พวกเฮยชีวิ่งตะบึงเข้าไปอย่างกล้าหาญ ท่าทางนั้นรวดเร็วจนเสือไม่อาจต้านทาน
คิดไม่ถึงว่าความเร็วของพวกเฮยชีจะรวดเร็วปานนี้ เมื่อได้ยินเสียงจากทางด้านหลัง มู่จื่อหลิงก็ชะงักฝีเท้าลงทันที
เพราะเมื่อครู่นี้วิ่งเร็วจนเกินไป นางจึงลูบหน้าอกหอบหายใจอย่างแรง
เพียงครู่เดียวที่ลมหายใจกลับมาเป็ปกติ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกทึ่งกับความรวดเร็วปานเหาะและท่าทีที่กล้าหาญของพวกเฮยชีไป พลางรู้สึกทั้งฉิวทั้งขันกับท่าทางดุดันที่ปกป้องตัวนางเองด้วยชีวิตของพวกเฮยชี!
ผู้ฝึกวรยุทธ์ประเภทนี้เอาแต่พึ่งพาพละกำลังอันแข็งแกร่งของตนเองจริงๆ ถ้าเป็สมองเห็นได้ชัดว่าคงไม่พอใช้
ตอนนี้กระตุกหนวดเสือทั้งสี่ตัวได้สำเร็จแล้ว คิดจะถอยคงมิอาจทำได้ พวกเขาจึงได้แต่อาศัยการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น
สี่คนปะทะสี่สัตว์ป่า สนามรบสนามนี้เมื่อต่อสู้ขึ้นมา คงได้รับาเ็ไม่มากก็น้อย
แต่ขอแค่ไม่มีพวกเสือมาอีก สุดท้ายชัยชนะก็ยังตกเป็ของพวกเขาอย่างสมบูรณ์
ยามนี้คมกระบี่ของพวกเฮยชีทาผงพิษไว้แล้ว ขอเพียงแทงไปที่เสือแม้แต่น้อย พวกมันก็จะไม่มีเรี่ยวแรงโต้กลับแล้ว
ในใจมู่จื่อหลิงจึงมิค่อยกังวลมากนัก และต่อให้นางอยู่ต่อ ก็ช่วยเหลือพวกเฮยชีไม่ได้ แล้วยังอาจจะถ่วงแข้งถ่วงขาอีกต่างหาก
ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลที่สุดคือเสียงร้องใสกังวานเมื่อครู่นี้ ติงติงเป็คนส่งเสียงดังนั้นออกมา
ฝั่งเฮยลิ่วเกิดเื่ใดขึ้นกันแน่?
พยัคฆ์สี่ตัวตรงหน้าส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เสียงดังสนั่นจนหูแทบหนวก สั่นะเืไปถึงใบไม้บนต้นไม้โดยรอบ
เป็ไปได้ที่เสือจะบุกเข้ามาได้ตลอด มู่จื่อหลิงจึงไม่คิดมากอีก สั่งเสียงดังว่า “พวกเ้าระวังด้วย ข้าจะไปดูพวกเฮยลิ่วว่าเกิดเื่ใดขึ้น”
หลังสิ้นสุดเสียงพูดของมู่จื่อหลิง พยัคฆ์ทั้งสี่ก็จู่โจมพวกเฮยชีในทันที!
“กรร”
ในเวลาเดียวกัน พวกเฮยชีก็ยกกระบี่คมกริบในมือขึ้น บุกเข้าไปพร้อมกับจิตสังหาร
มู่จื่อหลิงเพียงชำเลืองมอง แล้วหมุนตัววิ่งแยกตัวไปอย่างรวดเร็ว
-
มู่จื่อหลิงหอบหายใจวิ่งไปบริเวณที่พวกเฮยลิ่วอยู่
ยามนี้เฮยลิ่วทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างหมดสภาพ มือข้างหนึ่งกุมลำคอ ริมฝีปากสีดำคล้ำ เหงื่อเย็นชโลมกาย อ่อนแรงจนสามารถล้มไปได้ตลอดเวลา
และติงติงซุกอยู่ข้างกายเขาอย่างขลาดกลัว ร้องไห้สะอึกสะอื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ติงติงเห็นมู่จื่อหลิงมา ก็ยันกายลุกขึ้นโผเข้าไปในอ้อมแขนนางทันที “พี่สาว ข้ากลัว มีงู มีงู”
“ไม่ต้องกลัว” มู่จื่อหลิงตบบ่านางอย่างปลอบประโลม ปล่อยนางออก คุกเข่าถามอย่างเป็ห่วง “เฮยลิ่ว เกิดอันใดขึ้น? เ้าถูกพิษ?”
เฮยลิ่วเอามือที่กุมลำคอออก พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “หวางเฟย ข้าน้อยถูกอสรพิษกัด”
“งู?” มู่จื่อหลิงมองไปที่ลำคอของเฮยลิ่ว มีจุดที่เป็สีเขียวเข้มจนออกดำบริเวณลำคอของเขา ปากแผลยังมีโลหิตสีดำไหลออกมาไม่หยุด
มู่จื่อหลิงเริ่มใช้ระบบซิงเฉินตรวจสอบทันที
ทว่า ผลการตรวจทำให้นางสงสัยนัก
ระบบซิงเฉินตรวจสอบพบว่าไม่เพียงแค่เฮยลิ่วเท่านั้นที่มีพิษ บนตัวติงติงก็มีพิษ แล้วยังเหมือนกับพิษของงู
สิ่งสำคัญที่สุดคือเฮยลิ่วถูกพิษเข้าจริงๆ และพิษบนตัวของติงติงนั้น...
ก้นบึ้งหัวใจมู่จื่อหลิงบังเกิดข้อสงสัยสายหนึ่ง ในใจพอคาดเดาบางสิ่งได้ลางๆ
เหลือเพียง...
สีหน้ามู่จื่อหลิงยังคงเป็เช่นเดิม ผ่อนลมหายใจเบาๆ ถามเฮยลิ่วอย่างห่วงใย “ข้าก็ดูไม่ออกว่าเป็งูใดกัด เ้าถูกกัดได้อย่างไร เห็นหรือไม่ว่าเป็งูใด?”
“ตอนนั้นข้าน้อยอุ้มติงติงพิงอยู่ที่ต้นไม้ เป็นางที่เห็นว่าบนต้นไม้มีงูจึงร้องออกมาเสียงดัง ข้าน้อยก็ถูกงูกัด จากนั้นงูก็เลื้อยหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว” เฮยลิ่วหอบหายใจอย่างอ่อนแรง เหงื่อเย็นโทรมกาย
“ติงติงเห็นเข้า?” มู่จื่อหลิงลูบคาง แสร้งทำทีสงสัย
นางยืนขึ้น ก้มตัวลงมา สองมือวางทาบบนบ่าของติงติง น้ำเสียงสนิทสนม “ติงติงเ้าเห็นแล้ว สามารถบอกพี่สาวได้หรือไม่ว่างูมีรูปร่างเช่นใด?”
“งู...งูยาวมาก ยาวขนาดนี้” ติงติงสีหน้าไร้เดียงสา สองแขนอ้าออกทำท่าประกอบ น้ำเสียงดูเหมือนจะยังมีความกลัวอยู่เล็กน้อย
ั์ตามู่จื่อหลิงทอประกายเย็นเยียบแล้วหายไปทันที
เด็กคนนี้มีปัญหาจริงดังคาด!
“ใช่หรือ? ยาวขนาดนี้หรือ?” มู่จื่อหลิงก็ทำท่าทางประกอบตามไปด้วย แย้มยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นงดงามน่าหลงใหลราวกับดอกถานฮวายามค่ำคืน
“อื้ม พี่สาว ข้ากลัวงูนั่น” ติงติงผงกศีรษะ กระซิบเสียงเบา เตรียมซุกเข้าไปในอ้อมกอดมู่จื่อหลิง
“แต่...เ้าแน่ใจนะว่างูมิได้ยาวเท่านี้?” มู่จื่อหลิงก้าวถอยหลังหลบไปหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นห่างกันประมาณสามชุ่นประกอบ ลากเสียงยาวถาม
“พี่สาว ไหนเลยจะมีงูเล็กเช่นนั้น เป็ลูกงูน้อยหรือ?” ติงติงมิได้ไม่พอใจเพราะมู่จื่อหลิงหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย สีหน้างงงวย
เฮยลิ่วสับสนมึนงง ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ หวางเฟยกำลังทำสิ่งใด?
มู่จื่อหลิงสองแขนกอดอก ถามกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “จะไม่มีได้อย่างไร งูเขียวพิษก็ยาวเท่านี้มิใช่หรือ?”
“งูเขียวพิษ? พี่สาว งูเขียวพิษยาวเท่านี้จริงๆ หรือ? ข้าเคยเห็นเพียงแค่ไส้เดือนที่มีขนาดเล็กเพียงนี้” ติงติงกะพริบตาอย่างไร้เดียงสาถามกลับ
“งูเขียวพิษยาวเท่าใดเ้าไม่รู้เหรอ?” มู่จื่อหลิงแย้มยิ้มขณะถาม รอยยิ้มนั้นอ่อนหวานราวกับดอกไม้
สีหน้าของติงติงงงงวย ส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ
แสร้งไร้เดียงสา แสร้งงงงวย?
มู่จื่อหลิงยิ้มเย็นในใจ เ้ามีเวลาว่างมาเสแสร้ง แต่พี่สาวไม่มีเวลาเสแสร้งเป็เพื่อนเ้า
“พูด เ้าเป็ใครกันแน่?” สีหน้าของมู่จื่อหลิงเย็นจนเป็น้ำแข็ง เอนตัวเข้าไปใกล้ จับข้อมือเล็กที่ผอมบางของติงติงแน่น
“ฮือๆ...พี่สาว ท่านทำให้ข้าเจ็บนะ ข้าคือติงติงอย่างไรเล่า!” ติงติงน้ำตาไหลพรากโดยพลัน ดูเหมือนเจ็บจริงๆ มือน้อยสั่นเทาอย่างอดไม่อยู่
เสแสร้ง เสแสร้งต่อไปอีก
คนที่ทำจากน้ำ น้ำตายังไหลไม่เร็วเท่านาง ละครเศร้าโศกนี้แสดงสมจริง เหลือเชื่อนัก!
“ใช่หรือ? เช่นนั้นเ้าบอกพี่สาว งูเขียวพิษบนตัวเ้าในยามนี้มีมาั้แ่เมื่อใด แล้วพี่สาวจะปล่อยเ้า” มู่จื่อหลิงยิ้มบางเบา ั์ตากลับแผ่ไอเย็นเยียบ เพิ่มแรงในมือขึ้นไปอีกหลายส่วน
ทันทีที่คำพูดออกมา ใบหน้าที่น้อยเนื้อต่ำใจมาแต่เดิมของติงติงก็เปลี่ยนไป ดวงหน้าเล็กตึงเครียด ดวงตาดำขลับใสกระจ่างทอประกายเ็าตรงข้ามกับอายุ ความเป็เด็กหายไปแล้ว
ริมฝีปากมู่จื่อหลิงยกขึ้น มุมปากโค้งเป็รอยยิ้มที่เหมือนเสียดสี “เป็อย่างไร? มือไม่เจ็บแล้ว?”
ความเห็นอกเห็นใจที่มากไปไม่ใช่เื่ดีจริงๆ ด้วย
ทักษะการแสดงของเด็กคนนี้จะสูงส่งเกินไปแล้ว เป็ผู้มีฝีมือในหมู่ผู้มีฝีมือ ทำให้นางต้องนับถือนัก
เพียงแต่นางสงสัยนัก เหตุใดติงติงต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย เลือกวิธีล่อเสือ รอพวกเขาไปช่วย? หรือว่านางไปเจอเสือเข้าจริงๆ?
ยังมียามที่พวกเขาพบติงติง ก็มิได้ค้นพบแม้แต่น้อยว่าบนตัวมีความผิดปกติ เหตุใดยามนี้บนตัวติงติงจึงมีงูเขียวพิษได้กัน?
งูเขียวพิษปรากฏขึ้นอย่างไรกันแน่?
“หวางเฟย นางคือ...” เฮยลิ่วพลันเข้าใจขึ้นมา ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยและร้อนใจ
เด็กคนนี้เล่นละครดีนัก! หลอกจนพวกเขาหัวหมุนไปทั้งกลุ่ม ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“เฮยลิ่ว เ้าอย่าเพิ่งพูด หากรอพิษงูเข้าสู่หัวใจ ข้าก็ช่วยเ้าไม่ได้เช่นกัน” มู่จื่อหลิงกวาดสายตาผ่านเฮยลิ่วอย่างเฉยเมย
“จุ๊ๆ ฉีหวางเฟยร้ายกาจจริงๆ จับได้รวดเร็วเพียงนี้ แต่เ้ารู้ได้อย่างไรว่าบนตัวข้ามีงูเขียวพิษ?” ติงติงสีหน้าเคร่งขรึม ส่งเสียงจุ๊ๆ พลางส่ายหัว ไร้ซึ่งความหวาดหวั่นจากการถูกจับได้อย่างสิ้นเชิง
นางลอบประหลาดใจ นางคิดเป็พันเป็หมื่น นางคาดเดาได้ว่ามู่จื่อหลิงจะรู้ว่างูเขียวพิษกัดเฮยลิ่ว แต่ไม่คิดว่ามู่จื่อหลิงจะรู้ว่าที่ตัวนางมีงูเขียวพิษอยู่
แผนซ้อนแผนของมู่จื่อหลิงนี้สามารถบีบต้อนนางเข้าไปได้
แม้จะไม่ได้คาดเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้หนีออกไปจากแผนการของนาง ต่อให้มู่จื่อหลิงรู้แล้วจะเป็อย่างไร?
“เหอะ! ก็แค่งูพิษตัวหนึ่งเท่านั้น เปิ่นหวางเฟยอยากจะรู้มีอันใดยากกัน” มู่จื่อหลิงโค้งริมฝีปากขึ้น หัวเราะเบาๆ ออกมา
นางชะงักไป ถามอย่างสงสัย “แต่ว่า เปิ่นหวางเฟยกลับสงสัยยิ่งนัก งูเขียวพิษบนตัวเ้ามาได้อย่างไรกัน?”
“เหตุใดเ้าจึงไม่แปลกใจว่าพวกเ้าหกคน ยามนี้สี่คนกำลังสู้กับเสือ หนึ่งคนถูกพิษ แต่เ้า... กลับ ไร้รอย ขีด ข่วน เล่า?” ติงติงเค้นทีละคำ ยิ้มด้วยใบหน้าไร้เดียงสา แต่ว่าั์ตากลับเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
มีคำพูดในคำพูด รอยยิ้มแฝงความหมาย
ั์ตามู่จื่อหลิงหรี่ลง ในใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาในบัดดล
มิน่าเล่า...
มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้เสียงใสกระจ่างของติงติง ช่างมาได้พอเหมาะพอเจาะ
ทำให้เสือพบร่องรอยของพวกนาง จากนั้นก็ดึงพวกเฮยชีเอาไว้ ตอนนี้ทำให้เฮยลิ่วได้รับาเ็
เป้าหมายของเด็กคนนี้ก็คือนาง?
เดิมคิดว่าเป็เด็กสาวตัวน้อยที่ไม่สะดุดตา ไม่คิดว่าจะมีอุบายที่คาดเดาไม่ได้เช่นนี้
แต่ที่นี่หมอกหนาทึบ ทั้งยังเป็ยามราตรี มองไกลไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง ติงติงรู้สถานการณ์ฝั่งพวกเขาได้อย่างไร ร้องเสียงดังออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ?
ดังนั้นนางจึงสงสัยมาโดยตลอดว่าเหตุผลที่ติงติงบอกว่าตนเองหลงทางนั้นสมบูรณ์แบบจนเกินไป ทำให้คนไร้ข้อติติง ที่แท้ทุกอย่างก็ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว
กล้าอยู่เพียงลำพังในป่าที่มีสัตว์ร้ายปรากฏตัวเดินเพ่นพ่าน ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดากว่าที่นางคิดไว้เสียอีก!
โชคดีที่นางค้นพบั้แ่เนิ่นๆ จึงไม่ได้สร้างความเสียหายให้พวกเขามากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาทั้งกลุ่มก็คงถูกเด็กหลอกจนต้องฝังร่างในป่าแห่งนี้จริงๆ
มู่จื่อหลิงครุ่นคิดไปครู่ใหญ่ บนร่างปรากฏไอเย็นเยียบอันเข้มข้น เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเ็าอีกครั้ง “เ้าเป็ใครกันแน่?”
“ข้า? ย่อมเป็ผู้ที่้าชีวิตเ้า” ติงติงโค้งริมฝีปากเป็รอยยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม พูดเสียงอ่อน
น้ำเสียงอวดดีนัก!
ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่ามีอันตรายใกล้เข้ามาหานาง
‘ฉี่ฉี่’ มีงูน้อยแลบลิ้นสีแดงสดโผล่ขึ้นมาจากแขนของติงติงอย่างกะทันหัน
มู่จื่อหลิงก็ออกแรงไปที่ฝ่ามือสะบัดติงติงทั้งตัวออกไปไกลหลายเมตรอย่างแรงตามสัญชาตญาณ
การสะบัดเมื่อครู่นี้นับว่าไม่เบา! ทว่ากลับไม่มีเสียงร้องแม้แต่น้อย
เดิมมู่จื่อหลิงคิดว่าร่างเล็กๆ ของติงติงรับแรงกระแทกมากเพียงนั้นไม่ไหวจนหมดสติไป ดังนั้นนางจึงรีบสาวเท้าเข้าไปดูสถานการณ์
ทว่า พื้นที่ว่างเปล่าก็ทำให้นางตกตะลึง
ไม่ เห็น ติงติง แล้ว
“ฉีหวางเฟย ข้าไร้เจตนาจะฆ่าผู้อื่น ขอแค่ชีวิตเ้าเพียงหนึ่งชีวิต หวังว่าเ้าจะผ่านคืนนี้ไปอย่างสวัสดิภาพ ถ้าเ้ามีชีวิตจนผ่านคืนนี้ไปได้ บางทีพวกเราอาจจะได้พบกันใหม่” น้ำเสียงอ่อนวัยของติงติงที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากที่ใดดังขึ้นมา
มู่จื่อหลิงยืนอยู่กับที่ ใบหน้าเคร่งขรึม เด็กคนนี้เป็ใครกันแน่? อายุน้อยก็วางแผนร้ายที่รัดกุมได้แล้ว
เด็กคนนี้คือคนที่คนในวังผู้นั้นส่งมาใช่หรือไม่?
ถ้าใช่ เช่นนั้นเจตนาร้ายของฮองเฮานับวันก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นจริงๆ
เกือบไปแล้ว นางเกือบจะหลงกลแล้ว
เพียงแต่ ค่ำคืนนี้เหมือนจะไม่อาจผ่านไปอย่างราบรื่นจริงๆ?
ยังมีอันตรายอันใดอีก?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้