หยางหนิงอยู่กับแผ่นภาพวาดนี้ทั้งคืน แล้วลองฝึกเองเป็ระยะๆ พริบตาเดียว ฟ้าก็สว่างแล้ว
เขารู้ว่าหากใครรู้ว่าเขาแอบเข้ามาในเรือนนี้เข้า ต่อให้เขาจะเป็จิ่นอีโหวซื่อจื่อ แต่มันก็ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เพราะอย่างไรที่นี่ก็ถูกสั่งห้ามเข้าโดยท่านเหล่าโหว ตัวเขาไม่สามารถอ้างสิทธิ์ในฐานะได้ แถมยังละเมิดกฎของตระกูลด้วย อาจจะทำให้คนอื่นครหาเอาได้
เขาจัดระเบียบภาพวาดเก็บเข้าในเสื้อของตัวเอง แอบคิดในใจว่ากระดาษพวกนี้ถูกทิ้งไว้อย่างนั้นตั้งหลายปีคงไม่มีใครสนใจ หากตัวเขาหยิบไปก็คงไม่มีใครสนใจ
จากนั้นเขาก็ปีนกำแพงออกไป กลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง แล้วเอาผ้ามาห่อกระดาษพวกนี้เอาไว้ แล้วยัดเข้าไปใต้เตียง หลังจากเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากด้านนอก มีบ่าวไพร่นำน้ำมาให้ล้างหน้า หยางหนิงล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนเดินมาเชิญไปทานอาหารเช้า เมื่อถึงห้องอาหาร ฉีเฟิงก็มารออยู่ก่อนแล้ว แต่กลับไม่เห็นกู้ชิงฮั่น
เขารู้ว่าหลายวันนี้กู้ชิงฮั่นรู้สึกเหนื่อยมาก คิดว่าน่าจะยังนอนพักอยู่ เขาเหลือบไปมองเหวยต้งที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามว่า “ฮูหยินสามยังไม่ตื่นอีกรึ?”
“เรียนซื่อจื่อ ส่งคนไปเรียกแล้ว คิดว่าฮูหยินสามยังคงพักอยู่ เพราะไม่มีเสียงตอบรับเลย ข้าน้อยเองก็ไม่กล้ารบกวน ซื่อจื่อท่านวางใจได้ ทางห้องครัวได้เตรียมอาหารไว้แล้ว เมื่อไหร่ที่ฮูหยินสามตื่น เราจะจัดอาหารไปให้ทันทีขอรับ” เหวยต้งตอบอย่างเคารพ
ทางจวนเก่ามีกฎระเบียบของจวน อาหารวันละสามมื้อจะต้องขึ้นโต๊ะตรงเวลา ต้องเรียงตามลำดับด้วย พวกของฉีเฟิงอย่างไรก็เป็บ่าวไพร่ ไม่สามารถร่วมโต๊ะกับหยางหนิงได้ แต่หยางหนิงไม่ชินกับการชีวิตแบ่งชนชั้นเช่นนี้ จึงสั่งให้นำอาหารของพวกฉีเฟิงมาจัดที่โต๊ะอาหารด้วย
ห้องอาหารของจวนเก่ามีโต๊ะอาหารสองโต๊ะ มีโต๊ะด้านหน้ากับด้านหลัง แต่ว่าด้านหน้าจะเป็โต๊ะที่ประณีตราคาแพงหน่อย
หยางหยิงให้จัดอาหารของฉีเฟิงอยู่โต๊ะเดียวกับเขา ส่วนคนอื่นๆ อยู่อีกโต๊ะ เมื่ออาหารมาถึง หยางหนิงสั่งให้คนๆ อื่นออกไปจนหมด แล้วพูดกับฉีเฟิงว่า “เ้ารีบกินให้เสร็จ กินเสร็จแล้ว เ้าพาคนสองคนไปที่จิงโจว”
ฉีเฟิงใ แล้วถามว่า “เมืองจิงโจวหรือขอรับ?” เขาคิดในใจว่าเมื่อคืนเขาเพิ่งจะมาจากที่นั่น ตอนนี้จะให้เขากลับไปที่นั่นอีกหรือ?
“เ้าไปหาท่านเ้าเมืองเจียงหลิง” หยางหนิงพูดว่า “เมื่อพบท่านเ้าเมืองเจียงหลิง ถามเขาดูว่าเขาได้ส่งคนคุ้มกันเงินภาษีไปเมืองหลวงหรือไม่ หากเขาส่งคนไปจริง เ้าก็พาคนที่คุ้มกันเงินภาษีไปเมืองหลวงกลับมาสักสองคน ข้าจะสอบสวนพวกเขาเอง”
“หา?” ฉีเฟิงใแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เงินภาษี...เงินภาษีส่งไปแล้วหรือขอรับ?” เขาพาคนคุ้มกันกู้ชิงฮั่นกลับมายังเจียงหลิง เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็เพราะเื่เงินภาษีล่าช้า
“เ้าไม่ต้องถามมาก” หยางหนิงพูดว่า “เ้ารู้จักเ้าเมืองเจียงหลิงหรือไม่?”
ฉีเฟิงรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเ้าเมืองเจียงหลิงเป็ขุนนางใสซื่อมือสะอาด เป็คนที่ท่านแม่ทัพเสนอ ท่านแม่ทัพจะสนับสนุนกับเสนอคนนั้นน้อยมาก แต่ว่าเพื่อความรุ่งเรืองของเจียงหลิง จึงเสนอขุนนางที่มีความสามารถและซื่อตรงมารับตำแหน่งเ้าเมือง” จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ข้าน้อยเคยพบท่านเ้าเมืองคนนี้สองครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจำข้าน้อยได้หรือไม่แต่ว่าหากพูดถึงจิ่นอีโหว เขาก็หน้าจะไว้หน้าอยู่บ้าง น่าจะให้ความร่วมมือดีอยู่”
“ถ้างอย่างนั้นก็ดี” หยางหนิงพูดว่า “มีอีกเื่พ่อบ้านใหญ่คนเดิมของบ้านเก่าเหมือนจะป่วยหนัก ตอนนี้เขาก็อยู่ที่จิงโจวเหมือนกัน หากเื่นี้เป็เื่จริง ท่านเ้าเมืองเจียงหลิงก็น่าจะรู้เื่ด้วยเหมือนกัน เ้าก็ให้ท่านเ้าเมืองช่วยเ้าตามหาที่อยู่ของพ่อบ้านใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาทำงานให้กับตระกูลฉีมานานหลายปี เราจะไม่ถามไถ่เลยก็ไม่ได้ เ้าไปเยี่ยมเขาแทนข้าที”
ฉีเฟิงพูดว่า “ซื่อจื่อโปรดวางใจ” แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า“ซื่อจื่อท่านมีอะไรจะสั่งข้าน้อยอีกหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงนิ่งไป แล้วพูดเบาๆ ว่า “เ้ารู้เื่พ่อบ้านใหญ่ดีเพียงใดรึ?”
“ข้าน้อยรู้แค่ว่าบ้านเกิดของพ่อบ้านใหญ่อยู่ที่เจียงเซี่ย แต่ว่าเป็คนสกุลเดียวกับตระกูลฉี หลายปีก่อนมีการไปมาหาสู่กับท่านเหล่าโหว แต่ว่าไปมาหาสู่เื่ไหน ข้าน้อยมิทราบ” ฉีเฟิงพูดเบาๆ ว่า “แต่ว่าตอนนั้นพ่อบ้านใหญ่ก็ได้มาขออยู่ด้วย ท่านเหล่าโหวก็รับเขาเอาไว้ แล้วก็ให้เขารับหน้าที่เป็พ่อบ้านใหญ่ของที่นี่ ท่านพ่อบ้านใหญ่ทำหน้าที่ได้ดีมาก หลายปีมานี้ พ่อบ้านใหญ่ดูแลที่นี่จนมีกฎระเบียบชัดเจนมากขึ้น”
หยางหนิงถามจึงขึ้นว่า “แล้วเ้ารู้เื่ครอบครัวของเขาบ้างหรือไม่?” “ในเมื่อเป็พ่อบ้านใหญ่ของจวนเก่านี้ เราไม่มีทางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวเขาจริงหรือไม่?”
ฉีเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก ในจวนเองก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงประเด็นนี้ขอรับ” เขาพูดเสียงเบาๆว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่ามีอะไรที่ผิดปกติใช่หรือไม่ขอรับ? ให้ข้าน้อยส่งคนไปสืบที่เจียงเซี่ยดูดีหรือไม่ เจียงเซี่ยไม่ไกลกับเจียงหลิงเท่าไหร่นัก ขี่ม้าเร็วไปกลับใช้เวลาแค่สามสี่วันเท่านั้นเองขอรับ”
หยางหนิงคิดๆ แล้วก็พูดว่า “หากเป็เช่นนั้นก็ได้ แต่ว่าต้องเก็บเื่นี้เป็ความลับ ส่งคนไปเจียงเซี่ยแค่คนเดียวพอ สืบเื่ครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่มาอย่างละเอียด...!”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ” จากนั้นก็กำลังจะเดินออกไป แต่หยางหนิงเรียกเอาเขา “ไม่กินให้อิ่มก่อนเล่า แล้วเ้าจะมีแรงที่ไหนไปทำงาน กลับมากินก่อน”
ฉีเฟิงจับหัว แล้วหันไปพูดกับเหล่าองครักษ์ว่า “กินเร็วเข้า ยังมีงานต้องทำอีกมาก”
หยางหนิงกินข้าวไปไม่กี่คำ เขาไม่ค่อยรู้สึกหิวเท่าไหร่ จากนั้นก็เดินออกไป บังเอิญเห็นเหวยต้งกับบ่าวไพร่ยืนพูดอะไรกันอยู่ ก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปถามว่า “มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้กันรึ?”
เหวยต้งยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านกินข้าวเสร็จแล้วหรือขอรับ? เรากำลังพูดถึงเ้าคนบ้าที่อยู่ข้างนอกนั่นขอรับ”
“คนบ้ารึ?” หยางหนิงถามด้วยความแปลกใจ “คนบ้าอะไรกัน?”
“เื่มันเป็แบบนี้ขอรับ จริงๆ แล้วท่านเฉิงบอกว่าจะกลับมาเมื่อคืน ดังนั้นข้าน้อยจึงไปเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ จนถึงค่ำ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา” เหวยต้งจึงอธิบายต่อว่า “ข้าน้อยคิดว่าท่านเฉิงน่าจะมีธุระอื่นอีก จึงเตรียมจะเข้านอน ก่อนนอน ก็เดินมาดูอีกรอบ แล้วก็เห็นตัวมีขนนอนอยู่ตรงกำแพงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจวน ตอนนี้ข้าน้อยใมาก ตอนแรกคิดว่าเป็หมาจรจัดขอรับ”
“เป็ขนๆ อย่างนั้นรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว
เหวยต้งรีบพูดว่า “ใช่ขอรับ แต่ว่าพอข้าน้อยถือตะเกียงเดินเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่าเป็คน คนผู้นั้นนอนอยู่ริมกำแพง น่าจะเป็พวกขอทาน แต่ว่ามีเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ...!”
“เขาเองรึ!” หยางหนิงใ จากนั้นก็นึกถึงชายอัปลักษณ์ขึ้นมา อย่าบอกนะว่าชายอัปลักษณ์นั่นวิ่งตามมาถึงที่นี่เลย? แต่ว่าเขากับกู้ชิงฮั่นทิ้งเขาเอาไว้กลางทางเมื่อวานนี้ เขารู้ทางมาที่นี่ได้อย่างไรกัน? อย่าบอกนะว่าจมูกเขาเหมือนหมาดมกลิ่นตามมา
“พาข้าไปดูทีสิ ตอนนี้เขาอยู่ไหน?” หยางหนิงเดินไปถามไป
เหวยต้งเดินนำทางไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ คนบ้านั่น ตอนแรกข้าน้อยว่าเช้านี้เขาอาจจะไปแล้วก็ได้ แต่ว่าเมื่อเช้าตอนที่ข้าน้อยเปิดประตูออกไปดู เขาก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น ข้าน้อยเอาขนมปังให้เขาไปสองชิ้น เขากลับขว้างมันทิ้ง ข้าน้อยจึงจำเป็ต้องให้คนใช้ไล่เขาไป แต่ว่าเขาก็วิ่งกลับมาอีก ตอนนี้ยังอยู่หน้าประตูขอรับ”
หยางหนิงพูดว่า “เขาไม่กินขนมปังหรอก เหตุใดเ้าถึงไม่เอาอย่างอื่นให้เขาแทนเล่า? ข้าว่าอาหารเช้าวันนี้มีของว่างเยอะแยะเลย เ้าเอามาให้เขาก็ได้ เหตุใดต้องให้คนไปไล่เขาด้วย?”
เหวยต้งพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ของพวกนั้นไม่ใช่ว่าใครก็จะกินได้ แต่เพราะซื่อจื่อกับฮูหยินสามอยู่ที่นี่ ห้องครัวถึงได้เตรียมของพวกนั้นไว้ั้แ่เมื่อคืน ที่นี่ค่อนข้างอยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่เหมือนเมืองหลวง ไม่ค่อยมีอะไรดีๆ ก็มีเพียงของว่างเท่านั้นที่พอจะทำได้ ก็เลย...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปเอาของพวกนั้นมา” หยางหนิงพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าจะบอกเ้าอีกครั้ง เ้าไปบอกคนในจวนด้วย ต่อไปไม่ว่าจะเป็ขอทานหรือว่าคนตกยากมาที่นี่ ใครก็ห้ามไล่ห้ามตี ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหนังมัน ใครก็ตามที่ลำบาก เราต้องช่วยเขา เ้าก็อายุปูนนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เข้าใจอะไรเลย?”
เหวยต้งคิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงจะตำหนิเขาเพราะคนบ้าคนหนึ่งอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ จึงรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้าง เขาไม่รู้ว่าหยางหนิงเคยลำบากมาก่อน ถึงแม้จะในเวลาสั้นๆ แต่ประสบการณ์ใน่เวลาสั้นๆ นั้น กลับทำให้หยางหนิงรู้ถึงความลำบากของคนพวกนั้น
เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนเก่าแล้ว ก็พบชายอัปลักษณ์สวมเสื้อคลุมสีดำอยู่ที่กำแพง เมื่อได้ยินเสียงคนเดินมา ชายอัปลักษณ์ก็หันหน้ามามองสีหน้ามีอาการหวาดกลัว เมื่อเห็นชัดว่าเป็หยางหนิง สีหน้าของชายอัปลักษณ์ก็ยิ้มออกมา แล้วรีบลุก แล้ววิ่งมาหาหยางหนิง ยื่นมือแล้วพูดว่า “หิว...กิน...หิว...!”
หยางหนิงเห็นเขามาไม้นี้ จริงๆ แล้วเขาเองก็เป็คนที่แข็งมาแข็งตอบอ่อนมาอ่อนตอบอยู่แล้ว เขาก็พูดว่า “เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” จากนั้นก็หันไป รับถาดอาหารมา ในถาดเต็มไปด้วยอาหารดีๆ มากมาย จากนั้นเขายิ้มแล้วถามว่า “เ้าอยากกินหรือไม่?”
อาหารพวกนี้เป็ของดีมีกลิ่นหอม ใครๆ ที่ได้กลิ่นก็จะต้องอยากกิน ชายอัปลักษณ์ยื่นมือจะไปหยิบ หยางหนิงกลับดึงมือหลบ ชายอัปลักษณ์จับได้แค่อากาศ เขาเริ่มร้อนใจ หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าดูมือเ้าซิ มีแต่ฝุ่น กินแบบนี้ จะไม่สบายเอาได้ หากเ้าอยากจะกินของพวกนี้ ก็ต้องเชื่อฟังข้า เ้าตามพวกเขาไป ให้พวกเขาช่วยอาบน้ำให้เ้า จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดก่อน ของพวกนี้ก็จะเป็ของเ้า อย่างนี้ดีหรือไม่?”
การที่ชายอัปลักษณ์ตามมาถึงที่นี่ หยางหนิงคิดว่าไม่ใช่เื่บังเอิญ นอกจากความเร็วที่เหมือนเสือดาวของเขาแล้ว เขายังมีความสามารถที่เหนือกว่าคนทั่วไป ถึงได้ตามมาถึงที่นี่ได้ ชายอัปลักษณ์ตามมาเพราะตัวเขา อย่างไรเสียก็ต้องจัดการดูแลให้ดี
ชายอัปลักษณ์รู้สึกร้อนใจ ในใจก็พูดซ้ำคำเดิม แล้วเดินไปรอบๆ ตัวหยางหนิง คิดแค่อยากจะเอาของมากิน
หยางหนิงหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “เ้าไม่เชื่อฟังข้าอย่างนั้นหรือ? หากเ้าไม่เชื่อฟังข้า ชิ้นเดียวเ้าก็จะไม่ได้ ต่อไปนี้ ข้าก็จะไม่ให้อะไรเ้ากินอีก”
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะเข้าใจที่หยางหนิงพูด สีหน้ามีความหวาดกลัว หยางหนิงยื่นถาดอาหารคืนให้เหวยต้ง ชี้ไปที่เหวยต้งแล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า “เ้าตามเขาไปตอนนี้ เขาจะหาคนมาช่วยทำความสะอาดให้เ้า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเมื่อไหร่ เขาก็จะเอาของให้เ้ากิน”
ชายอัปลักษณ์หันไปมองเหวยต้ง แล้วก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็ได้แต่พูดว่า “อืม อืม อืม”
เหวยต้งถึงแม้จะเป็คนเฝ้าประตูบ้าน แต่ฐานะจริงๆ ของเขาก็สูงกว่านั้นมาก เมื่อเห็นสภาพของชายอัปลักษณ์ก็รังเกียจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเป็คำสั่งของซื่อจื่อ เขาเองก็ไม่กล้าขัด อีกทั้งเมื่อครู่นี้ยังถูกตำหนิมาด้วย จึงจำต้องยิ้ม แล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า “เ้าตามข้ามา ข้าจะพาไปอาบน้ำ”
หยางหนิงหันไปสั่งอีกว่า “เ้านี่ท่าทางจะไม่ได้อาบน้ำมานาน อาบน้ำให้เขานานๆ หน่อยก็ได้ แล้วหาเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยน ไม่ต้องดีมาก เอาแค่ให้สะอาดก็พอ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ให้เขาอยู่ในจวนนี้ไปก่อนชั่วคราว เสื้อผ้าอาหารเ้าก็หาให้เขาที ก่อนข้ากลับเมืองหลวง ข้าค่อยคิดอีกที”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ” เหวยต้งรู้สึกสงสัย จึงถามอย่างระวังว่า “ซื่อจื่อ พวกท่านเคยเจอกันมาก่อนหรือขอรับ? เหมือนเขาจะรู้จักท่านนะขอรับ?” เห็นหยางหนิงมองมาที่ตนเองด้วยสายตาเ็า จึงไม่กล้าพูดอะไรมากอีก รีบพาชายอัปลักษณ์เข้าจวนไป
เมื่อเป็คำสั่งของหยางหนิง ในจวนเก่าก็ไม่มีใครกล้าชักช้า ใช้กำลังแรงคนมากมาย เปลี่ยนน้ำไปถึงหกเจ็ดถัง ถึงจะจับชายอัปลักษณ์อาบน้ำจนสะอาดได้ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้กับเขา ชายอัปลักษณ์คิดแค่อยากจะกินอาหาร จึงยอมให้คนจับอาบน้ำ แต่เพราะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแล้ว แต่เสื้อคลุมดำตัวนั้นกลับไม่ให้ใครเอาไป บ่าวไพร่ก็ต้องยอมเขา
ฉีเฟิงกับพวกกินข้าวเช้าเสร็จ ก็รีบออกเดินทาง ทิ้งองครักษ์เอาไว้สามคน ตัวเองพาอีกสองคนไป คนในจวนคนอื่นก็ไม่กล้าถามอะไรมาก
เช้าของอีกวัน ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้ชิงฮั่น หยางหนิงแอบคิดว่าเหตุใดวันนี้กู้ชิงฮั่นถึงได้นอนี้เีได้เช่นนี้ ไม่กินอะไรมาเป็วันแล้ว ไม่หิวหรืออย่างไรกัน จึงสั่งให้สาวใช้ไปเรียกถึงสองครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรเลย
กู้ชิงฮั่นไม่มีเสียงตอบรับ ส่วนฉีเฉิงก็ยังไม่กลับมา หยางหนิงจึงหยิบกระดาษภาพพวกนั้นออกมานั่งดูในห้อง ดูไปดูมาก็เลยเวลามาจนเที่ยงวัน จากนั้นเขาก็เก็บของแล้วออกจากห้องไป ได้ยินว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวของกู้ชิงฮั่นเลย หยางหนิงรู้สึกว่ามันผิดปกติ จึงไปหาคนที่ดูแลกู้ชิงฮั่นอาบน้ำเมื่อคืนมา ให้นางพาตัวเองไปที่เรือนนอนของกู้ชิงฮั่น ภายในเรือนมีสาวใช้อีกคนเฝ้าอยู่ หยางหนิงเดินเข้าไปในเรือนตรงไปเคาะประตูห้อง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากผู้ใดเลย
หยางหนิงะโเรียกไป ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขารู้ว่ากู้ชิงฮั่นนอนมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน น่าจะมีสติมากพอแล้ว ถึงแม้จะยังรู้สึกเพลียอยู่ ก็ไม่น่าจะหลับตายได้ขนาดนี้ เขาหันไปถามสาวใช้ว่า “ฮูหยินสามนอนมาั้แ่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ไม่ได้ออกมาเลยรึ?”
“เรียนซื่อจื่อ บ่าวดูแลฮูหยินสามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ นางก็ขึ้นเตียงพักผ่อนเลย จริงๆ บ่าวจะอยู่ดูแลด้านใน แต่ว่าฮูหยินสามบอกว่าไม่ต้อง จึงออกมาเฝ้าอยู่ข้างนอกนี่เ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งพูดว่า “เมื่อคืนนี้เราสองคนสลับกันมาเฝ้าเวร เผื่อฮูหยินสาม้าเรียกใช้และไม่มีใครอยู่ วันนี้พวกเราเรียกนางถึงสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับจากฮูหยินสามเลยเ้าค่ะ”
หยางหนิงหน้านิ่งไป จากนั้นสีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาหยิบมีดสั้นออกมา สาวใช้สองคนรู้สึกใ แล้วก็เปิดประตูห้องออก หลังจากเปิดประตูห้องเข้าไปแล้ว ก็ค่อยๆ เรียก “ฮูหยินสามท่านอยู่ด้านในหรือไม่?”
สาวใช้คนหนึ่งรีบชี้ไปทางด้านซ้าย หยางหนิงไม่รอให้นางได้พูดอะไร รีบเดินเข้าห้องไป แล้วใช้เท้าถีบประตูอย่างแรง เมื่อเขาเข้าไปด้านใน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป