอน ภายในห้องนอกจากตั่งที่วางอยู่ข้างหน้าต่าง ก็ยังมีตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือหนึ่งตัว ส่วนในห้องรับแขกด้านนอกวางชุดโต๊ะรับแขกเอาไว้
หลายวันมานี้หม่าิค่อนข้างจะสนิทสนมกับสวี่ตี้ รู้ว่าสวี่ตี้ไม่ได้เป็คนที่ใส่ใจกับเื่เล็กๆ น้อยๆ พอเห็นว่าไม่มีคนอยู่ในห้องรับแขกจึงแอบเดินเข้าไปมองด้านในห้องก็พบว่าสวี่ตี้ยังนอนหลับอยู่บนตั่ง ใจที่อยากเล่นสนุกก็แล่นขึ้นมาอย่างหาได้อยาก เขาพาคนอื่นๆ ค่อยๆ เดินเข้าไป ก่อนจะบีบจมูกของสวี่ตี้
สวี่ตี้ที่กำลังนอนหลับอยู่นั้น พอถูกคนบีบจมูกก็ลืมตาพรึ่บขึ้นมา เขาใจนใจหายใจคว่ำ พลันกอดผ้าห่มแล้วหลบไปอยู่ด้านข้าง การกระทำเช่นนี้กลับทำให้พวกหม่าิหัวเราะลั่นออกมา
สวี่ตี้ถึงได้ตื่นขึ้นมาเต็มตาแล้วพูดออกมาอย่างอารมณ์บูดๆ ว่า “พวกเ้าเป็แขกที่ไม่ดีเอาเสียเลย ถึงได้ทำให้ข้าติดอยู่ในผ้าห่มเช่นนี้ มีแขกอย่างพวกเ้าที่ใดกัน”
หม่าิหัวเราะก่อนจะเอ่ย “พวกข้าให้นายทวารมาส่งข่าวแล้ว เขาบอกว่าฮูหยินสวี่ให้พาพวกเรามาที่ห้องของเ้า ข้ามีหรือจะรู้ว่าเ้ายังไม่ตื่น สายแล้วนะ รีบตื่นได้แล้ว ข้ายังมีเื่อีกมากที่จะขอให้เ้าสอน”
สวี่ตี้มองคนที่ตามอยู่ด้านหลังของหม่าิ ทั้งหมดล้วนเป็กลุ่มคนที่เข้าไปฝึกบนูเากับเขา สวี่ตี้จำได้ว่าคนที่อายุมากที่สุดนามว่าเฉินเทียนรุ่ย อายุสิบสองปี ข้างๆ กันมีอีกสองคน คนหนึ่งนามว่าโจวิเต๋อ อีกคนมีนามว่าเหอเอ้อร์โก่ว ทุกคนล้วนอายุสิบกว่าปีแล้ว
เฉินเทียนรุ่ยรู้จักตัวหนังสือ นี่คือเื่ที่หาได้ยากมาก ตอนนี้คนที่สามารถรู้ตัวหนังสือมีไม่มาก ปกติจะเป็คนที่มาจากสกุลใหญ่ถึงจะสามารถมีคนที่อ่านหนังสือออก หลังจากเรียนหนังสือก็ค่อยๆ เริ่มจากการเริ่มสอบเป็ถงเซิง [1] บางคนสอบมาทั้งชีวิตก็ยังผ่านการเป็ถงเซิงไม่ได้ คนที่สอบติดไปแล้วก็ไม่ต้องทำงานโดยไร้ค่าจ้างอีกต่อไป ดังนั้นจึงสามารถเป็ทหารได้ ซึ่งโดยปกติแล้วพวกทหารส่วนใหญ่จะเป็คนที่ไม่รู้หนังสือ เว่ยหลางได้จ้างคนมาสอนให้ทหารในกองทัพของตนเองได้รู้หนังสือ เื่นี้ได้ทำมาแล้วหลายปี ได้ยินมาว่าผลลัพธ์ออกมาไม่เลวเลยทีเดียว
สวี่ตี้เคยได้ยินเว่ยหลางพูดถึงเฉินเทียนรุ่ยพอดี ว่าที่เฉินเทียนรุ่ยรู้หนังสือเพราะแอบเรียนด้วยตนเอง ในครอบครัวให้ลูกชายคนโตของลุงใหญ่ของเขาได้เรียนหนังสือ เรียนมาก็หลายปีแล้ว ตอนที่เฉินเทียนรุ่ยได้เข้าร่วมกองกำลังทหาร พี่ชายลูกของลุงใหญ่ถึงได้สอบผ่านถงเซิง
สวี่ตี้แต่งตัวดีแล้ว เฉินเทียนรุ่ยได้ช่วยจัดการกับผ้าห่มของสวี่ตี้เรียบร้อยแล้ว สวี่ตี้รีบกล่าวขอบคุณ พอดีกับที่ชิงเหมี่ยวยกน้ำชาและขนมเข้ามาส่ง หลังจากสอบถามสวี่ตี้ ก็รู้ว่าตอนกลางวันสวี่ตี้จะให้พวกเขารับประทานอาหารที่นี่ นางจึงรีบไปสั่งงานกับโรงครัว
หม่าิได้ยินสวี่ตี้พูดกับชิงเหมี่ยวก็พูดออกมาอย่างรู้สึกเกรงใจ “คุณชาย พวกเรามาขอให้เ้าสอนไม่กี่เื่ พูดจบพวกเราก็จะไปแล้ว”
สวี่ตี้โบกมือ “ข้ารู้ว่าพวกเ้ามีวันหยุดสองวันแต่ไม่กลับบ้านจะมีเื่อันใดได้? พวกเ้ามาหาข้าที่เรือนครั้งนี้ จะเลี้ยงข้าวเ้าสักมื้อก็เป็เื่ที่สมควร แม้ไม่กินที่เรือนของข้า ข้าก็จะพาพวกเ้าไปกินที่ร้านอาหารริมทางอยู่ดี แต่กินที่ร้านอาหารมีหรือจะเป็ตัวของตัวเองได้เท่ากินอยู่ที่บ้านกัน? พี่หม่าเ้าก็ฟังที่ข้าพูดแล้วกันนะขอรับ”
ตั่งร้อนในห้องอุ่นๆ สวี่ตี้กวักมือเรียกให้ทุกคนถอดรองเท้าขึ้นมานั่งบนตั่ง ทุกคนเดิมทียังเกรงใจ สวี่ตี้จึงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเราฝึกด้วยกันแล้ว เช่นนั้นต่อไปก็เป็พี่น้องร่วมเป็ร่วมตายกัน การไปสอนพวกเ้าแล้วไม่โดนพวกเ้าดูถูกเพราะอายุข้าน้อย แค่นี้ข้าก็ดีใจมากแล้วขอรับ”
หม่าิฟังเช่นนั้นแล้วก็ถอดรองเท้าขึ้นไปบนตั่ง ตอนนี้กลับรู้สึกดีใจที่เมื่อวานหลังจากลงเขาก็กลับไปอาบน้ำอาบท่าให้สะอาด เท้าเองก็ล้างจนสะอาด ทั้งยังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ตัวใหม่
ขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนตั่ง หม่าิบิดี้เีอย่างสบายตัวก่อนจะกล่าว “ไอ๊หยา อยู่ที่บ้านสบายจริงๆ นั่นแหละ ข้าไม่ได้นั่งบนตั่งอุ่นๆ แบบนี้มานานแล้ว”
สวี่ตี้รินน้ำชาให้ทุกคน “พี่หม่า เ้าเองก็แค่ชอบกินข้าวร่วมกับทุกคน นอนด้วยกัน ฝึกด้วยกันกับทุกคน ข้ารู้ ในจวนแม่ทัพยังมีห้องของเ้าอยู่ห้องหนึ่ง”
หม่าิหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าติดตามซื่อจื่อมารบ แน่นอนว่าจะต้องอาศัยอยู่ในกองทัพสิ”
สวี่ตี้เป็คนที่นิสัยร่าเริงมากคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็คนที่พูดคุยเก่ง ในเื่นี้สวี่ตี้เก่งกว่าพ่อแม่ของตนเองมาก เดิมทีลุงใหญ่ที่เป็หัวหน้าสกุลสวี่ในโลกก่อนอยากจะให้สวี่ตี้เรียนจบปริญญาตรี เมื่อจบแล้วจะให้ไปเป็ทหาร แต่สวี่ตี้ไม่ยอม เขาคิดว่าตนเองยังต้องไปเสาะหาความรู้เื่ที่ตนเองยังไม่รู้อีกมากมาย แต่หากมีเวลาก็จะกลับไปฝึกด้วย สุดท้ายเขากลับกลายเป็เพื่อนที่ดีกับคนในกองทัพที่อายุมากกว่าตัวเองอยู่หลายปีเ่าั้
เมื่อสวี่ตี้พูดคุยกับคนพวกนี้ก็สามารถพูดคุยกับทุกคนได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็เหอเอ้อร์โก่วกับโจวิเต๋อที่อายุยังน้อย พูดเื่ลับๆ กับหม่าิ จนถึงขั้นพูดเื่พร์ด้านเพลงกลอนกับเฉินเทียนรุ่ย พูดกับเหอเอ้อร์โกว โจวิเต๋อเกี่ยวกับการปลูกพืช ทุกอย่างเขาสามารถสนทนาได้อย่างลื่นไหลและมีเหตุมีผล
พอได้พูดคุยภาษาเดียวกัน เวลาก็ยิ่งผ่านไปเร็ว ชิงเหมี่ยวมาถามว่าจะรับประทานอาหารกลางวันตอนนี้เลยหรือไม่ ทุกคนถึงได้รู้สึกตัวว่าเป็เวลาอาหารเที่ยงแล้ว
เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ หม่าิก็พาคนกลับ สวี่ตี้มีเวลาว่างจึงจะนอนกลางวัน เขานอนอยู่บนตั่งอุ่นๆ และค่อยๆ ผล็อยหลับไป
หม่าิพาทุกคนเดินทางไปยังกองทัพ เหอเอ้อร์โก่วเอ่ยขึ้น “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคุณชายสวี่จะพูดคุยได้ง่ายขนาดนี้ อาหารของครอบครัวเขาเองก็อร่อยมากเช่นกัน”
เฉินเทียนรุ่ยหัวเราะแล้วเอ่ย “พวกเราตามมาถามคำถามเขากับพี่หม่า ไม่ได้มาเพื่อให้เขาเลี้ยงข้าวนะ”
โจวิเต๋อเอ่ย “ได้ยินมาว่าคุณชายเกิดในจวนโหว พี่หม่า คนที่เกิดมาในชนชั้นสูงเป็เช่นนี้กันหมดเลยหรือ? ข้าได้ยินหลายคนบอกว่าคุณชายเหล่านี้ล้วนเอาแต่เที่ยวเล่น”
หม่าิเอ่ยตอบ “มิใช่ทุกคนที่จะเหมือนซื่อจื่อกับคุณชายสวี่หรอก และก็มิใช่ทุกคนที่เอาแต่เที่ยวเล่น ข้าออกมาจากเมืองหลวงนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าผู้คนในตอนนี้เป็อย่างไร”
เหอเอ้อร์โก่วเอ่ย “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าจะได้ไปที่เมืองหลวง ได้ยินมาว่ากำแพงของเมืองหลวงสูงกว่าด่านเยี่ยนเหมินของพวกเราเสียอีก”
เฉินเทียนรุ่ยเอ่ย “เมืองหลวงมีหรือที่ผู้ใดอยากจะไปก็ไปได้ พวกเราที่เป็ทหารชายแดนยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
หม่าิเอ่ย “ฝึกซ้อมกันให้ดีๆ ทำผลงานให้มาก ถึงตอนนั้นก็จะมีพระราชโองการให้พวกเ้าไปที่เมืองหลวงเอง”
เหอเอ้อร์โก่วพูดอย่างคาดหวังถึงอนาคต “เมืองหลวงหรือ รอข้ามีผลงานจนฮ่องเต้มีรับสั่งให้เป็แม่ทัพก่อนเถิด จะกราบทูลขอรางวัลพระราชทานให้กับท่านแม่”
โจวิเต๋อเอ่ย “ผู้ใดจะไม่อยากได้บ้างล่ะ แต่ว่ามันจะมีเื่ง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน พวกเราสองคนมาช้าเกินไปจึงยังมิได้ลงสนามรบ ไม่รู้ว่าหากออกรบแล้วจะยังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่”
เดินเท้ามาจากเขตเมืองเหอซีมาจนถึงด่านเยี่ยนเหมิน เป็ระยะทางเกือบยี่สิบลี้ ตลอดเส้นทางต่างถูกซ่อมแซมด้วยพื้นหินที่เรียบมาก บางพื้นที่ถึงขั้นปูด้วยหินคุณภาพดี
ทั้งสี่คนเดินทางด้วยเส้นทางนี้ไปยังกองทัพหลายครั้ง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องไปยังตัวคนทำให้คลายหนาวได้บ้าง เมื่อได้ยินคำพูดของโจวิเต๋อ หม่าิก็กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่พวกเราฝึกซ้อมคุณชายสวี่พูดมาหนึ่งประโยค เขาบอกว่าปกติเวลาฝึกให้เหงื่อออกมากๆ ตอนออกรบเืจะออกน้อย ถึงแม้พวกเ้าสองคนจะไม่เคยลงสนามรบมาก่อน แต่ว่าร่างกายยังมีความสามารถในการจดจำอยู่ จงฝึกซ้อมให้ดี อย่าคิดว่าเพราะการฝึกพวกนั้นน่าเบื่อเกินไปจึงไม่อยากทำ หากฝึกได้ดีแล้ว จะสามารถรอดกลับมาจากสนามรบได้อย่างปลอดภัย”
เหอเอ้อร์โก่วพยักหน้า “พี่หม่า ข้าฟังคำท่าน ต่อไปท่านบอกให้ฝึกอย่างไรข้าก็จะฝึกอย่างนั้น รับประกันว่าไม่กลัวลำบากไม่กลัวเหนื่อยขอรับ”
สวี่ตี้พักอยู่สองวัน ถึงได้ขจัดเอาความเหนื่อยล้านี้ออกไป ก่อนจะพูดกับจางจ้าวฉือ “ร่างกายนี้แย่เกินไป ต่อไปข้าจะให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อม และจือเอ๋อร์ก็ต้องให้นางมาฝึกกับข้าด้วย ไม่ขอให้นางเป็ยอดฝีมือ เพียงฝึกให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น”
จางจ้าวฉือตอบ “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ให้แม่จ้างอาจารย์สอนวิชาหมัดมวยมาให้พวกเ้าหรือไม่?”
สวี่ตี้เอ่ย “มิต้องขอรับ ข้าพาน้องฝึกเองได้ ท่านว่าฝีมือของข้าในด้านนี้ไม่ดีพอหรือ? นั่นคือผลงานของบรรพบุรุษที่ทำมานับครั้งไม่ถ้วนนะขอรับ”
เื่จึงกลายเป็เช่นนี้ ตอนนี้มีสิ่งที่สวี่จือต้องทำเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง ทุกวันตอนเช้าั้แ่ฟ้ายังไม่สางจะต้องตื่นขึ้นมาทำตามพี่ชาย หลังจากออกกำลังกายเสร็จ ก็วิ่งรอบเรือนหลายรอบ ก่อนจะเริ่มนั่งท่าหม่าปู้ แล้วเรียนรู้กระบวนท่าเตะต่อย
สวี่จือตั้งใจเรียนมาก ในใจของนางนั้นรู้ดี ของพวกนี้หากเรียนได้แล้วก็จะอยู่กับตนเองไปตลอดทั้งชีวิต จนถึงขั้นเป็วิชาเอาไว้ปกป้องตนเอง ถึงแม้ต่อไปตนเองจะไม่ได้เจอกับอันตราย ฝึกร่างกายเอาไว้ให้ดี จะอย่างไรก็มิใช่เื่ผิด
สวี่ตี้คิดไม่ถึงว่าน้องสาวที่นุ่มนิ่มเหมือนกับเปาจือจะสามารถอดทนกับตนเองได้ แม้แต่ตอนที่เขามีงานจนต้องค้างคืนอยู่ที่บ้านสวน ตอนเช้าสวี่จือก็จะตื่นเช้าขึ้นมาออกกำลังกายโดยลำพังผู้เดียว เื่นี้ทำให้ครอบครัวสกุลสวี่ทั้งสามคนต้องมองเด็กหญิงแสนนุ่มนิ่มเสียใหม่
หลังจากกลับมาจากบนเขาก็ผ่านไป่หนึ่ง หลังจากหิมะตกไปรอบหนึ่ง เว่ยหลางกับสวี่ตี้ก็พาคนขึ้นูเาไปเงียบๆ อีกครั้ง ขึ้นเขาในครั้งนี้นับว่าเป็การฝึกอย่างจริงจัง
เว่ยหลางบอกกับทุกคนในกองทัพว่าจะพาคนไปล่าสัตว์ในูเา ดูว่าจะสามารถล่าสัตว์ป่ากลับมาให้ทุกคนรับประทานได้หรือไม่ ส่วนสวี่ตี้ยังคงถูกเว่ยหลางแอบพาเข้าูเาเช่นเคย คุณชายใหญ่ของสกุลสวี่ในสายตาของคนจำนวนมากไม่ได้เป็คนที่โดดเด่น ได้ยินมาว่าตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ในเรือน ต่อไปจะเดินเส้นทางสายขุนนาง ทว่าว่าตอนนี้แม้แต่สอบถงเซิงก็ยังไม่ผ่าน คาดว่าคงไม่ได้เป็คนที่โดดเด่นอะไร ทุกคนจึงแอบพูดถึงผู้ปกครองสวี่ลับหลังเงียบๆ ว่า มิรู้ว่าิญญาบรรพบุรุษในครอบครัวคนใดออกมาจากสุสาน ทำให้เขาสอบขุนนางผ่านจนได้เป็จิ้นซื่อ แล้วกลายเป็บุคคลที่โดดเด่นของสกุลสวี่ เพราะว่าลูกหลานคนอื่นๆ ในสกุลสวี่นั้นไม่ได้เื่เอาเสียเลย
สวี่ตี้ฝึกร่างกายอยู่ในเรือนของตนเองมาหลายวัน รู้สึกว่าร่างกายของตนเองดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีแค่ความสูงที่ยังไม่เพียงพอ แรงยังมีไม่มาก หากไม่นับกลุ่มคนที่เว่ยหลางพามากลุ่มนี้ และยังเป็คนที่เคยอยู่ในยุทธภพมาก่อน หากให้สู้กันละก็คนอื่นๆ ก็คงไม่นับว่าเป็คู่ปรับของเขา
สวี่ตี้ได้อธิบายเกี่ยวกับกระบวนท่าเตะต่อยของทหารอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็การเตะต่อยธรรมดา แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ กลับพบว่าไม่ใช่แบบนั้น ท่าทางมองดูง่ายดาย เมื่อทำขึ้นมาจริงๆ ความรุนแรงกลับมีไม่น้อยเลย
สวี่ตี้ได้เอารายการที่ตนเองเคยฝึกของกลุ่มหน่วยรบพิเศษไล่เรียงออกมา หลังจากปรึกษากับเว่ยหลาง ก็กำหนดรายละเอียดแผนการฝึกออกมา แล้วให้คนเหล่านี้ฝึกตามแผนไปหลายวัน ระหว่างการฝึกก็มีให้เข้าคาบเรียนทฤษฎี อธิบายเกี่ยวกับวิชาา วิชาทหาร เื่นี้กลับทำให้ทหารเหล่านี้ชอบใจกันมาก สวี่ตี้ไม่ได้อธิบายไปเฉยๆ ยังสอดแทรกประวัติศาสตร์ทหารลงไปด้วย หลังจากบรรยายเสร็จก็ยังให้ทุกคนแบ่งกลุ่มกันถกเถียง แล้วก็ให้ทำเมืองจำลอง เพื่อให้ทุกคนจำลองาบนนั้น
เว่ยหลางมองการฝึกซ้อมพวกนี้ในใจก็คันยุบยิบ เขาอยากจะเอาการฝึกอบรมเช่นนี้ผลักดันไปให้ทั่วทั้งกองทัพ วิธีการฝึกอบรมเช่นนี้แปลกใหม่ ชักจูงคนให้ชนะ อีกทั้งยังสามารถเลือกคนเก่งมีพร์ด้านทหารออกมาจากทหารทั้งหมดได้
สำหรับความคิดของเว่ยหลางสวี่ตี้นั้นไม่ได้ปฏิเสธ ล้วนเป็เื่ที่มีประโยชน์ต่อแคว้นของตนเอง อยากจะผลักดันออกไปก็ทำไป แต่ว่าเื่หนึ่งที่สำคัญคือเขาไม่สามารถเอาตนเองไปอยู่ต่อหน้าผู้คนได้ สวี่ตี้ได้วาดอนาคตของตนเองเอาไว้แล้ว เขาอยากจะทำตามแผนของตนเองให้สำเร็จ ไม่อยากให้เื่ยิบๆ ย่อยๆ มาสร้างความวุ่นวายให้กับตนเอง ถึงแม้จะมาช่วยเว่ยหลาง แต่สาเหตุก็เพราะครอบครัวของตนเองอยู่ที่นี่ ช่วยเว่ยหลางฝึกซ้อมทหารที่นี่ย่อมดีอยู่แล้ว นี่ถือเป็การเพิ่มเกราะป้องกันให้ตนเองอีกชั้นหนึ่งมิใช่หรือ?
เชิงอรรถ
[1] การสอบถงเซิง คล้ายกับการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในปัจจุบัน ผู้สมัครสอบในระดับนี้ทุกคน ไม่ว่าจะมีอายุมากน้อยเท่าใดก็ตาม จะเรียกว่า "ถงเซิง" (ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า "นักศึกษาเด็ก") ดังนั้นจึงเรียกการสอบในระดับนี้ว่า "การสอบถงเซิง" การสอบถงเซิงเป็การสอบในระดับท้องถิ่นซึ่งแบ่งย่อยออกเป็ 3 ระดับด้วยกัน คือ การสอบระดับอำเภอ การสอบระดับจังหวัด และการสอบย่วนซื่อ ซึ่งจัดโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง ในการสอบ 3 ระดับนี้ การสอบระดับอำเภอถือว่าสำคัญที่สุด การจัดสอบระดับอำเภอจะดำเนินการโดยขุนนางประจำอำเภอต่างๆ หากผู้เข้าสอบสอบผ่านในระดับนี้ก็จะได้รับเลือกเป็ "เซิงหยวน" (บัณฑิตระดับอำเภอ) หรือมักเรียกกันทั่วไปว่า "ซิ่วไฉ"