กลิ่นเหม็นลอยออกมาจากตัวชายคนนั้น กลิ่นลอยคลุ้งไปทั่วห้อง โดยเฉพาะเสื้อผ้าของเขา ทั้งยังถอดกางเกงในของตนแล้วโยนไปบนเตียงขนาดใหญ่อีกเตียงด้วย
หลงเหยียนพูดอย่างระมัดระวัง “พี่ พี่ใหญ่ ท่านมาที่นี่บ่อยแล้วใช่ไหม คิดว่าท่านคงคุ้นเคยกับที่นี่มากเลยกระมัง”
ชายผู้นั้นหยุดสิ่งที่ทำอยู่แล้วหันมากวักเรียกหลงเหยียน
“เข้ามา เข้ามาสิ สหายน้อย ถูหลังให้ข้าหน่อย เกือบสองปีแล้วที่ข้าไม่ได้อาบน้ำ ข้ามาเมืองอู่ตี้เป็ครั้งที่สามแล้ว มีแค่ที่นี่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านข้า”
“บ้าหรือ!” หลงเหยียนแทบเป็ลม เขาคิดอย่างไรกันถึงไม่อาบน้ำนานสองปี เมื่อเข้าใกล้เขา กลิ่นเหม็นก็ทำให้หลงเหยียนเวียนหัว พลันโมโหทันที
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น หลงเหยียนใช้กายสุริยะห่อหุ้มตัวเองไว้ จากนั้นยื่นมือออกไปถูหลังชายผู้นั้นเบาๆ
“สหาย ออกแรงหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นขี้ไคลบนตัวข้าไม่หลุดหรอก ข้าชื่อโอวหยางโพ่จิน เ้าเล่าชื่ออะไร อายุยังน้อย กลับมีสิทธิ์รับการคัดเลือกเข้าตระกูลอู่ตี้แล้ว ดูแล้วเ้าไม่เลวเลย”
“ฮ่าๆๆๆ นี่เป็ปีที่สามที่ข้าเข้ามาแล้ว ก่อนหน้านี้ได้เหรียญเจ็ดสีไปสองชิ้น ข้าเอามันไปขายข้างนอก แล้วท่องพเนจรอยู่สองปี หากครั้งนี้ยังเขาตระกูลอู่ตี้ไม่ได้อีก ข้าก็คงไม่มีสิทธิ์แล้วละ ปีหน้าข้าอายุสามสิบพอดี คงต้องใช้เหรียญเจ็ดสีนี้หล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว หาที่เล็กๆ ใช้ชีวิตเรียบง่ายไปจนตาย”
หลงเหยียนฟังเขาพูด ออกแรงที่ฝ่ามือมากขึ้น ทำให้ขี้ไคลบนตัวเขาหลุดไปมาก เห็นแล้วน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ
หลงเหยียนอดกลั้นไม่ให้บันดาลโทสะ “ข้าชื่อหลงเหยียน มาจากหมู่บ้านั พี่ใหญ่วางใจเถิด ครั้งนี้ท่านต้องเข้ารอบแน่”
ทว่ากลับนึกในใจ ‘หากคนอย่างเ้าหมอนี่ยังเข้ารอบ ก็แสดงว่าตระกูลอู่ตี้ไร้รสนิยมเกินไปแล้ว’
วันนี้ ตอนลงบันทึกการสมัคร ทุกคนต่างก็เห็นแล้วว่าหลงเหยียนมีพลังระดับชีพัขั้นที่แปด แม้ฝึกวิชาอสูร ถึงอย่างไรก็เป็อสูรระดับต่ำเกินไป อีกเพียงเล็กน้อยก็ถูกลั่วซางเขี่ยออกไปแล้ว โอวหยางโพ่จินรู้ว่าหลงเหยียนรู้สึกเสียใจ
“ข้าว่านะ หากข้าเป็เ้านะสหาย เมื่อไรที่พลังข้าเลื่อนขึ้นไปถึงขั้นที่เก้าค่อยมาใหม่ อย่างไรเสียเ้าก็ยังอายุน้อย ยังมีอนาคตยาวไกล เ้าไม่รู้หรอกว่าเวลาเข้าแข่งขัน ที่นั่นอันตรายมากเพียงใด หากพละกำลังไม่เพียงพอแล้วตายขึ้นมา มันไม่คุ้มค่ากันเลย”
ขณะที่พูดเขาก็หยิบขี้ไคลที่ใต้แขนหนีบแล้วเอามาดมตรงหน้า
หลงเหยียนเกือบอาเจียนอาหารชั้นดีที่เพิ่งกินเข้าไปแล้ว ทว่ากลับต้องแสดงออกเป็ปกติ
แล้วพูดกับเขาอย่างสุภาพ “พี่ใหญ่ งั้นท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ การแข่งขันทุกปีเป็อย่างไร?”
โอวหยางโพ่จินหยุดการกระทำของตนแล้วหันกลับมามองหลงเหยียน “เ้าอยากรู้หรือ เอาของมาก่อนสิ แล้วข้าจะบอกเ้า”
เมื่อพูดจบหลงเหยียนก็หัวเราะแห้งๆ ใช้มือถูหลัง หลงเหยียนเข้าใจว่าเขา้าเงิน
ทันใดนั้น หลงเหยียนก็ดูถูกเ้าหมอนี่ในใจ
ตนอุตส่าห์ใจดีถูหลังให้เขาตั้งนาน แค่ให้เล่าถึงเื่การแข่งขัน กลับขอเงินจากตน ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ
“หากไม่บอกงั้นก็ช่างเถอะ” หลงเหยียนหงุดหงิดเล็กน้อย
โอวหยางโพ่จินนึกไม่ถึงว่าหลงเหยียนมีพลังเพียงขั้นที่แปด กลับกล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจต่อหน้าเขาที่มีพลังขั้นที่เก้า เขาจึงโมโหทันที
ทว่าเพราะแช่อยู่ในน้ำจึงไม่เหมาะลงมือ ส่วนน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ได้ดูเป็กันเองเช่นเคย หน้าตาแลดูเกรี้ยวกราดขึ้นมา
“หลงเหยียน อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ การแข่งขันนั่นน่ะอันตรายมาก หากไม่มีข้า ไม่แน่เ้าอาจตายในนั้นอย่างอนาถก็ได้ เ้าได้รู้จากปากข้าแล้ว การตายของเ้าอาจเ็ปลดน้อยลงได้กระมัง”
โดยปกติคนเราจะอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ไม่รู้อยู่แล้ว โดยเฉพาะเวลาที่ใกล้เข้ามาถึงตัว หรือต้องเผชิญหน้ากับมันแล้ว ไม่แน่หากตนพลาดเื่เล็กๆ บางอย่างไป อาจทำให้ตนเลือกทางผิดไปทั้งชีวิต
หลงเหยียนหันไปมองเขาด้วยความหมดปัญญา “้าเงินเท่าไร ถึงจะเกริ่นให้ข้าได้บ้าง”
โอวหยางโพ่จินยื่นออกมาสองนิ้ว
“อะไรนะ สองร้อยตำลึง?”
โอวหยางโพ่จินส่ายหน้า “สองพันต่างหาก เสี่ยวหลงเหยียน เ้านึกว่าข้ากำลังขอค่าข้าวหรือไง นี่เป็การซื้อขายความเป็ความตายนะ”
หลงเหยียนยังเหลือแค่สามพันตำลึงเท่านั้น เ้าหมอนี้เปิดปาก้าสองพันตำลึง หลงเหยียนกลอกตาพร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
เขาวางแผนในใจไว้หมดแล้ว ‘ย่อมได้ ในเมื่อเ้าทำเช่นนี้กับข้า ก็อย่าโทษหากข้าลากเ้าเสีย ตัวข้าให้เกียรติเ้า เ้ากลับอยากหลอกใช้ข้า ท่านพ่อพูดถูก ออกจากบ้าน ข้าต้องระวังตัวจากทุกคน’
หลงเหยียนหยิบหนึ่งพันตำลึงออกมาวางไว้ตรงหน้าเขา
“พี่โอวหยาง เช่นนั้นข้าขอจ่ายหนึ่งพันตำลึงก่อน หากสิ่งที่เ้าพูดเป็เื่จริง ข้ารับรองว่าวันรุ่งขึ้นจะจ่ายอีกหนึ่งพัน”
โอวหยางโพ่จินสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จก็หันมายิ้ม
“ย่อมได้ หนึ่งพันก็หนึ่งพัน ทว่าเ้าจะเบี้ยวข้าไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลย”
“ขอรับๆ!” หลงเหยียนแสร้งแสดงออกเหมือนยอมศิโรราบเขา ทว่าในใจด่าทอเขาเป็หมื่นเป็พันรอบแล้ว
‘คนแบบนี้ แข็งแกร่งกว่าลั่วเฉิงไม่เท่าไรหรอก! ที่สำคัญ ลั่วเฉิงยังรู้จักอายบ้าง ส่วนเ้าหมอนี่น่าสมเพชนัก ไม่รู้จักอายบ้างเลยหรือ’
เมื่อเห็นเงินหนึ่งพันตำลึง โอวหยางโพ่จินก็เริ่มตาเป็ประกาย แล้วตบไหล่หลงเหยียน
“เ้ามาจากสถานที่เล็กๆ ดูไม่ออกจริงๆ ว่ามีเงินเยอะเช่นนี้ คิดว่าคงเป็นายน้อยที่มาจากตระกูลใหญ่โตสินะ คงไม่เคยเจอความลำบากมาก่อน ข้าจะบอกเ้านะ การแข่งขันของตระกูลอู่ตี้ในวันพรุ่งนี้อันตรายนัก”
“ข้าเข้าแข่งขันมาแล้วสองครั้ง ล้วนประหลาดเหมือนกันทุกครั้ง ปีก่อนหน้านั้น พวกเขาใช้ไม้มาสร้างหุ่นเชิด ส่วนปีก่อนก็ใช้เหล็กมาสร้าง ส่วนหุ่นเชิดที่พูดถึงก็คือวิธีการพิเศษของตระกูลอู่ตี้ บนตัวของหุ่นเชิดถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะ สามารถควบคุมให้พวกเขาใช้พลังได้ด้วย ทุกครั้ง จำนวนคนห้าสิบคนต้องถูกแยกจากกัน เข้าทางมืดเพียงลำพัง แล้วหุ่นเ่าั้ก็อยู่ข้างใน ด่านแรกคือการชิงหัวใจพวกมัน หัวใจของหุ่นเชิดนั่นละ ใครได้มากที่สุด ก็มีโอกาสสูงมากขึ้น จากนั้นก็เข้าสู่ด่านต่อไป”
“ส่วนปีนี้ คิดว่าก็คงเป็การทดสอบเกี่ยวกับหุ่นเชิดอีกกระมัง อย่าดูถูกหุ่นเชิดพวกนั้นเชียว เมื่อใดที่ไปถึงด่านสุดท้ายจะเจอาาหุ่นเชิดเฝ้าด่านสุดท้ายของการแข่งขัน หากไม่อยากพุ่งไปต่อ เช่นนั้นก็ส่งพลังเข้าไปในเหรียญเจ็ดสีที่ได้มา แล้วจะมีคนมาช่วยเ้าเอง”
หลงเหยียนพยักหน้า ข่าวที่ได้จากปากเขามีค่าหนึ่งพันตำลึง หลงเหยียนรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอกอย่างไรอย่างนั้น ตอนแรกคิดว่าการแข่งขันคือการต่อสู้หรือการเข้าป่าลึกอะไรเทือกนี้เสียอีก ที่แท้ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดไว้เลย จึงทำให้หลงเหยียนรู้สึกสมองว่างเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น เป็ไปไม่ได้เลยที่เขาจะเตรียมอะไรพร้อมล่วงหน้า
“พี่โอวหยาง ท่านรู้ระดับพลังของคนจากทั้งสี่สำนักนี้ไหม ในตระกูลอู่ตี้ ใครมีชื่อเสียงโด่งดังเป็พิเศษ?”
“ไอ้หนุ่ม ดูเหมือนเ้าจะไม่รู้จักตระกูลอู่ตี้เลยจริงๆ สำนักตงฟางแกร่งที่สุด สำนักซีเหมินอ่อนกว่าหน่อย หากเทียบกับสองสำนักนี้แล้ว สำนักหนานกงอ่อนยิ่งกว่า ทว่าจำนวนคนเขาเยอะ ในสี่สำนักนี้ล้วนมีคนของสำนักหนานกงทั้งนั้น เป็เหมือนกลุ่มลับของตระกูลอู่ตี้ หน้าที่ของพวกเขาคือการสืบข่าวรายงานหรือเป็การลอบสังหาร เป็เหมือนดวงตาของตระกูล ส่วนสำนักเป่ยเยี่ยนคือชั้นนอกของตระกูลอู่ตี้ มีหน้าที่จัดหาทรัพยากรและกิจการของทั้งสามมหาอำนาจ เป็สถานที่อุดมสมบูรณ์มาก คร่าวๆ ก็ประมาณนี้”
--------------------