บัดซบ!!!
หร่านซวี่จือตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขารู้สึกว่าสะโพกของตนเองแทบฉีกอยู่แล้ว
เมื่อลืมตาขึ้น ก็ไม่มีใครอยู่ข้างกายแล้ว ราวกับถูกผีอำอย่างไรอย่างนั้น ให้ตายเถอะ
ร่างกายของร่างเดิมเป็โฮสต์ที่ให้บริการเื่แบบนี้ไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมถึงยังปรับตัวไม่ได้?
หร่านซวี่จือเกิดความสงสัยลึกๆ ในใจ พลางใช้สองมือยันหมอนแล้วกลิ้งลงจากเตียง ก็พอดีกับที่ก้นกระแทกกับพื้น เล่นเอาเกือบสลบไปอีกรอบ
“คุณชาย? ”
ด้านหลังมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น หร่านซวี่จือพยายามออกแรงหันศีรษะไป ซึ่งเสียงนั้นคืออาม๋ากับอาป้า
“อาม๋า อาป้า พวกนายมาได้เวลาพอดีเลย รีบพยุงฉันขึ้นมาหน่อย” หร่านซวี่จือยื่นมือไปขอความช่วยเหลือ คนรับใช้ทั้งสองสบตากัน ท่าทางดีใจแล้วรีบวิ่งมาพยุงหร่านซวี่จือขึ้นด้วยความระมัดระวัง
“คุณชาย เมื่อคืนคุณกับคุณชายเฉินเป็อย่างไรบ้าง? ” อาม๋าถาม
หร่านซวี่จือแยกฟันแล้วพูด “ก็งั้นๆ ”
“เขาไม่ได้ทำร้ายคุณใช่ไหม? ” อาป้ามองดูสีหน้าซีดขาวของหร่านซวี่จือด้วยความเป็ห่วง
“ไม่มี” ทว่าก็ไม่ได้ต่างจากทำร้ายสักเท่าไหร่
นี่มันการปฏิบัติตัวบ้าบออะไรกัน เมะเ็าได้แล้วทิ้งอย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่ใช่ว่าฉันชอบนาย นายก็คงโดนถีบกระเด็นขึ้นฟ้าไปแล้ว
หร่านซวี่จือบ่นอุบอิบในใจ
ทำไมลีลาของเฉินหนานกับปิงโหยวจี้ถึงต่างกันมากเพียงนี้ แม้ว่าปิงโหยวจี้จะมีตัวช่วยเพิ่มพลังจากความเป็อัลฟ่า แต่เฉินหนานเป็พวกเ้าพ่อนักเลงที่มีวังหลังสามพันคนไม่ใช่หรือ? ทำไมลีลาถึงได้แย่เพียงนี้?
หรือว่าพวกฟู่หลิง...
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หร่านซวี่จือก็ส่ายหน้าเพราะรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป ก็เลยยังไม่คิดฟุ้งซ่านดีกว่า
หร่านซวี่จือถูกพาตัวมาปู้ยี่ปุ้ยำนอกคฤหาสน์หนึ่งยก เมื่อกลับมา พวกชวนอวิ๋นก็คอยมองหร่านซวี่จือด้วยท่าทีมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “เฮอะ ใครกันนะช่างไม่รู้จักควบคุมมือของตนเองแล้วไปยุ่งกับของของคนอื่น ได้ชิมความขมขื่นสมใจแล้วสินะ? ”
หร่านซวี่จือเงยหน้าก็เห็นฟู่หลิงที่ยืนอยู่บนชั้นสอง ท่าทางของเขาเ็าเป็อย่างมาก สายตาที่มองหร่านซวี่จือนั้นนิ่งเรียบเหมือนไม่ได้มีความเห็นอะไรเื่ที่ตนเองแตะต้องภาพวาดของเขา แต่หร่านซวี่จือรู้ว่า ฟู่หลิงคือนักวาดรูปชื่อดังของเมืองซีที่รักและปกป้องผลงานของตนเองมาก หากจะบอกว่าไม่สนใจคงไม่มีทางเป็ไปได้
หร่านซวี่จือเดินตุปัดตุเป๋ ดังนั้น ทุกคนก็เลยนึกว่าเขาถูกเฉินหนานทำร้าย
เฉินหนานไปพักข้างนอกสองวัน และด้วยความเร่งรีบ เขาจึงไม่ได้ฝากคำพูดอะไรทิ้งไว้ให้หร่านซวี่จือ
หร่านซวี่จือเองก็้าจะอยู่ที่นี่ให้ครบหนึ่งปีอย่างสงบสุข ส่วนความปรารถนาของเฉินหนานก็คงต้องหาทางสนิทสนมกับคนอื่นแล้วหาโอกาสสืบถามในภายหลัง
ที่ห้องรับแขกใน่กลางวัน หร่านซวี่จืออ่านหนังสือพิมพ์พร้อมกับทานข้าวไปด้วย เขายัดอาหารจนเต็มปาก จากนั้นฟู่หลิงก็เดินมาแล้วนั่งลงตรงหน้าหร่านซวี่จือ
หร่านซวี่จือตกตะลึงเล็กน้อย เพราะว่าฟู่หลิงนั้นเป็ผู้ที่หยิ่งยโสมาตลอดเพราะอาศัยว่าตนเองได้รับความเอ็นดู เขาจึงไม่เคยแม้แต่จะมองหร่านซวี่จือตรงๆ ด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับมานั่งใกล้ตนเองถึงเพียงนี้เลยหรือ?
“อยู่มาหลายอาทิตย์แล้ว เริ่มชินหรือยัง? ” ฟู่หลิงทานข้าวด้วยท่วงท่าที่สง่า ซึ่งพอตัดภาพมาที่หร่านซวี่จือนั้นก็เป็ภาพที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“อือ ก็ดี” หร่านซวี่จือเริ่มเดาในใจได้ว่าฟู่หลิงน่าจะมีแผนการ
“เฮอะ” ฟู่หลิงหัวเราะเยือกเย็นแล้วเอ่ยอย่างมีนัย “แต่ว่านะ สถานที่บางแห่งก็ย่อมไม่เหมาะกับคนบางประเภท สำเหนียกไว้บ้างก็ดี ไม่อย่างนั้นคงก่อเกิดเป็ผลลัพธ์ที่ไม่จำเป็”
“มีเหตุผล” หร่านซวี่จือพยักหน้า
เมื่อเห็นหร่านซวี่จือยังคงอ่านหนังสือพิมพ์ของตนเองเหมือนไม่มีอะไร สายตาของฟู่หลิงก็ยิ่งเ็า “คนบางคนก็จำเป็ต้องรู้สถานะตนเอง”
“ใช่เลย” หร่านซวี่จือเอ่ยชมเชย “ที่นี่ดีมากเลย ถ้าไม่อยู่ให้คุ้ม ถ้ากลับไปคงเสียดายแย่! ”
เหมือนว่าฟู่หลิงจะสำลักไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็วางถ้วยข้าวลงแล้วเดินขึ้นห้องไป
หร่านซวี่จือทำเสียงฮึ่มในใจ
ยังอยากมาพูดแซะคนอื่น ใครใช้ให้ร่างเดิมไม่มียางอายล่ะ เื่แกล้งโง่แบบนี้นี่มันน่าสนุกจริงๆ
หร่านซวี่จือ: “เฉินหนานต้องเป็ของฉัน”
ระบบ: “คุณรันสุดยอดไปเลยครับ”
หร่านซวี่จือ: “เขาจะกลับมาวันมะรืนไม่ใช่หรือ? เราต้องเตรียมตัวกันหน่อย จะได้ไปแก่งแย่งกับพวกโง่ที่เหลือได้”
คนโง่ที่หร่านซวี่จือพูดไม่ได้หมายรวมถึงอิงซางเพราะอิงซางเป็คนที่มีธรรมะที่สุดในบรรดาวังหลังทั้งหมด เฉินหนานเองก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างตามใจ ทุกครั้งที่เฉินหนานกลับมา ทุกคนต่างก็จะแต่งตัวให้ตนเองดูดีที่สุดเพื่อจะได้อยู่กับเฉินหนานได้นานหน่อย
ก่อนหน้านี้หร่านซวี่จือไม่ได้มีสถานะอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปเข้าร่วม แต่เมื่อผสมผสานเื่ราวของเฉินหนานกับปิงโหยวจี้แล้ว ในสมองก็เริ่มสับสนเล็กน้อย พอหลังจากที่เริ่มชัดเจน ก็ทำให้มีทิศทางที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ
โชคดีที่ร่างเดิมก็หน้าตาคล้ายหร่านซวี่จือ ดังนั้นเื่หน้าตาจึงไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่ต้องจัดการเื่การแต่งกายอีกสักเล็กน้อยก็พอ
ทุกครั้งที่เฉินหนานกลับมาสิ่งแรกที่ทำก็คือไปเยี่ยมเ้าหิมะ ฟู่หลิงก็อาศัยจุดนี้ ไปให้อาหารเ้าหิมะบ่อยๆ เพื่อแย่งโอกาสดีๆ ไว้ก่อน
หร่านซวี่จือนั้นพิงตัวกับขอบประตูของศาลา ที่นิ้วมือของเขานั้นแกว่งกุญแจไปมา
เ้าหิมะได้กลิ่นอันคุ้นเคย หูสองข้างก็ตั้งโด่ขึ้นมาแล้วก็มองไปทิศทางของหร่านซวี่จืออย่างระแวง ทันใดนั้นก็ทั้งะโทั้งเห่าอยู่ในกรงอย่างคึกคะนอง
“เงียบๆ หน่อย! ” หร่านซวี่จือทำหน้าดุ ทำท่าทางเพื่อขู่ให้มันกลัว
อีกไม่กี่นาทีฟู่หลิงกับเฉินหนานก็จะมาแล้ว หร่านซวี่จือจึงต้องทำเวลา
หลังจากใช้กุญแจเปิดกรงขังแล้ว เ้าหิมะก็พุ่งตัวออกมาราวกับลูกธนู หร่านซวี่จือรีบหันหลังแล้ววิ่ง แทบจะเป็จังหวะเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงเดือดร้อนใจของฟู่หลิงแล้วหัวเราะในใจ
ซื่อบื้อ ยังคิดแย่งกับฉันงั้นหรือ!
การเคลื่อนไหวของหร่านซวี่จือนั้นเป็การะโข้ามสิ่งกีดขวางทุกอย่างอย่างคล่องแคล่วเหมือนกำลังวิ่งแข่งปาร์กัวร์ [1] แล้วพุ่งไปถึงห้องของตนเอง จากนั้นก็หยิบตะกร้อครอบสุนัขในลิ้นชักออกมา จากนั้นก็สวมไว้ที่ปากของเ้าหิมะที่ตามมาติดๆ ได้พอดิบพอดี
“โฮ่งๆ ” เ้าหิมะอ้าปากไม่ได้เพราะถูกตะกร้อสวมครอบปากไว้ มันจึงใช้ศีรษะมุดเข้าตรงขาของหร่านซวี่จือ
หร่านซวี่จือกอดศีรษะของมันไว้ด้วยท่าทางเคร่งเครียด “ฟังนะ เ้าหมาโง่ อีกเดี๋ยวถ้าเฉินหนานมา แกอย่าก่อกวน ไม่อย่างนั้นต่อไปฉันจะไม่เล่นกับแกอีกแล้ว”
เ้าหิมะกะพริบตาสีดำขลับของมัน ไม่รู้ว่านั่นหมายถึงการตกลงหรือไม่
หร่านซวี่จือเห็นว่ามันไม่ได้ตะเกียกตะกายไปทั่ว เขาจึงค่อยๆ แกะที่ครอบปากให้เ้าหิมะ
เพียงเสี้ยววิ เ้าหิมะก็กัดเข้าที่ชุดนอนของหร่านซวี่จือ ได้ยินเพียงเสียง “แควก” เงินเดือนเดือนที่สามของหร่านซวี่จือเป็อันหมดกัน
หร่านซวี่จือยกธงขาว
เ้าหิมะกัดชุดนอนของหร่านซวี่จือไม่ยอมปล่อยราวกับบ้าคลั่ง หร่านซวี่จือสู้และกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับมันจนเหงื่อออกเต็มศีรษะ จากนั้นก็ระลึกได้ว่าตนเองนั้นโง่เพียงใดที่จะอาศัยเ้าหิมะเพื่อทำภารกิจให้เสร็จ
หร่านซวี่จือถูกเ้าหิมะคร่อมอยู่บนเตียง จนกระทั่งมีคนมาเปิดประตูก็ไม่รู้เื่
เฉินหนานเงยศีรษะขึ้น ก็เห็นทั้งคนและหมากำลังนอนทับกันด้วยท่าทางแปลกประหลาด
เสื้อนอนของหร่านซวี่จือนั้นหล่นอยู่บนพื้นในสภาพขาดรุ่งริ่ง หน้าอกมีร่องรอยเปียกปอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาเป็ประกาย ไม่รู้ว่าโมโหหรือว่าเพราะอะไร
ตรงต้นขาด้านในมีร่องรอยสีแดงที่ชัดเจน ดูเหมือนจะเป็รอยข่วนที่เ้าหิมะหลงเหลือไว้แต่ก็มีกลิ่นอายบรรยากาศที่ดูเย้ายวนใจเล็กน้อย
สายตาของเฉินหนานถึงกับมืดมนอย่างไม่รู้ตัว
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] Parkour หมายความว่า ปาร์กัวร์ ซึ่งคือกีฬาที่ใช้ความสามารถในการวิ่งะโปีนป่ายข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่เป็สิ่งก่อสร้างหรือที่มีอยู่ตามธรรมชาติอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ