ยามพระอาทิตย์ตกดินวันนั้น มู่หรงฉือตื่นขึ้นมาก็ได้รับจดหมายสั้นๆ ที่มู่หรงอวี้ให้คนเอามาส่งแล้วก็รีบเดินทางออกจากตำหนักทันที รถม้ามาจอดที่จวนอวี้หวาง นางให้ฉินรั่วเข้าไปรายงาน
ไม่นานมู่หรงอวี้ก็ออกมา ก่อนจะขึ้นมาบนรถม้าของนาง ก่อนจะถามขึ้นตรงๆ “เตี้ยนเซี่ยจะไปด้วยกันจริงๆ หรือ?”
นางตอบอย่างแน่วน่ “เปิ่นกงจะพลาดฉากสนุกๆ นี้ไปได้อย่างไร? จะไปกันเมื่อไหร่หรือ?”
“รออีกสักครึ่งชั่วยาม เตี้ยนเซี่ยจะเข้าไปพักผ่อนในจวนสักหน่อยหรือไม่?”
“ไม่จำเป็ เปิ่นกงรออยู่บนรถสักครู่ก็ได้” นางไม่อยากจะเข้าไปให้มู่หรงสือตอแยอีก
“ความจริงแล้วเตี้ยนเซี่ยสามารถปีนหน้าต่างอีกครั้งได้...” เขาเลิกคิ้วอย่างเย้าแหย่
มู่หรงฉือถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เชิญท่านอ๋องตามสบายเถิด”
มู่หรงอวี้ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยรอสักครู่”
นางมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเขาสั่งการกับคนชุดดำสองสามคำ ก่อนจะขึ้นรถมาอีกครั้ง แล้วบอกคนขับรถม้าว่าจะไปที่ไหน
นางลอบคาดเดา คนชุดดำผู้นั้นนางไม่เคยเจอมาก่อน คงจะเป็องครักษ์เงาของเขา
รถม้าออกเดินทาง นางถามมู่หรงอวี้ที่เพิ่งจะเข้ามาว่า “จะไปที่ใดหรือ?”
“เปิ่นหวางจะกล้าให้เตี้ยนเซี่ยรออยู่หน้าประตูครึ่งชั่วยามได้อย่างไร? เตี้ยนเซี่ยยังไม่ได้ทานอาหารใช่หรือไม่ มิสู้ไปทานอาหารกันก่อนเถิด” มู่หรงอวี้พูดเสียงเรียบ
“ก็ดี”
พอได้รับจดหมายของเขา มู่หรงฉือก็ไม่สนใจจะทานอาหารแล้วออกจากตำหนักมาทันที ในระหว่างที่รีบร้อนออกมานั้นหรูอี้ได้ห่อขนมแล้วยัดให้ฉินรั่วพกมาด้วยหลายชิ้น
นางทานขนมไปหลายชิ้นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึหิวอยู่บ้างจริงๆ
ไม่นานรถม้าก็หยุดลงหน้าร้านอาหารที่ไม่ค่อยจะสะดุดตานัก นางคิดว่าเขาคงไม่อยากทำตัวเป็จุดสนใจถึงได้เลือกร้านที่ธรรมดาเช่นนี้
คิดไม่ถึงว่าห้องอาหารชั้นสองกลับหรูหราเป็พิเศษ อาหารหลายจานของร้านมีรสชาติเป็เอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้คนอยากกินไม่หยุด
มู่หรงฉือดื่มชาแก้เลี่ยนไปครึ่งจอก เรอออกมาแล้วก็รู้สึกขัดเขินอยู่เล็กน้อย ครั้นเดินมาถึงหน้าต่างก็เห็นบรรดาชาวบ้านที่ใช้ชีวิตกันตามท้องถนน
มู่หรงอวี้ยกจอกชาขึ้นแล้วมายืนข้างนาง มองออกไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่
กลิ่นน้ำหอมที่เหมือนจะมีแต่ไม่มีอันคุ้นเคย นางหันไปมองเขา แววตาของเขาทอดมองไปไกล ราวกับจะมองข้ามเมืองหลวงแห่งนี้ไป แล้วมองไปทั่วทั้งแคว้นเยี่ยน
ท้องฟ้าสีดำกว้างใหญ่ แสงจันทร์สาดส่องลงมาบางๆ ดวงดาวพร่างพราว ราวกับว่ามีคนซุกซนเอาเพชรมาโปรยทิ้งไว้ ม่านราตรีราวกับผ้าถักทอพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“หวังว่าคืนนี้จะราบรื่น”
นางรู้สึกว่ามันเงียบแปลกๆ จึงพูดออกมาหนึ่งประโยค
มู่หรงอวี้พูดเสียงหนักแน่น “เปิ่นหวางกลับอยากตัดสินแพ้ชนะกับคุณชายชุดทองที่แสนลึกลับคนนั้น น่าเสียดายที่เมื่อคืนไม่มีโอกาส”
“บางทีคืนนี้อาจจะมีโอกาส”
มู่หรงฉือเห็นว่าสีเขียวคล้ำบนใบหน้าของเขาลดน้อยลงแล้ว เพียงแต่ใบหน้ายังขาวซีดกว่าปกติ ชุดสีดำไร้ลวดลายก็ยิ่งทำให้เขาซีดเซียวมากขึ้น
นางถามเสียงหนักแน่น “ครั้งนี้เตรียมตัวเอาไว้พร้อมแล้วหรือไม่?”
เขาหัวเราะ “อย่างมากเปิ่นหวางก็แค่าเ็อีกรอบ เตี้ยนเซี่ยก็หนีตายไปพร้อมกับเปิ่นหวางอีกครั้ง...”
นางอดที่จะถลึงตาใส่เขาไม่ได้ “นี่ก็มืดมากแล้ว ไปกันเถิด”
เขาวางจอกชาลงแล้วเดินตามนางไป
คืนนี้ เขาจะล้อมจับหลิงหลงเซวียนให้จบในคราวเดียว!
หน้าประตูร้านหลิงหลงเซวียนมีคนจับตาอยู่ บ้านรอบๆ ก็จัดทหารฝีมือเยี่ยมมาล้อมไว้ มู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือพาคนบุกเข้าไปในบ้านหลังนั้น ไม่เห็นคนรับใช้ชุดเขียว ในห้องมืดสนิทไร้แสงไฟ นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เป็อย่างที่คิด พวกเขาเข้ามาใต้ดินได้อย่างราบรื่น แต่กลับไม่มีใครอยู่ ไม่มีกระทั่งเงาของใครสักคน
สองห้องที่ก่อนหน้านี้ยังครึกครื้น มีโต๊ะพนัน ฉากบังลม บัดนี้กลับว่างเปล่าเหมือนสุสานอันรกร้างไร้ผู้คน
เขาสั่งให้ทหารไปค้นหาจนทั่ว จู่ๆ ก็ถามนางขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ยยังจำห้องหินที่คุณชายชุดทองอยู่ได้หรือไม่?”
มู่หรงฉือส่ายหน้า “ตอนที่คนรับใช้ชุดเขียวพาเปิ่นกงไป เขาปิดตาเปิ่นกงเอาไว้ เปิ่นกงทำได้แค่เดาจากทิศทาง”
ั์ตาดำของมู่หรงอวี้หรี่ลงเล็กน้อย “ลองไปหาดู”
นางพยายามขุดคุ้ยความทรงจำ นึกย้อนกลับไปครั้งแรกที่คนรับใช้พานางไปที่กำแพงหินเพื่อไปพบคุณชายชุดทอง
ดวงตากวาดมองหาห้องหินขนาดใหญ่ กำแพงหินที่พาเข้าไปยังเส้นทางนั้นเล่า?
ชั้นวางของโบราณ!
นางสาวเท้าไวๆ เข้าไป มีของมีค่ามากมายหลายชิ้นวางอยู่บนชั้น เห็นได้ชัดว่ามีกลไกบางอย่างอยู่
หมุนนั้นหมุนนี่ไปเรื่อยๆ หากขยับครบทุกชิ้นจะต้องขยับไปเจอกับกลไกจริงๆ เข้าสักอัน
มู่หรงอวี้เองก็ช่วยหากลไกด้วย ห้องลับสำหรับเก็บฝิ่นที่เคยไปตอนนั้นถูกเปิดออกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้บนโต๊ะกลับว่างเปล่า ไม่เห็นกล่องฝิ่นแม้แต่กล่องเดียว
การเคลื่อนไหวของคุณชายชุดทองช่างรวดเร็วว่องไวยิ่งนัก!
สุดท้าย กำแพงอีกด้านก็เปิดออก มู่หรงฉือพูดด้วยความดีใจ “คงจะเป็ทางนี้”
ทั้งสองก้าวเข้าไปในเส้นทางนั้นด้วยกัน นางนึกย้อนไปในความทรงจำ เลี้ยวซ้ายแล้วก็เลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวซ้ายก่อนจะเลี้ยวซ้ายอีกที เป็อย่างที่คิด ห้องหินในความทรงจำอยู่ตรงหน้านี้เอง
ห้องหินยังเป็เช่นเดิม ของมีค่ายังคงอยู่ แต่ตัวคนไม่อยู่แล้ว
พวกเขาตรวจสอบในห้องอย่างละเอียด หวังว่าจะหาของที่ชี้เบาะแสได้
ทว่าคุณชายชุดทองไม่ได้ทิ้งเบาะแสใดๆ เอาไว้ พวกเขาไม่ได้อะไรมาเลย
“รูปสลักหยกนี่ดูสมจริงยิ่งนัก แต่กลับมองไม่ออกว่าเป็ตัวอะไร ดูแล้วเหมือนเสือแต่ก็เหมือนกับเสือดาวเช่นกัน” มู่หรงฉือเล่นหยกสลักสีเขียว
“ปี่เซี๊ยะสีแดงทองไม่ใช่ปี่เซี๊ยะของจริง เหมือนเพียงแค่ด้านนอก” มู่หรงอวี้ขมวดคิ้ว “ของแกะสลักมีค่าหลายชิ้นฝีมือไม่ธรรมดา คงจะเป็งานฝีมือจากในวัง หรืออาจจะเป็ของมีค่าที่สืบทอดมานานหลายร้อยปี แต่กลับไม่ใช่รูปแบบของเป่ยเยี่ยน”
“ไม่เหมือนกับของมีค่าในเป่ยเยี่ยนจริงๆ หากมาจากแคว้นอื่น เช่นนั้นคุณชายชุดทองเป็คนจากแคว้นตงฉู่ แคว้นหนานเยว่ หรือแคว้นซีฉินกันแน่?”
“ที่มั่นใจได้ก็คือคุณชายชุดทองไม่ใช่คนเป่ยเยี่ยน เขาใช้ฝิ่นมามอมเมาขุนนางในราชสำนักเป่ยเยี่ยน นี่ก็คือหลักฐานชัดเจน”
ดวงตาของเขาย้อมไปด้วยสีแดงของแสงไฟราวกับลูกเพลิงอันร้อนแรง
ทั้งสองกลับมาที่สองห้องนั้นอีกครั้ง ลูกน้องก็เข้ามารายงานว่าไม่พบคนหรือสิ่งของต้องสงสัย
มู่หรงฉือพลันฉุกคิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้ “หาเบาะแสที่นี่ไม่ได้แล้ว เช่นนั้นลองไปที่ร้านหลิงหลงเซวียนตรงริมถนนดูสักหน่อย”
พวกเขารีบรุดไปยังร้านนั้นซึ่งมีทหารฝีมือดีคอยคุ้มกันเอาไว้ ด้านในก็มืดสนิทเช่นกัน
ไฟที่ส่องเข้าไปราวกับแสงยามพระอาทิตย์ขึ้น ทุกซอกทุกมุมถูกเปิดเผยออกมาแต่กลับไม่มีจุดใดน่าสงสัย
นางตรวจสอบในห้องอย่างละเอียด ไม่เว้นแม้แต่ที่เดียว
มู่หรงอวี้ถาม “พบอะไรบ้างหรือไม่?”
“อย่าเสียงดัง” นางพูดอย่างหงุดหงิด
“เ้ากำลังหาอะไร?”
“ก็บอกว่าอย่าวุ่นวาย”
เขาจึงนั่งรอนิ่งๆ ทันใดนั้นเขาพลันเหลือบเห็นสีแดงจากมุมหนึ่งในห้องฝั่งตรงข้าม จึงเดินไปหยิบขึ้นมาจากพื้น
เขาหยิบบางอย่างที่เหมือนกับดอกไม้ทั้งยังเหมือนกับดอกไม้สีแดงเข้ม “เ้าว่านี่คือสิ่งใด?”
มู่หรงฉือรับดอกไม้มา พูดอย่างครุ่นคิด “เปิ่นกงเคยเห็นในตำราแพทย์เล่มหนึ่ง... ขอเปิ่นกงคิดสักหน่อย...”
“ค่อยๆ คิด”
“เหมือนจะเป็ดอกลั่วเสิน[1]...ใช่แล้ว เป็ดอกลั่วเสิน!” นางพูดพลางยิ้มอย่างดีใจ “สือเหยียนเคยพูดว่า ดอกลั่วเสินจะเติบโตออกดอกออกผลได้แค่ในเขตร้อนชื้นทางใต้”
“แคว้นตงฉู่กับแคว้นหนานเยว่ก็มีทั้งหมดหรือ?” สายตาของมู่หรงอวี้เปล่งประกายน่ากลัว ดูเหมือนว่าคุณชายชุดทองหากไม่ใช่คนของแคว้นตงฉู่ก็เป็คนของแคว้นหนานเยว่
“ทางตอนใต้ของแคว้นตงฉู่กับแคว้นหนานเยว่เป็เขตร้อนชื้นที่ล้วนมีดอกลั่วเสินขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่เมืองหลวงของเราเองก็มี จือเหยียนเคยพูดกับเปิ่นกงมาก่อน เป็ที่ใดกันนะ?”
มู่หรงฉือนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความยินดี “เปิ่นกงคิดออกแล้ว ที่เมืองหลวงของเรามีอยู่แค่ไม่กี่ดอก แล้วก็มีเพียงแค่ที่เดียวเท่านั้น”
เขาตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย “ที่ใดหรือ?”
หากดอกลั่วเสินไม่ได้นำมาจากแคว้นตงฉู่หรือแคว้นหนานเยว่ แต่เป็จากที่เดียวในแคว้นเยี่ยนที่ปลูกดอกลั่วเสินได้ เช่นนั้นที่ซ่อนตัวของหลิงหลงเซวียนกับพวกคุณชายชุดทองก็มีความเป็ไปได้ว่าจะเป็ที่นั่น
นางพูดด้วยความตื่นเต้น “บึงเสวียนเยว่”
มู่หรงอวี้จับข้อมือของนางแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว “ไปบึงเสวียนเยว่”
คนด้านนอกพากันมองมา มู่หรงฉือรู้ตัวก็รีบสลัดมือออก พวกแก้มเห่อร้อนเล็กน้อย
จากตรงนี้ไปยังบึงเสวียนเยว่นั่งรถม้าไปใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม พวกเขาพาคนสองร้อยคนออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็ว เสียงม้าห้อตะบึงวิ่งไปเกิดเป็เสียงอึกทึกครึกโครมปลุกให้ชาวบ้านที่นอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา
บึงเสวียนเยว่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ห่างจากเมืองประมาณสามสิบลี้ เพราะว่ารูปร่างของบึงมีลักษณะเหมือนจันทร์ครึ่งซีก จึงได้ชื่อว่าเสวียนเยว่
ม้าห้อตะบึงไปตามเส้นทางอันมืดมิด ทำเอานกแตกตื่นใบินขึ้นหนีไปจำนวนมาก
แสงดาวระยิบระยับ ม่านราตรีคลี่ตัวต่ำลงมา ราวกับจะเอื้อมมือขึ้นไปคว้าดวงดาวลงมาได้
ความมืดในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด มีเสียงของสัตว์ป่าร้องดังมาเป็ครั้งคราว
เพราะว่าใต้บึงมีบ่อน้ำร้อน ไม่ว่าจะเป็ตอนกลางวันหรือว่ากลางคืน บึงเสวียนเยว่ก็จะมีไอน้ำลอยอยู่ตลอด ละอองน้ำเป็ดั่งทะเลเมฆ บึงเสวียนเยว่เป็ดั่งบึงในโลกของเทพเซียนที่ลึกลับเป็พิเศษ ทางด้านตะวันออกของบึงมีกอดอกไม้ลั่วเสินสะท้อนเงาของสีแดงเข้มในม่านควัน ช่างเป็ภาพที่งดงามยิ่งนัก
ในตอนที่พวกมู่หรงอวี้มาถึง พวกเขาลงจากม้าด้านนอกห่างจากบึงสองลี้ ก่อนจะพากันเดินเข้าใกล้เป้าหมายอย่างแ่เบา ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจก็ไม่ปาน
มู่หรงฉือมองไปทางบึงที่มีไอร้อนแผ่ออกมาก็รู้สึกแปลกๆ ทันที
“เป็อะไรไปหรือ?” เขาหันมามองนาง
“เปิ่นกงรู้สึกว่ามีที่ใดแปลกๆ แต่ว่า...” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านไม่คิดว่ามันราบรื่นเกินไปหรือ?”
“มันราบรื่นมากเกินไปจริงๆ” เขาเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
ในตอนที่ยังยืนยันตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ คุณชายชุดทองอาศัยโอกาสนี้ทิ้งกิจการที่ทำมาหลายปีอย่างหลิงหลงเซวียนกับห้องใต้ดิน รักษาป้องกันตัวเองสุดความสามารถ เห็นได้ว่าเป็คนที่ความคิดละเอียดรอบคอบ มีการวางแผนมาอย่างดี ในเมื่อเขาสั่งให้ทุกคนกระจายตัวออกไปแล้ว จะทิ้งดอกลั่วเสินซึ่งเป็เบาะแสที่ชัดเจนขนาดนี้ให้พวกเขาตามหาเจอได้อย่างไร?
ดวงตาของนางปกคลุมไปด้วยม่านหมอก “บึงเสวียนเยว่ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัว ที่นี่คงจะไม่ใช่ที่ซ่อนตัวของคุณชายชุดทอง”
ดวงตาของมู่หรงอวี้ฉายแววเย็นเยียบ “พวกเราถูกหลอกแล้ว”
มู่หรงฉือพูดอย่างชิงชัง “เป็เปิ่นกงที่เลิ่นเล่อเอง”
เขาเดินไปทางบึงเสวียนเยว่ ไอร้อนของบ่อน้ำร้อนล่องลอยอยู่เป็ม่านหมอก เขาเดินผ่านหมอกสีขาว นางจึงเดินตามไป “หาอะไรอยู่หรือ?”
“เตี้ยนเซี่ย ที่นี่เงียบสงบ มีบ่อน้ำร้อน ทั้งยังเป็่เวลาดีๆ พวกเรามาอาบน้ำร้อนด้วยกันดีหรือไม่?” จู่ๆ เขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “จะมาเสียเที่ยวก็คงจะไม่ดี”
“สมองของท่านอ๋องพังไปแล้วหรือ หรือไม่ให้เปิ่นกงบอกให้หมอหลวงมารักษาท่าน?” นางถลึงตาใส่เขา ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
มู่หรงอวี้มองไปยังบึงเสวียนเยว่ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเสียอกเสียดาย
กลับมาถึงในเมือง มู่หรงฉือกำลังคิดจะกลับตำหนักกลับเห็นเขาเดินมาเหมือนมีเื่จะพูดด้วย
“ยังมีอีกเบาะแสหนึ่งที่สามารถค้นหาได้ เตี้ยนเซี่ยอยากจะไปดูหรือไม่” เขาโยนเหยื่อล่อออกไป รอให้ปลาตัวใหญ่มาติดเบ็ดเท่านั้น
“เบาะแสอะไรหรือ?” เพิ่งจะพูดจบนางก็เข้าใจขึ้นมาทันที จริงสิ ยังมีเบาะแสที่สำคัญมากอยู่อีกอย่างหนึ่งนี่!
เชิงอรรถ
[1] ลั่วเสิน หรือ กระเจี๊ยบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้