ในเรือนเต็มไปด้วยกลิ่นขมฝาดของปูนขาวผสมปนเปกับกลิ่นหอมของใบอ้ายเย่ เมื่อเข้ามาก็อดะเืใจไม่ได้
หนานิเหอเดินตรงไปห้องส่วนตัวของเยี่ยนเจาเจา เขาเห็นเยี่ยนเจาเจาโดนมัดมือทั้งสองข้าง และกำลังนอนขดตัวบนตั่งนุ่ม
โชคดีที่ฝีของนางขึ้นไม่หนัก บนใบหน้ามีเพียงตุ่มน้ำใสบวมพองไม่กี่จุด และไม่โดนเกาแตก ดูน่าจะยังรักษาได้…เด็กสาวรักสวยรักงามอย่างเจาเจา หากหน้าตาของนางเสียโฉม หนานิเหอก็ยินดีจะทำลายรูปโฉมของผู้อยู่เื้ัให้สิ้นตามเช่นกัน
เขาเลิกเสื้อบนแขนของนางขึ้นช้าๆ และเห็นตุ่มน้ำพองเป็หย่อมๆ น่ากลัวกว่าตรงใบหน้าของนางมาก แต่โชคดีที่เนื้อผ้าที่นางสวมติดกายนั้นเรียบลื่น ยามนี้ตุ่มจึงไม่แตก
ทว่าหนานิเหอยังเ็ปอยู่ดี เขาโทษตนเองว่าหากเขาไม่ยืนกรานจะทะเลาะกับเยี่ยนเจาเจา เคราะห์ร้ายนี้จะไม่ตกกับนางใช่หรือไม่?
ชั่วพริบตาเดียว หนานิเหอคิดได้หลายอย่าง
ราวกับหลักการยิ่งใหญ่ทั้งหมดก่อนหน้านี้บินหายวับไปไกล
มีเสียงดังขึ้นมาในหัวอย่างเงียบๆ
เขาอยู่ห่างจากนาง แต่คนอื่นกลับโจมตีได้ง่ายขึ้น ถ้าอย่างนั้นเขาเอาตัวออกห่างมันจะมีความหมายอะไร?
อีกนัยหนึ่ง เขาสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เท่ากับว่าองค์หญิงกำลังยอมรับกลายๆ…เขาไม่กล้าคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับความนัยเื้ั แต่รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนคิดก่อนหน้านั้นมันผิดจริงๆ
ยามนี้เขา้าเพียงปกป้องเจาเจาไว้ในอ้อมอกของตนเอง หากใครกล้าแตะเกล็ดย้อนของเขา เขาจะเอาคืนมันอย่างสาสม
แกงโสมต้มเสร็จพอดี หงซิ่วจึงนำเข้ามาส่งให้หนานิเหอป้อนเจาเจาด้วยตนเอง
เขาไม่สนใจสภาพของเจาเจาตอนนี้ เพียงกลัวว่านางพิงเตียงแล้วจะครูดตุ่มพุพองตามตัวจนแตก จึงนั่งลงตรงขอบเตียง ก่อนจะช้อนนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล ใช้ร่างตนประคองนาง และค่อยๆ ป้อนแกงโสมเข้าปากนางทีละนิดๆ
แกงโสมให้พลังงานอย่างรวดเร็วแก่เยี่ยนเจาเจาที่หมดสติไป นางลืมตาด้วยความงงงวยเล็กน้อย เมื่อเห็นหนานิเหอ นางก็คิ้วตาตก ร้องไห้อย่างไม่รู้ตัวคล้ายยังนึกเื่ก่อนหน้าไม่ออก “พี่ชายรอง ข้าเจ็บ...”
หนานิเหอย่อมรู้ว่านางเ็ปแค่ไหน ทรวงอกผ่อนลมหายใจแทบไม่ออก “ข้ารู้ว่าเ้าเจ็บ”
“ท่านรู้หรือ...” ดวงตาเหม่อไร้จุดหมายของเยี่ยนเจาเจาค่อยๆ มีประกาย นางเคลื่อนเข้าหาหนานิเหอโดยไม่รู้ตัว “ท่านรู้ไหม ใจของข้าก็เหมือนไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว”
มองท่าทางเช่นนี้ของนาง ใจของหนานิเหอพลันอ่อนยวบยาบ
เมื่อเห็นนางจะขยับ หนานิเหอก็ใช้แรงแ่เบากดตัวนางลงกับที่ แล้วดุนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “บนร่างเ้ามีตุ่มพอง อย่าขยับเดี๋ยวจะแตกเอา”
เยี่ยนเจาเจายังมึนเบลอเล็กน้อย นางว่าง่ายอยู่สักพัก กระทั่งดื่มแกงโสมที่เหลือจนหมดจึงค่อยได้สติ
“อุ๊ย เ้ามาทำอะไร! ออกไปๆๆ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเ้า”
เยี่ยนเจาเจานึกเื่ที่ทะเลาะใหญ่โตกับหนานิเหอก่อนหน้านี้ออกแล้ว หลังสติกลับเข้าที่เข้าทางถึงพบว่าตนเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของหนานิเหอ มือทั้งสองข้างยังโดนผูกไว้ คิ้วดั่งใบหลิวก็ชี้ตั้งขึ้น อยากจะดิ้นหนีทันที
หนานิเหอมือหนึ่งวางถ้วยชาลงด้านข้าง อีกมือกดเยี่ยนเจาเจาไว้ในอ้อมแขน พร่ำรำพันไม่หยุด “ข้าผิดเอง ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรโกรธเ้า”
ก่อนหน้านี้เขาหัวแข็งมากแค่ไหน ตอนนี้เขาก็นอบน้อมมากเท่านั้น
เยี่ยนเจาเจาคาดไม่ถึงว่าตนจะแพ้ความอ่อนโยนตามใจนี้จนอัดอั้นพูดอะไรไม่ออกสักคำ
“...ก่อนหน้านี้ยังพูดไม่ได้ ตอนนี้พูดคล่องกว่าใครเลย...”
แต่นางจำวาจาร้ายกาจที่ตนป่าวประกาศไว้ได้ นางบอกว่าหากพูดกับเขาอีกสักคำ ตนยอมเป็สุนัข…ตอนนี้นางไม่กลายเป็สุนัขไปแล้วหรอกหรือ?
หนานิเหอรู้จักเยี่ยนเจาเจายิ่งกว่าตัวนางเอง แม้ว่ายามนี้นางป่วยจึงไม่ตั้งป้อมมากเท่าปกติ แต่อารมณ์ต่างๆ ก็แทบเขียนหราบนใบหน้า
“ข้าเป็สุนัขเอง เจาเจาคือเจาเจา ข้าคือสุนัข”
หนานิเหอเข้าใจแล้วก็กล่าวออกมาคล่องปาก…แม่นางน้อยย่อมหวงหน้าตา ส่วนศักดิ์ศรีของเขาไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
หากผู้เฒ่าคนนั้นมาได้ยินคำนี้เข้า เกรงว่าคงอ้าปากจนคางร่วงติดพื้นกระมัง…คนที่ขนาดยิ้มยังยากเย็น วันนี้กลับยอมรับว่าตนเป็สุนัข?
แต่ที่นี่ไม่มีใครอื่น หนานิเหอจึงไม่สนใจ หากสามารถปลอบเยี่ยนเจาเจาให้ใจเย็นลงได้ เขาก็ยินดีทำทุกอย่าง
สีหน้าของเยี่ยนเจาเจาแข็งทื่อ นางไม่เคยเห็นหนานิเหอเป็เช่นนี้มาก่อน วันนี้จึงรู้สึกว่าหนานิเหอมีบางอย่างแตกต่างออกไป
“อุ๊ย ข้ากล้าที่ไหนกัน”
เยี่ยนเจาเจาเม้มริมฝีปากเอ่ยกระท่อนกระแท่นได้เพียงประโยคเดียว ก่อนจะจำต้องยอมรับว่าคำพูดของหนานิเหอช่วยนางมากจริงๆ การทะเลาะกันก่อนหน้าเลือนหายไปราวกับเมฆหมอกสลายตัว
“เกิดอะไรขึ้นกับข้า? แล้วเสี่ยวชุ่ยไปไหนหรือ? ”
ฤทธิ์ของน้ำแกงโสมหมดไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยนเจาเจารู้สึกสะลึมสะลือง่วงนอนขึ้นมาอีกครั้ง มิหนำซ้ำนางยังรู้สึกคันคะเยอไปทั้งตัว ในหัวก็วิงเวียนราวกับมีกระแสน้ำซัดรุนแรง...นางแค่ตากฝนนิดหน่อยไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงป่วยขนาดนี้?
เยี่ยนเจาเจานึกถึงมือสองข้างของตนที่โดนมัดขึ้นมาอีก ด้วยนิสัยของหนานิเหอไม่มีทางทำเื่แบบนี้แน่ ถ้าเช่นนั้นนางเป็อะไรกัน?
“เจาเจาไม่เป็ไร”
ความคลุมเครือในสายตาหนานิเหอปรากฏขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะมืดครึ้มลง ทว่าเยี่ยนเจาเจาเงยหน้าขึ้นมาพอดี จึงพบกับแววตามืดมนของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
ความมืดมิดเยียบเย็นภายในดวงตาหนานิเหอเป็เพียงเศษเสี้ยวของูเาน้ำแข็งในใจเขา แต่มากพอจะกลืนกินไปทั่วหัวระแหง หนานิเหอในความทรงจำของเยี่ยนเจาเจานั้นอบอุ่นอ่อนโยนมาตลอด ไฉนจะเคยเห็นเขาแข็งกร้าวขนาดนี้
โชคดีที่เขาปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวหนานิเหอก็ดูเหมือนปกติ เยี่ยนเจาเจาเลยคิดว่าตนเกิดภาพหลอนไปเอง
นางรู้สึกเ็ปตามร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนทั่วร่างทำให้นางหน้ามืดวูบ กระทั่งใบหน้าหนานิเหอยังมองไม่ชัด นางจึงจำต้องกัดปลายลิ้นตนเองอย่างแรงจนกลิ่นสนิมคลุ้งปากถึงตื่นตัว
และด้วยเหตุนี้ เยี่ยนเจาเจาจึงััได้ว่ามีตุ่มน้ำจำนวนมากขึ้นในโพรงปากของตน และอาการคันก็แทรกซึมจากผิวของนางไปตามอวัยวะภายในทีละระดับ
นางรู้สึกตัวแล้วว่าร่างกายตนเองผิดแปลกไป ในใจเกิดการคาดเดาที่นางไม่อยากจะเชื่อขึ้นมารางๆ
“พี่ชายรอง ข้าเป็อะไร บอกข้ามาตามตรง”
ความผ่อนคลายในดวงตาเยี่ยนเจาเจาเมื่อสักครู่จมหายไปจนสิ้น และค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็คมปลาบแทน แม้ใบหน้าซีดเซียวแต่ดวงตากลับไม่อ่อนแอปวกเปียกเลยสักนิด
หนานิเหอนิ่งมองเยี่ยนเจาเจา นางเองก็มองตอบอย่างแน่วแน่มั่นคง
สุดท้ายหนานิเหอก็เป็ฝ่ายยอมแพ้ “ฝีขึ้นร่างเ้าแล้ว”
ฝี...ฝีขึ้น?
เยี่ยนเจาเจาแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง ทว่าผลลัพธ์มันตรงตามที่นางคาดเดาทุกอย่าง…หากไม่ใช่ไข้ทรพิษ ต่อให้เป็หวัดหนักเพียงใดก็ไม่ถึงกับทำให้นางเกิดตุ่มน้ำพองทั้งตัวหรอก และถ้ามือไม่โดนมัดไว้เช่นนี้นางก็คงเกาไปทั่วแล้ว
ปฏิกิริยาแรกของนางกลับไม่ถามว่าจู่ๆ ตนติดเชื้อฝีดาษได้อย่างไร แต่เป็กลิ้งออกจากอ้อมแขนของหนานิเหอไปขดตัวอยู่ตรงมุมผนังไกลๆ พลางใช้ผ้าห่มห่อตนเอง “ท่านมาหาข้าทำไม ไม่รักชีวิตตัวเองหรือ รีบไปสิ!”
หนานิเหอยังคงตกตะลึงอยู่ แม้เขาจะคำนวณมาหลายร้อยพันสถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้คาดว่าเยี่ยนเจาเจาจะห่วงเขาก่อนห่วงตัวเอง
เจาเจาที่เป็เช่นนี้...
“ท่านมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบออกไปเร็ว”
เยี่ยนเจาเจารู้สึกว่าศีรษะของตนมึนงงขึ้นเรื่อยๆ เลยพยายามขดตัวให้กลม แล้วซุกตรงผนังไม่มองหนานิเหออีก
ก่อนที่สติของนางจะกลับมายังมีน้ำตาคลอเล็กน้อย แต่ยามนี้กลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น
หากนางจำไม่ผิด ชาติก่อนนางก็เคยช่วยเหลียงอินจัดการไข้ทรพิษครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ เ้าสิ่งนี้ไม่มีทางแพร่กระจายอย่างไร้สาเหตุ น่าจะมีคนลงมือลับหลังนาง
จะตายไหม?
เยี่ยนเจาเจาไม่ใส่ใจ
อาจใช่ และอาจไม่ แต่นางจะดึงหนานิเหอมาเดือดร้อนด้วยไม่ได้
หนานิเหอถอนหายใจ
เขายื่นมือออกไปโอบเยี่ยนเจาเจาพร้อมผ้าห่มไหมทั้งผืนเข้ามาในอ้อมแขน ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดหลังคอของนางช้าๆ จนเยี่ยนเจาเจาเผลอขดตัว “เจาเจาเอ๋ย ข้าเคยฝีขึ้นมาก่อน ไม่เป็อีกครั้งหรอก”
หนานิเหอมีพฤติกรรมรุกล้ำเช่นนี้น้อยครั้ง จนเยี่ยนเจาเจารู้สึกราวกับว่าตนเองไม่ระวังเปิดม่านมุมหนึ่งจนเห็นสัตว์ร้ายแยกเขี้ยววับแวมในนั้นเข้าแล้ว
เขาเพียงกอดเบาๆ แล้วปล่อยนาง ก่อนหันหลังกลับไป
เยี่ยนเจาเจาได้ยินเพียงเสียงคมมีดถูกชักออกจากฝัก ตามด้วยกลิ่นคาวเืเจือจางลอยอบอวลในอากาศ
“ท่านทำอะไร!”
ทว่าหนานิเหอไม่ตอบ
บนเอวเขาผูกเชือกรัดสีฟ้าทะเลสาบ เวลานี้มันถูกปลดออกมาบังดวงตาของเยี่ยนเจาเจาอย่างแ่เบา
เบื้องหน้าเยี่ยนเจาเจามืดมิดลงชั่วขณะ จากนั้นิัอุ่นๆ ก็ปิดปากนาง แล้วของเหลวร้อนรสหวานปะแล่มก็ไหลเข้าปากนางอย่างต่อเนื่อง
เยี่ยนเจาเจาไม่ใช่คนโง่ ไฉนจะไม่รู้ว่ามันคือเื นางจึงต่อต้านขึ้นมา
“เป็ยา”
“ไม่ใช่ยา คือเืของท่าน ท่านบ้าไปแล้วหรือ!”
เยี่ยนเจาเจารู้สึกตระหนกจริงๆ สายตาเยียบเย็นมืดมนของหนานิเหอก่อนหน้านี้แวบผ่านตานาง ผสมผสานกับกลิ่นอายคุกคามเหมือนดาบหลุดจากฝักเมื่อครู่ของเขา ทำเอาใจนางเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
“เ้าเชื่อใจข้า”
ยิ่งหนานิเหอพูดจารวบรัดเท่าไหร่ เจาเจาก็ยิ่งรู้สึกหวาดผวา นางส่ายหัวคัดค้านไม่หยุด จนหนานิเหอไม่กล้าปล่อยให้นางดิ้นรนเพราะกลัวตุ่มน้ำพองบนใบหน้าและตามตัวจะแตก
เมื่อิัส่วนที่มีเืไหลผละออกไปกะทันหัน เยี่ยนเจาเจาจึงรีบลุกขึ้นเดินโซเซไปด้านข้าง นางตั้งใจจะหยิบผ้าพันแผลบนโต๊ะ แต่ขากลับอ่อนยวบจนใกล้ล้มลง
ลำแขนยาวของหนานิเหอโอบเยี่ยนเจาเจาไว้ในอ้อมอก ั์ตาสองข้างแผ่อารมณ์ยากจะตั้งรับ จากนั้นเขาก็แนบแผลที่โดนบาดเหนือริมฝีปากของตน และเม้มเข้าปากไป
ริมฝีปากซีดขาวของเขาย้อมสีแดงด้วยเืสดดูสวยงามตราตรึง พาให้ใบหน้าเรียบนิ่งของเขาสดใสขึ้นมา
เยี่ยนเจาเจามองค้าง คาดไม่ถึงว่าหนานิเหอจะััตัวนางเพื่อสกัดจุดบนร่างให้นางขยับไม่ได้…ต่อมาใบหน้างดงามเฉิดฉายเปื้อนเืก็ขยายใหญ่ขึ้น แล้วริมฝีปากของเยี่ยนเจาเจาก็พลันอุ่นวาบ