ตอนที่ 4 เขาใหญ่มิอาจเคลื่อนย้าย แต่ก้อนหินไซร้ทยอยขนได้
คำประกาศกร้าวของหลิงซีดังก้องอยู่ในกระท่อมที่เงียบสงัด มันหนักแน่นและทรงพลังจนทำให้สองสามีภรรยาถึงกับพูดอะไรไม่ออก พวกเขามองหน้าลูกสาว คนที่เมื่อวานยังนอนซมรอความตายอยู่บนเตียง บัดนี้กลับกลายเป็ศูนย์กลางของความหวังทั้งหมดในครอบครัว
มู่เจิ้งเป็คนแรกที่ได้สติจากความตกตะลึง เขาส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว ความกังวลฉายชัดยิ่งกว่าความดีใจ "ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด! ซีเอ๋อร์ ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไป มันเปรียบดั่ง หยกในมือทารก มีแต่จะนำภัยมาให้! พรุ่งนี้เช้า พ่อจะเอามันกลับไปไว้ที่เดิม!"
"ท่านพ่อ!" หลิงซีเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยอำนาจที่ทำให้คนฟังต้องหยุดชะงัก "ท่านคิดว่าการเอามันไปคืนแล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิมหรือเ้าคะ? ท่านคิดว่า์ประทานโอกาสมาให้แล้วเราจะโยนมันทิ้งไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ? นี่ไม่ใช่ความเมตตาจากใคร แต่เป็โชคชะตาที่พวกเราไขว่คว้ามาได้เอง!"
นางหันไปมองมารดาที่ยังคงตัวสั่นด้วยความกลัว "ท่านแม่ ท่านอยากให้เฟยเอ๋อร์ต้องทนหิวโซไปจนโตหรือเ้าคะ? อยากเห็นท่านพ่อทำงานหนักจนร่างกายพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตาหรือ?"
คำพูดแต่ละคำของนางราวกับค้อนที่ทุบลงบนหัวใจของหลี่ซืออย่างจัง นางส่ายหน้าช้าๆ "แม่ไม่้า แต่แม่ก็กลัว แม่กลัวว่าจะสูญเสียลูกไป"
หลิงซีเดินเข้าไปกุมมือที่เย็นเฉียบของมารดาไว้แน่น "ข้ารู้เ้าค่ะ ข้ารู้ว่าพวกท่านกลัว" นางมองลึกเข้าไปในดวงตาของพ่อและแม่ "สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ก็เหมือนูเาทองคำลูกหนึ่ง หากเราแบกมันทั้งลูกเดินเข้าไปในเมือง ทุกคนก็จะมองเห็น และโจรป่าก็จะกรูกันเข้ามาปล้นฆ่าเราจนสิ้น นั่นคือสิ่งที่ท่านพ่อกังวลใช่หรือไม่เ้าคะ?"
มู่เจิ้งพยักหน้าอย่างหนักหน่วง นั่นคือภาพที่เขากำลังจินตนาการอยู่ไม่มีผิด
"แต่..." หลิงซีเว้นจังหวะ แววตาของนางเปล่งประกายแห่งปัญญา "ถ้าเราไม่แบกูเาทั้งลูกเล่าเ้าคะ? ถ้าเราแค่ สกัดหินทองคำก้อนเล็กๆ ออกมาจากูเาลูกนั้น แล้วนำมันไปขายทีละก้อน ทีละก้อน‘เขาใหญ่มิอาจเคลื่อนย้าย แต่ก้อนหินไซร้ทยอยขนได้’ ใครเล่าจะรู้ว่าเราเป็เ้าของูเาทองคำทั้งลูก?"
คำอุปมาของนางทำให้สองสามีภรรยาถึงกับนิ่งอึ้งไป สกัดหินทองคำก้อนเล็กๆ?
"ลูกหมายความว่าอย่างไร?" มู่เจิ้งถามด้วยความไม่เข้าใจ
หลิงซีชี้ไปที่เห็ดหลินจือเมฆม่วง "ของสิ่งนี้ พลังของมันมหาศาลเกินกว่าที่คนธรรมดาจะรับไหว หากกินเข้าไปทั้งหมดรวดเดียว ร่างกายอาจจะะเิได้ เราไม่จำเป็ต้องขายมันทั้งดอกเ้าค่ะ"
นางอธิบายแผนการที่คิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว "ขั้นแรก เราจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อฟื้นฟูร่างกายของพวกเราก่อน" นางหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมา บรรจงเฉือนส่วนรากฝอยที่เล็กที่สุดของเห็ดหลินจือออกมาเส้นหนึ่ง ขนาดของมันเล็กยิ่งกว่าเส้นด้ายเสียอีก "แค่ส่วนเล็กๆ เท่านี้ นำไปต้มกับน้ำ ก็เพียงพอที่จะบำรุงร่างกายของเราได้เป็เดือนแล้วเ้าค่ะ"
"ขั้นที่สอง เื่หาเงิน" นางหยิบรากสมุนไพร "ตี้หวง" ที่ขุดมาได้ตอนกลางวันออกมา "พรุ่งนี้ ข้าจะนำสมุนไพรพวกนี้ไปขายในเมือง มันอาจจะไม่ได้ราคามากมาย แต่ก็เป็เงินสะอาดที่อธิบายที่มาที่ไปได้ จะไม่มีใครสงสัยพวกเรา"
"และขั้นสุดท้าย เมื่อร่างกายของเราแข็งแรงดีแล้ว และเรามีเงินทุนเล็กๆ น้อยๆ จากการขายสมุนไพรธรรมดา ข้าจะนำรากฝอยของหลินจืออีกส่วนหนึ่ง ไปหาลู่ทางขายให้กับร้านยาที่เชื่อถือได้ในเมือง เราจะบอกว่าเป็สมุนไพรหายากที่บังเอิญเจอในป่าลึก เราจะไม่ขายในราคาที่สูงเกินไป แค่พอให้เราตั้งตัวได้ เราจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็อยู่ของเราอย่างช้าๆ จนถึงวันที่ไม่มีใครสามารถมากดขี่เราได้อีกต่อไป!"
ทุกถ้อยคำของหลิงซีเต็มไปด้วยความมั่นใจและการวางแผนที่เป็ระบบ มันไม่ใช่ความคิดเพ้อฝันของเด็กสาว แต่เป็กลยุทธ์ที่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่างรอบคอบ มู่เจิ้งและหลี่ซืออ้าปากค้าง พวกเขามองหน้าลูกสาวราวกับเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เป็ครั้งแรกในชีวิต
"ซีเอ๋อร์ เ้า" มู่เจิ้งพูดไม่ออก เขารู้สึกทั้งทึ่งและละอายใจ ทึ่งในสติปัญญาของลูกสาว และละอายใจในความขี้ขลาดของตนเอง
"ท่านพ่อ ท่านแม่ การเดินทางพันลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก ท่านจะยอมก้าวไปพร้อมกับข้าหรือไม่เ้าคะ?" หลิงซีถามเสียงเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยการรอคอย
หลี่ซือเป็คนแรกที่พยักหน้า น้ำตาของนางแปรเปลี่ยนจากความกลัวเป็ความซาบซึ้งใจ นางกุมมือลูกสาวแน่น "แม่ แม่เชื่อเ้าลูก"
มู่เจิ้งมองหน้าภรรยา มองดวงตาที่มุ่งมั่นของลูกสาว และมองอนาคตอันมืดมนที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ในที่สุด เขาก็พยักหน้าอย่างช้าๆ แต่หนักแน่น "พ่อ จะทำตามที่เ้าบอก"
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิงซีอย่างแท้จริง "ดีเ้าค่ะ! เช่นนั้นมาเริ่มก้าวแรกของเรากันเลย"
นางนำรากฝอยเล็กๆ นั้นไปใส่ในกาต้มน้ำ ต้มด้วยไฟอ่อนๆ จนน้ำในกากลายเป็สีเหลืองอำพันอ่อนๆ และส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่วทั้งกระท่อม นางรินน้ำนั้นใส่ถ้วยสามใบ ก่อนจะประคองถ้วยหนึ่งไปหามู่เฟยที่กำลังหลับอยู่
นางค่อยๆ ป้อนน้ำนั้นให้น้องชายทีละนิดอย่างอ่อนโยน มู่เฟยที่อยู่ในห้วงนิทราขยับปากรับของเหลวอุ่นๆ นั้นเข้าไปโดยสัญชาตญาณ จากนั้นนางจึงยื่นถ้วยที่เหลือให้พ่อกับแม่
"ดื่มเถอะเ้าค่ะ"
มู่เจิ้งกับหลี่ซือมองหน้ากัน ก่อนจะยกถ้วยขึ้นดื่มอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันทีที่น้ำสมุนไพรไหลผ่านลำคอ ความรู้สึกอุ่นซ่านก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานหลายปี ราวกับถูกชะล้างออกไปในพริบตา ความปวดเมื่อยตามร่างกายบรรเทาลงอย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขารู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน!
"นี่มัน" มู่เจิ้งมองมือของตัวเองด้วยความตกตะลึง
"วิเศษจริงๆ" หลี่ซือพึมพำ ดวงตาที่เคยพร่ามัวของนางรู้สึกสว่างและแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย
หลิงซีดื่มส่วนของตนเป็คนสุดท้าย พลังชีวิตอันบริสุทธิ์ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย ซ่อมแซมความบอบช้ำภายในจนหมดสิ้น นางรู้สึกได้ว่าร่างกายนี้กำลังจะกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง ไม่สิต้องแข็งแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ!
คืนนั้น เป็คืนแรกที่ทั้งสามคนนอนหลับสนิทอย่างแท้จริง ปราศจากฝันร้ายและความกังวลใดๆ
ในเวลาเดียวกัน ณ เรือนใหญ่ของตระกูลมู่
หวังซื่อ ป้าสะใภ้ใหญ่ กำลังนวดบ่าให้ย่าจางที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ไม้ชั้นดี
"ท่านแม่เ้าคะ วันนี้ข้าเห็นยัยเด็กหลิงซีนั่นเข้าป่าไปทั้งวัน ไม่รู้ไปทำอะไรของมัน" นางกล่าวขึ้นมาลอยๆ
ย่าจางปรือตาขึ้นเล็กน้อย "ก็ปล่อยมันไปสิ อย่างน้อยก็ประหยัดข้าวไปได้มื้อหนึ่ง"
"แต่ข้าสังเกตดู เหมือนมันจะหายดีแล้ว และดูแข็งแรงขึ้นนะเ้าคะ ไม่เหมือนคนป่วยใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย" หวังซื่อกล่าวต่อ "ข้าแค่กลัวว่าพวกบ้านรองจะแอบซุกซ่อนของดีๆ ไว้กินกันเองน่ะสิเ้าคะ ท่านแม่ก็รู้ ‘อูฐผอมแห้งตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า’ อย่างไรเสียพวกนั้นก็เป็สายเืตระกูลมู่ อาจจะมีของเก่าเก็บจากท่านปู่ทิ้งไว้ให้บ้างก็ได้"
ย่าจางนิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาฉายแววครุ่นคิด "เ้าพูดก็มีเหตุผล พรุ่งนี้เช้าเ้าลองไปสืบๆ ดูหน่อยแล้วกัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้รีบมาบอกข้า"
"เ้าค่ะท่านแม่!" หวังซื่อรับคำด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์
พวกนางหารู้ไม่ว่า ในกระท่อมซอมซ่อที่พวกนางดูแคลนนั้น บัดนี้ได้มี ูเาทองคำ ลูกมหึมาซ่อนตัวอยู่ และเ้าของูเาลูกนั้น ก็กำลังจะเริ่ม ขนหินก้อนแรก ออกมาท้าทายอำนาจของพวกนางแล้ว
รุ่งเช้าของอีกวัน...
หลิงซีตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน นางรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เบาสบายและเต็มไปด้วยพลัง เมื่อเดินออกมานอกห้องก็พบว่าพ่อกับแม่ตื่นก่อนแล้ว และกำลังช่วยกันทำงานบ้านอย่างแข็งขัน ใบหน้าของทั้งสองดูมีเืฝาดและรอยยิ้มประดับอยู่จางๆ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะ"
"อรุณสวัสดิ์ ซีเอ๋อร์" มู่เจิ้งหันมายิ้มให้ "พ่อรู้สึกเหมือนตัวเองหนุ่มขึ้นสิบปีเลยทีเดียว!"
"แม่ก็เหมือนกันจ้ะ วันนี้แม่จะรับงานปักผ้ามาเพิ่มอีกหน่อย" หลี่ซือกล่าวอย่างมีความหวัง
หลิงซีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "ดีเ้าค่ะ เช่นนั้น วันนี้ข้าจะเข้าเมืองเพื่อนำตี้หวงไปขาย และจะซื้อข้าวสารกับเนื้อหมูติดมือกลับมาด้วย"
คำว่าเนื้อหมู ทำให้ดวงตาของทุกคนเป็ประกายขึ้นมาทันที
นางจัดแจงนำสมุนไพรตี้หวงสามรากใส่ลงในตะกร้า คลุมด้วยผ้าเก่าๆ แล้วเตรียมตัวออกเดินทาง ก่อนจะไปนางไม่ลืมที่จะหันมากำชับพ่อกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามบอกเื่หลินจือกับใครเป็อันขาด และหากมีใครถามเื่เงิน ให้บอกไปว่ามาจากสมุนไพรที่ข้าหามาได้เท่านั้น จำไว้ให้ดีนะเ้าคะ" นางกำชับพ่อกับแม่เพราะนางรู้ว่าท่านทั้งสองเป็คนซื่อ อาจถูกหลอกถามได้
"พ่อกับแม่เข้าใจแล้ว" ทั้งสองรับคำอย่างหนักแน่น
หลิงซีจึงพยักหน้าแล้วเดินเท้าออกจากกระท่อมไป มุ่งหน้าสู่ เมืองชิงสุ่ย ที่อยู่ห่างออกไปราวสิบลี้...
ก้าวแรกของการฟื้นฟูร่างกายได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ก้าวต่อไปที่อันตรายและท้าทายยิ่งกว่า คือการก้าวเข้าไปในเมืองที่ซึ่งใจคนนั้นลึกลับดั่งมหาสมุทร ที่ซึ่งหมาป่ามักซ่อนตัวอยู่หลังใบหน้าที่ยิ้มแย้ม การเดินทางเพื่อเปลี่ยนหญ้าให้กลายเป็ เงิน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว