“สำนักของพวกเรากับสำนักยาตรา์ไม่ถูกกันเหรอ?” ข้าถามขึ้น
ตั้นไถเหยาเบ้ปากก่อนจะตอบกลับ“เื่ราวระหว่างสำนักใหญ่ก็เป็แบบนี้ทั้งนั้นแหละนี่ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักหมื่นิญญาของเรามีสามปรมาจารย์ิญญาใหญ่ๆ อยู่สามท่านและปรมาจารย์นักรบิญญาอีกสิบเจ็ดท่านคอยดูแลอยู่ไม่อย่างนั้นคงจะถูกรังแกอยู่บ่อยๆ แล้วล่ะสำนักวรยุทธ์ที่เมืองหลินเสี่ยเฉิงแต่ละสำนักต่าง้าจะเหยียบอยู่บนแผ่นหลังของสำนักเราเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงมากกว่าเดิมทั้งนั้นแหละ”
“พวกนั้นช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย”
“คนเราต่างก็เป็แบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือไงจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าตัวเองมีฝีมืออยู่แค่ไหน...”
นางพึมพำเหมือนพวกที่ปลงกับชีวิตและไม่สนใจความเป็ไปของโลกภายนอก
ซูเหยียนนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ก่อนเนื้อนุ่มๆสองก้อนวางทาบอยู่้าจนเห็นได้ชัด ส่วนตั้นไถเหยาเองก็นั่งแบบเดียวกันและยังมองมาที่ข้าแบบไม่ละสายตาจนรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด
“ข้าว่า...พวกเ้าเปลี่ยนท่านั่งดีกว่านะ” ข้าพูดขึ้น
พอซูเหยียนได้ยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้แทนส่วนตั้นไถเหยาเอียงคอมองข้าอย่างสงสัยรวมทั้งนางยังใส่เสื้อคอลึกจนเนื้อด้านในของนางแทบจะล้นทะลักออกมาข้าว่าคงจะมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยล่ะที่อยากจะตายในอ้อมอกนาง
ข้าี้เีจะมองนางจึงเปลี่ยนเื่คุย “อาเหยา ข้าอยากถามมาตั้งนานแล้วว่าในฐานะซัพพอร์ตอย่างเ้านอกจากการเพิ่มพลังให้เพื่อนร่วมทีมแล้วยังทำอะไรได้อีกบ้าง?”
ตั้นไถเหยากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดขึ้น“พลังที่ข้าฝึกฝนอยู่ก็คือเคล็ดวิชาจิติญญาน้ำแข็งซึ่งทำให้พลังิญญาสามารถโจมตีระยะไกลได้และนอกจากการเพิ่มพลังให้คนอื่นแล้ว ข้ายังมีการโจมตีที่รุนแรงระดับหนึ่งด้วย”
พอข้านึกถึงเมื่อครั้งที่สังหารัดินหลังเหล็กตัวนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันที“อ้อ ข้านึกออกแล้ว ถึงแม้พลังจะดูธรรมดาแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยสินะ”
นางได้ยินแล้วก็บุ้ยปากแบบไม่พอใจ“นี่เ้ากำลังดูถูกข้าอยู่อย่างนั้นเหรอปู้อี้เชวียน!”
“จะเป็แบบนั้นไปได้ยังไง เ้าเป็ถึงหัวใจสำคัญของกลุ่มเราเลยนะ!”
“เ้าพูดให้ปากฉีกข้าก็ไม่เชื่อหรอก”
และตอนนี้เองซูเหยียนก็เม้มปากเล็กน้อยแล้วใช้นิ้วเกลี่ยไปบนโต๊ะอาหารก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“อาเหยา เ้าคนกินจุ พวกเ้าสองคน...คิดยังไงกับเื่ของอนาคต?”
“คิดอย่างไร?”ตั้นไถเหยาชะงักไป
“อะไรคือคิดยังไง?”ข้าก็ถามกลับอย่างงงๆ
“ก็คือการวางแผนยังไงล่ะ...”ซูเหยียนพูดขึ้นด้วยแววตาเป็ประกายเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ยากที่จะเอ่ยปาก
เป็ข้าที่พูดขึ้น “การวางแผนของข้ามันก็ง่ายๆก็คือชนะโอวเย่หยิงในการประลองเพื่อเงินก้อนใหญ่หลังจากนั้นก็ซื้อยาบำรุงและสมุนไพรมาช่วยในการบำเพ็ญของตัวเองหลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็เข้าไปเป็ศิษย์ของสามสำนักใหญ่ชั้นใน!”
“ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น...” นางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น“ข้าหมายความว่า...หมายความว่า...”
ตั้นไถเหยาเอียงคอมองนางด้วยสายตาที่เหมือนรู้ทัน “เสี่ยวเหยียนสรุปเ้าจะพูดอะไรกันแน่?”
ซูเหยียนขมวดคิ้วเข้มก่อนจะพูดขึ้น“การที่พวกเราอยู่ในสำนักหมื่นิญญาจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก็จริงแต่เมื่อจบแล้วก็ต่างเดินไปตามเส้นทางความฝันของตัวเองดังนั้นข้าจึงคิดว่า...พวกเราไม่แยกจากกันได้หรือเปล่า?”
นางพูดออกมาอย่างยากลำบากข้าเองก็รู้สึกคล้ายมีอะไรมาแทงหัวใจเหมือนกัน
ก็จริงอย่างที่ว่า เพราะตอนนี้ข้าชินกับการมีพวกนางอยู่เสียแล้วถ้าวันหนึ่งพวกนางหายไปข้าจะทำยังไง? แต่ดูเหมือนซูเหยียนจะคิดมากกว่าข้านิดหน่อย
“แต่ว่า...”
ตั้นไถเหยาชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “แต่ว่าซูเหยียนเ้าเป็ถึงลูกสาวของซูซีเฉิงที่เตรียมสืบทอดตำแหน่งต่อไปแล้วแบบนี้พวกเราจะไม่แยกจากกันได้ยังไงล่ะ?”
“ซูซางน้องชายของข้าก็อายุสิบแปดปีแล้วเขาต่างหากที่ต้องเป็ผู้สืบทอดคนต่อไป”
ซูเหยียนพูดขึ้นก่อนจะกัดปากเล็กๆ ของนางแล้วพูดต่อ“ข้าอยากจะทำตามความคิดความฝันของตัวเองเหมือนกับเทพศาสตราวุธปู้เสวียนยินแบบไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรและเป็อิสระมากกว่า”
ตั้นไถเหยาพูดขึ้นมาอย่างสุขใจแล้วเอามือทั้งสองข้างเท้าคางตัวเองพร้อมกับมองมาที่พวกข้า“ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ไม่อยากจะจากพวกเ้าไปไหนเหมือนกันพวกเราจะไม่มีวันแยกจากกันเด็ดขาด”
และหลังจากนั้นนางทั้งสองก็มองมาที่ข้าพร้อมกัน
ข้าถึงกับชะงักไปก่อนจะถามขึ้น “ทำไมถึงมองข้าแบบนี้ล่ะ!”
“เ้าไม่เห็นด้วยอย่างนั้นเหรอ?” นางทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน
ข้าลูบจมูกสองสามทีก่อนจะพูดขึ้น “ความจริงข้าก็เห็นด้วยอยู่หรอกแต่ข้ายังมีสหายสองคนนั้นอยู่อีกไง ก็เลย...”
ซูเหยียนได้ยินแล้วก็พูดขึ้น“เ้าหมายถึงซ้งเชียนกับจ้าวห้าวอย่างนั้นเหรอ? ไม่เป็ไรหรอกน่าไว้พวกเราเรียนจบเมื่อไรก็เปิดสำนักวรยุทธ์ด้วยกันเพราะนอกจากนี้ข้าก็นึกไม่ออกแล้วล่ะว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดได้ยังไง”
ข้าถึงกับตะลึง...
“ทำไมเหรอ?”
“บังเอิญจริงๆเ้าสองคนนั้นกับข้าก็มีความคิดจะเป็สำนักวรยุทธ์เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ”
ซูเหยียนและตั้นไถเหยาต่างก็มีสีหน้าที่เหมือนยกูเาออกจากอกก่อนจะพูดขึ้นอีก ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้นะหลังจากที่เรียนจบแล้วพวกเรามาตั้งสำนักวรยุทธ์ด้วยกัน!”
“อืม!”
ขณะนั้นเองพนักงานก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารในมือ“สวัสดีทั้งสามท่านขอรับ ผักนึ่งปลาเค็มของท่านได้แล้วขอรับ”
พวกเราสามคนชะงักไปก่อนตั้นไถเหยาจะพูดขึ้น“ดูเหมือนจะเป็ลางไม่ค่อยดีเท่าไรนะหรือว่าการวางแผนของพวกเราจะล้มไม่เป็ท่าอย่างนั้นเหรอ?”
“...”
...
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงสองวัน พลังสายฟ้าอรหันต์ของข้ายังคงไม่บรรลุขั้นต้นไปสักทีซึ่งพลังของมันยังหยุดอยู่ในขั้นอัสนีนภาที่ไม่มีวี่แววว่าจะเพิ่มขึ้น และยังเป็ลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไรเพราะถ้ายังเป็แบบนี้เงินหนึ่งล้านเหรียญของข้าจะต้องละลายหายไปกับสายน้ำเป็แน่!
คนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนอย่างข้าถึงกับตาแดงในตอนเช้าเมื่อเป็แบบนั้นจึงกินโสมโลหิตแปดร้อยปีแท่งหนึ่งก่อนพลังลมปราณจะกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งข้าจะต้องบรรลุก่อนมืดให้ได้!
หลังจากเคลื่อนพลังไปกว่าหลายรอบในที่สุดก็เริ่มมีเค้าลางของการบรรลุเกิดขึ้นมาแถมพลังิญญาที่ไหลเวียนในร่างกายยังทำให้จินตานระดับเจ็ดในร่างกายเริ่มสลายไปแล้วด้วย
แบบนี้เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ!
แคร้ก...
เสียงร้าวของจินตานดังขึ้นก่อนพลังของมันจะโหมกระหน่ำเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกายและภายใต้พลังิญญาที่แข็งแกร่งขึ้นครั้งนี้จึงทำให้ข้าบรรลุระดับพลังขั้นต่อไปด้วย!
ชั่วพริบตาเดียวข้าก็เข้าสู่ระดับกลางของขั้นเทวิญญาทันที
แต่ถึงจะเป็แบบนั้นพลังที่ออกมาจากจินตานก็ยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุดด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญาเพิ่มขึ้นอีกด้วย!
ข้าดีใจสุดขีดเพราะถ้าเป็ไปตามนี้ความห่างของพลังระหว่างข้ากับโอวเย่หยิงก็เหลือน้อยลงแล้ว ในเวลาเดียวกันนี้ก็มีเสียงฟ้าคำรามเกิดขึ้นในจุดประภพ์จนแก้วหูของข้าเกือบแตก
นี่มันพลัง ‘อัสนีริมกรรณ’พลังที่บ่งบอกว่าข้าได้เข้าสู่ระดับกลางของพลังสายฟ้าอรหันต์แล้วนั่นเอง!
เพียงชั่วพริบตาพลังสายฟ้าอรหันต์ในร่างกายก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้นจนข้าสามารถมองเห็นแสงของสายฟ้าที่เกิดขึ้นเหนือชั้นิัได้เลยทีเดียวนึกไม่ถึงว่าเวลาเพียงชั่วครู่จะทำให้พลังของข้าเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างต่ำสามส่วน!จินตานระดับเจ็ดที่ซูซีอวี๋ทิ้งไว้ให้ช่างเป็ของดีจริงๆถึงทำให้พลังของข้ามันเพิ่มขึ้นได้ขนาดนี้!
หลังจากบรรลุแล้วข้าก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนเพลียเนื่องจากไม่ได้นอนมาทั้งคืนจึงหาอะไรกินนิดหน่อยก่อนจะล้มตัวลงนอน
...
การนอนครั้งนี้เป็การนอนที่เต็มอิ่มเพราะข้าหลับั้แ่ฟ้าสางกระทั่งฟ้าเริ่มจะกลับมามืดอีกครั้งและตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากหน้าประตูโรงเกลากระบี่เมื่อหันไปดูเวลาก็นึกขึ้นได้ว่ามันใกล้ถึงเวลานัดประลองของข้าแล้ว
“พี่เชวียน ท่านอยู่ข้างในหรือเปล่า?” ซ้งเชียนที่อยู่ข้างนอกะโขึ้นมา
“อืม”
หลังจากลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดหมดจดซึ่งก่อนจะออกมาด้านนอกก็พบว่ามีผู้คนห้อมล้อมโรงเกลากระบี่แห่งนี้เต็มไปหมดขนาดซูเหยียนและตั้นไถเหยาก็มาดูอะไรสนุกๆ กับเขาด้วย และนอกจากพวกนั้นยังมีคนอื่นที่ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักรวมถึงคนของสี่ตระกูลใหญ่ก็มากันด้วยดูเหมือนว่าทุกคนจะติดตามการประลองครั้งนี้ไม่น้อยเหมือนกันนี่นา...
แต่ข้าเองก็รู้ดีแก่ใจว่าส่วนมากมาเพื่อดูว่าข้าจะแพ้โอวเย่หยิงในสภาพไหนต่างหากล่ะ!
และที่สำคัญคือสี่ตระกูลใหญ่ที่เห็นแก่เงินพวกนี้ลงพนันไปกว่าหนึ่งร้อยล้านเหรียญหลงหลิงเลยทีเดียว!
ซูเหยียนถามขึ้น “นี่เ้าเตรียมพร้อมหรือยังเนี่ยทำไมดูแล้วเหมือนเพิ่งตื่นยังไงอย่างนั้น...”
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วนี่โอวเย่หยิงมาหรือยัง?”
“มาแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปสั่งสอนมันกันเถอะ!”
“...”
...
ลานโล่งกว้างหน้าโรงเกลากระบี่บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
แสงไฟที่ส่องลงมาทำให้ภาพเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นว่านอกจากตรงกลางลานที่เตรียมไว้สำหรับประลองแล้วส่วนที่เหลือยังมีผู้คนยืนล้อมอยู่เต็มไปหมด
พอมองออกไปก็เห็นศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนมารวมตัวกันกว่าร้อยคนเพื่อเสริมความน่าเกรงขามให้กับโอวเย่หยิงแต่ศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีมากันเยอะกว่า ขนาดเชวียนหยวนจิ้น ไอลาหวังอี้และคนอื่นต่างก็มาด้วย ซึ่งแต่ละคนต่างพากันะโออกมาพร้อมกับกำหมัดแน่น“สู้เขาปู้อี้เชวียน ซัดโอวเย่หยิงให้หมอบไปเลยไม่อย่างนั้นเ้าก็กลับไปล้างขี้กับจ้าวห้าวซะ!”
นอกจากนี้ข้ายังเหลือบไปเห็นศิษย์ของสำนัก ‘หยุนต้ง’ที่พากันมารอดูการประลองครั้งนี้ด้วย แต่ละคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมและเมื่อมองไปดีๆแล้วจะเห็นว่าแต่ละคนอยู่ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ขึ้นไปทั้งนั้นพวกเขาต่างหากที่เป็ศิษย์ผู้แข็งแกร่งที่สุดของสำนักหมื่นิญญาแห่งนี้!
ศิษย์ของสำนักหยุนต้งมีทั้งหมด 24 คนมีอาจารย์ที่ได้ชื่อว่าเป็หนึ่งในสามปรมาจารย์ิญญาใหญ่และเทพศาสตราวุธอย่างหลัวเสียนเป็ผู้สอนเองกับมือทำให้ทางสำนักให้ความสำคัญกับพวกเขาค่อนข้างมาก
บางทีโอวเย่หยิงอาจจะเป็เพียงตัวตลกในกลุ่มคนพวกนั้นก็ได้และถ้าข้าอยากจะก้าวขึ้นไปเป็ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักหมื่นิญญาละก็หนึ่งในคนที่แฝงตัวอยู่ในสำนักหยุนต้งนั่นต่างหากถึงจะเป็ศัตรูที่แท้จริง!
และในตอนนี้เองโอวเย่หยิงก็เดินเข้ามาในชุดใหม่ของสำนักสีเลี้ยนพร้อมกับอาวุธิญญาอย่าง‘กระบี่ธารามรกต’ ที่เป็เหมือนระลอกคลื่นอยู่ในมือแสงจากกระบี่เปล่งประกายด้วยพลังิญญาอันลึกล้ำรวมทั้งหน้าตาของเขาที่จัดได้ว่ารูปหล่อพอสมควรจึงทำให้ขณะที่เขาเดินมาจะมีเสียงของผู้หญิงนอกสำนักส่งเสียงวี้ดว้ายกันขึ้นมา
“ว้าว นั่นโอวเย่หยิงนี่ หล่อมากๆเลย...ถ้าเกิดได้แต่งงานกับเขาก็คงจะดีสินะ!”
“โอวเย่หยิงสู้ๆ เอาชนะปู้อี้เชวียนให้ได้นะ!”
“ฮึ!นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมีรองสำนักคอยหนุนหลังอยู่เขาจะกล้ารับคำท้าของโอวเย่หยิงได้ยังไงช่างไม่รู้จักเจียมตัวจริงๆ!”
...
ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเนื่องจากโอวเย่หยิงเข้ามาเป็ศิษย์ในสำนักนี่อย่างน้อยก็สองปีจึงมีคนรู้จักและชื่นชอบเขาจำนวนไม่น้อยซึ่งคนอย่างข้าไม่สามารถไปเทียบได้ แต่ถึงจะเป็แบบนั้นก็ไม่เป็ไรเพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงเรียงนามมันก็สร้างขึ้นมาได้อยู่แล้วขอแค่วันนี้ข้าสามารถเอาชนะเขาได้ก็มากพอแล้วล่ะ
ชวิ้ง...
ข้าวาดมือไปบนอากาศก่อนที่กระบี่คมจันทราจะปรากฏออกมา
เพียงพักเดียวก็มีเสียงของผู้หญิงที่อยู่แถวนั้นดังขึ้นมา
“เขาคือศิษย์สำรองคนนั้นหรอกเหรอ? ดูเหมือนจะหล่อเหลาเอาการอยู่เหมือนกันนะแถมยังหล่อกว่าโอวเย่หยิงด้วยซ้ำ!”
“สู้ๆ นะปู้อี้เชวียนชื่อเสียงของสำนักจวี๋ฉีต้องพึ่งเ้าแล้วล่ะ!”
ขนาดไอลาเองก็เอามือป้องปากแล้วะโขึ้นมาเหมือนกัน “ปู้อี้เชวียนเอาชนะเขาให้ได้นะ!”
...
ซูเหยียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลทำปากจู๋แบบไม่ค่อยสบอารมณ์
“เป็อะไรไปล่ะซูเหยียน เ้าไม่อยากให้ปู้อี้เชวียนชนะเหรอ?” ตั้นไถเหยาถามขึ้น
ซูเหยียนขมวดคิ้วแล้วพูดออกมา “อยากสิแต่พอเห็นผู้หญิงพวกนั้นส่งกำลังใจให้เขาแล้วข้ารู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา”
ตั้นไถเหยาถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้