ตอนนี้หนิงเซียงและเหล่าเทพธิดาเทียนเซียงหลินมาถึงยอดเขาเทียนเซียงผ่านทางค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติแล้ว
พวกนางมองเงาร่างชุดขาวที่หล่อเหลานั้นด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะหนิงเซียง ดวงตาคู่งามกะพริบถี่ไม่หยุด หากบอกว่าเย่เฟิงชิงที่หนึ่งในด่านแรก นางก็คิดว่าเย่เฟิงดวงดี เช่นนั้นด่านที่สองบันไดเทียนเซียง เย่เฟิงชิงที่หนึ่งอีกครั้ง ซ้ำยังทำลายสถิติในรอบ 500 ปี นี่พิสูจน์แล้วว่าพร์และศักยภาพของเย่เฟิงแข็งแกร่งมากเพียงใด
เมื่อหนิงเซียงฉุกคิดถึงท่าทีดูถูกเย่เฟิงก่อนหน้านี้ นางก็อดรู้สึกละอายใจตัวเองไม่ได้ อีกอย่างหนิงเซียงให้ความสำคัญและสนใจซวนหยวนจวิ้นมาตลอด แต่บัดนี้เขายังดิ้นรนอยู่ที่บันได 2,000 ขั้น เมื่อเทียบกับเย่เฟิงแล้ว ซวนหยวนจวิ้นเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
เย่เฟิงไม่สนใจสายตาของคนเหล่านี้ แต่เขามองไปยังหนิงเซียงและเหล่าผู้าุโระดับสูงของเทียนเซียงหลิน จู่ ๆ เขารับรู้ถึงกลิ่นอายพิเศษที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะควรพึงมีแผ่ออกมาจากร่างอีกฝ่าย ก่อนจะรู้ตัวตนของอีกฝ่ายในทันที
แต่เย่เฟิงกลับไม่เอ่ยอะไรออกไป เขารู้ว่าพูดอะไรกับอีกฝ่ายไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ หากยังไม่ผ่านด่านสุดท้าย เช่นนั้นปัญหาก็แก้ไขไม่ได้ เขามีเพียงสำแดงศักยภาพครึ่งหนึ่งของตนเพื่อทำให้ตนเองบุกด่านด้วยคะแนนที่ดี จึงจะได้รับความสนใจจากคนเหล่านี้ ถึงเวลานั้นเขาอาจหารือกับอีกฝ่ายอย่างเสมอภาคได้
สายลมพัดพากลิ่นหอมโชยมา เมื่อเย่เฟิงหันไปมองก็เห็นเงาร่างงดงามของหลันเซียงปรากฏตัวในสายตาของเขา ดวงตาสีฟ้าคู่งามนั้นยังทอประกายแสงจ้า ดูแล้วช่างสวยงามยิ่งนัก
“ยินดีกับเ้าด้วยเย่เฟิง ทำลายสถิติในประวัติศาสตร์เทียนเซียงหลิน” หลันเซียงกล่าวเช่นนั้น พร้อมจับแขนเย่เฟิง
“ทำลายสถิติงั้นหรือ?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ทำตากะพริบปริบ ๆ ก่อนหน้านี้เขาสนใจแค่ขึ้นบันได จึงไม่รู้ว่าการขึ้นบันไดของตนได้ทำลายสถิติในประวัติศาสตร์ของบันไดเทียนเซียง
“ใช่ ผู้ทำสถิติการขึ้นบันไดเทียนเซียงที่ดีที่สุดคืออัจฉริยะจากราชวงศ์แห่งจักรวรรดิจิ่วโยวเมื่อ 500 ปี ซึ่งเขาใช้เวลาสามชั่วยามก็ขึ้นสู่้าสุดของบันไดได้สำเร็จ สถิตินี้อยู่มานาน 500 ปีแล้ว แต่บัดนี้เ้ากลับทำลายสถิตินั้นไปเสียแล้ว”
หลันเซียงกล่าวพลางพยักหน้าพร้อมมองเย่เฟิงด้วยสายตาเคารพนับถือ แม้นางรู้ว่าเย่เฟิงเก่งกาจ แต่กลับไม่คิดว่าจะเก่งมากถึงเพียงนี้ กระทั่งเรียกได้ว่าสัตว์ประหลาด
“เป็เช่นนี้นี่เอง” เย่เฟิงกล่าวเสียงเบาโดยไม่สนใจอะไร จากนั้นเอ่ยถามหลันเซียงว่า “หลันเซียง ด่านสุดท้ายสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงเป็อย่างไร? จะแนะนำข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลันเซียงได้ยินเช่นนั้นก็ระบายยิ้ม “ได้แน่นอน”
“สิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงก็คือค่ายกลเทียนเซียงที่ประกอบด้วยศิษย์มากฝีมือที่เทียนเซียงหลินเลือก ค่ายกลเทียนเซียงเป็การรวมตัวของศิษย์ทั้ง 13 คน เมื่อหลอมรวมกันก็จะสำแดงพลังต่อสู้ที่ทรงพลานุภาพ ทำให้ทุกคนเชื่อมโยงและคอยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ค่ายกลนี้มีทั้งรับและรุก ถือเป็ค่ายกลต่อสู้ที่หาได้ยาก อัจฉริยะหลายคนที่เคยบุกด่านล้วนล้มเหลวในด่านสุดท้ายนี้ ในนั้นล้วนมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด เห็นชัดว่าค่ายกลเทียนเซียงทรงพลานุภาพมากเพียงใด เพราะงั้นเ้าต้องระวังตัวด้วย”
หลันเซียงกล่าวกับเย่เฟิงด้วยความเป็กังวล ในฐานะศิษย์เทียนเซียงหลิน หลันเซียงย่อมรู้ถึงความร้ายกาจของสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียง
หากบอกว่าสองด่านแรกเป็การทดสอบศักยภาพและความสามารถ รวมถึงความรู้ที่มีต่อพลังฟ้าดิน เช่นนั้นด่านสุดท้ายนี้ก็เป็การทดสอบพลังต่อสู้ ซึ่งมีเพียงเอาชนะสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงจึงจะผ่านด่านไปได้
แต่ด่านสุดท้ายนี้ถือว่ายากมาก อัจฉริยะหลาย ๆ คนยังล้มเหลวกับด่านนี้ หากเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 อยากจะผ่านด่านที่สามนี้ก็คงจะยาก ดังนั้นหลันเซียงจึงเป็ห่วง และไม่รู้ว่าเย่เฟิงจะสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือไม่
เมื่อเทียนเซียงเห็นเย่เฟิงกับหลันเซียงพูดคุยอย่างสนิทสนมก็ประหลาดใจเล็กน้อย
หนึ่งวันต่อมา เย่เฟิงไม่คบค้าสมาคมกับศิษย์เทียนเซียงหลินคนอื่น เขาไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มบำเพ็ญตบะ ส่วนหลันเซียงอยู่ข้างกายไม่ห่างหาย นี่ทำให้เทียนเซียงหลินคนอื่น ๆ เริ่มคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างหลันเซียงกับเย่เฟิง
จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงตรงของวันที่สอง ซวนหยวนจวิ้นจึงขึ้นมาถึง้าสุด แม้คะแนนของเขาจะดีเยี่ยม แต่กลับตามหลังเย่เฟิงถึง 108,000 ลี้
ดวงตาของซวนหยวนจวิ้นเผยประกายเย็นเยือกและแฝงด้วยความไม่ยินยอม เขามีฝีมือพอตัวและมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วจักรวรรดิจิ่วโยว นับจากนี้เขาซวนหยวนจวิ้นควรจะเฉิดฉาย แต่หลังจากเย่เฟิงปรากฏตัว ความเฉิดฉายนั้นกลับไปอยู่ที่เย่เฟิงหมด แล้วเขาจะยินยอมได้อย่างไร? ในใจของเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความริษยาและอยากจะฆ่าเย่เฟิงเสียเดี๋ยวนี้
สองวันต่อมา อัจฉริยะอีกสองสามคนผ่านด่านที่สอง ส่วนหลิวหยางก็ไล่ตามมาถึงคนสุดท้าย ในใจเขาเองก็ริษยาเย่เฟิงเช่นเดียวกับซวนหยวนจวิ้น ั้แ่ต้นจนตอนนี้เขาเชื่อเสมอว่าตนแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเย่เฟิงได้
จาก 13 คน มีเพียง 6 คนที่ผ่านด่านที่สอง ส่วนคนที่เหลือตกรอบ
เมื่อสิ้นสุดด่านที่สอง ต่อไปก็เป็ด่านที่สาม นั่นก็คือสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียง
ขณะนั้นสิบสามเงาร่างปรากฏตัวที่นอกประตูใหญ่ของสำนักเทียนเซียงหลิน พวกนางล้วนเป็สตรีที่สวยงดงาม ทั้งยังดูอ่อนเยาว์
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ด่านที่สามจะทดสอบก็คือพลังต่อสู้ หากเอาชนะสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงก็เท่ากับผ่านด่าน และสามารถพาเทพธิดาเทียนเซียงหลินไปได้หนึ่งคน เมื่อคนเ่าั้ที่จะบุกด่านฉุกคิดได้เช่นนี้ต่างก็เผยสีหน้าตื่นเต้น สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็สิ่งที่ล่อตาล่อใจเป็อย่างมาก
คนแรกที่บุกด่านคืออัจฉริยะผู้หนึ่งจากกองกำลังใหญ่แห่งจักรวรรดิจิ่วโยว ตบะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 สูงสุด พลังต่อสู้ทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 เมื่อเริ่มการต่อสู้ ชายขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 สูงสุดคนนั้นย่อมรู้ถึงความร้ายกาจของสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียง ดังนั้นการต่อสู้เพิ่งเริ่ม เขาก็สำแดงพลังทั้งหมดของตนออกมาทันที
เขาปลดปล่อยิญญาางูั์ขั้นเขียว พร้อมอำนาจฟ้าดินขั้นผันแปรรายล้อมร่างกาย พร้อมกับะเิพลังโจมตี แต่ด้วยค่ายกลเทียนเซียงที่สร้างขึ้นจากศิษย์ทั้ง 13 คนของเทียนเซียงหลิน การโจมตีของชายผู้นั้นดูด้อยลงไปถนัดตา ไม่นานก็ถูกกำราบ สุดท้ายถูกหนึ่งในสิบสามศิษย์โจมตีจนกระอักเื และทำได้เพียงยอมจำนน
จากการต่อสู้นี้ทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียง หากคนทั่วไปอยากแตะต้องตัวหนึ่งในพวกนางก็เป็เื่ที่ยากอย่างมาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเอาชนะพวกนาง เพราะมันเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
รอบที่สองก็เป็เช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ถูกพวกนางกำราบไม่เกินสามกระบวนท่า เห็นชัดว่าอยู่คนละชั้น
ต่อจากนั้นก็เป็สองศึก สิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงไม่คิดหยุดพัก กระทั่งทำให้หลิวหยางและคนอื่นตกรอบ
หลิวหยางเผยสีหน้าย่ำแย่ เขาตกรอบในหนึ่งกระบวนท่า สำหรับเขาแล้วมันน่าอับอายอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขายังคุยโวโอ้อวดต่อหน้าหลันเซียงว่าจะผ่านด่านทุกด่านและพานางไป บัดนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดในตอนนั้นช่างน่าอับอายเหลือเกิน
“สวะ มองหาอะไรมิทราบ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำลายตบะเ้าเสียตอนนี้!” หลิวหยางเห็นเย่เฟิงมองมาที่เขา เขาก็คิดว่าเย่เฟิงคงดูถูกเขา เขารู้สึกอับอายขายหน้ามาก จึงแผดเสียงตวาดด้วยโทสะเช่นนั้น ราวกับ้าใช้เย่เฟิงกู้หน้ากลับคืนมา
เย่เฟิงขมวดคิ้วจาง ๆ พร้อมไอเย็นแผ่ออกจากร่าง “เ้าจะทำลายตบะข้างั้นหรือ?”
“ก็แค่สวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าสองด่านแรกเ้าทำคะแนนเช่นนั้นได้ยังไง หากไม่รีบไปร่วมบุกด่าน ข้าคงจัดการเ้าไปนานแล้ว!” หลิวหยางกล่าวเสียงกร้าว เขาไม่เชื่อว่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 จะสร้างความผันผวนลูกใหญ่ได้
“งั้นหรือ?”
เย่เฟิงเห็นหลิวหยางมั่นใจก็แสยะยิ้มเ็า “หากเ้ามั่นใจในพลังของตัวเองจริง ๆ ก็เข้ามาสิ”
“รนหาที่ตาย!”
หลิวหยางเห็นเย่เฟิงดื้อรั้นก็เกิดโทสะทันที ก่อนจะเหวี่ยงหมัดเข้าโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่ลังเล
แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง เดิมทีเขาไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับหลิวหยางผู้นี้ แต่อีกฝ่ายยั่วโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันใดนั้นฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งของเย่เฟิงคว้าจับไปที่หมัดของหลิวหยางอย่างไม่ลังเล ซึ่งฝ่ามือของเย่เฟิงคว้าจับหมัดของหลิวหยางอย่างแม่นยำ ทำให้หลิวหยางรู้สึกได้ถึงพลังไร้เทียมทานพันธนาการหมัดของเขา ทำให้ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้
ฉากนี้ทำให้คนรอบข้างต่างตะลึงงัน พวกนางเห็นเย่เฟิงลงมือเป็ครั้งแรก ซึ่งเย่เฟิงจับหมัดของหลิวหยางที่มีตบะสูงกว่าสองขั้นได้อย่างสบาย เห็นชัดว่าพลังต่อสู้ไม่อ่อนด้อยแม้แต่นิดเดียว
“ข้าจะฆ่าเ้า!” หลิวหยางแผดเสียงะโทั้งที่หมัดถูกเย่เฟิงพันธนาการ เขาดิ้นรนไม่หยุด แต่กลับรู้สึกว่าฝ่ามือใหญ่ของเย่เฟิงประหนึ่งคีมเหล็กที่จับหมัดไว้แน่นไม่ปล่อย
หลิวหยางโกรธเกรี้ยว เขาอยากใช้หมัดซ้ายของตนโจมตีเย่เฟิงอีกครั้ง
“กร๊อบ!”
ทว่าหลิวหยางยังไม่ทันลงมือก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกร้าวดังขึ้น นาทีต่อมาผู้คนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันโหยหวน
