เมื่อเห็นม่อเวิ่นเฉินะโตามซูฉีฉีลงไปและเห็นว่าเหลยอวี๊เฟิงเองก็ไม่สนใจสิ่งใดและะโตามลงไปด้วยเหลยอวี่เหยาก็ไม่อาจทำใจให้สงบนิ่งได้อีกผู้คนในศาลานั้นเริ่มเดินจับกลุ่มมาทางนี้แล้ว
ด้วยระยะห่างความสูงสิบกว่าเมตรนั้นทำให้ซูฉีฉีมิได้ตกลงพื้นโดยทันที เมื่อนางเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเหลยอวี่เหยาแล้วนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดนางจึงมีความกังวลเกิดขึ้นในใจ ทว่าเมื่อนางเห็นม่อเวิ่นเฉินะโลงมาด้วยนั้นความสงบนิ่งของนางก็ได้มลายหายไป
ั้แ่ถูกเหลยอวี่เหยาผลักลงมาจากศาลานั้นกระทั่งเวลาที่จะส่งเสียงร้องออกมานั้นนางยังมีไม่พอก็ได้ถูกสายลมโอบล้อมตัวไว้เสียแล้วจากนั้นนางก็ได้แต่ปล่อยให้ร่างกายจมดิ่งลงไปอย่างเป็ธรรมชาติ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม แม้ว่านางเองก็กลัวตาย แต่ว่านางเองก็รู้ดีว่าตนเองแก้ไขชะตากรรมมิได้
เสื้อคลุมตัวยาวสีดำของม่อเวิ่นเฉินมันโบกสะบัดเพราะสายลมแต่นั่นเองก็ได้ขัดขวางความเร็วในการดิ่งลงของเขาสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรนพลางมองไปที่ซูฉีฉีที่มีสีหน้าราบเรียบเบื้องหน้า
ความนิ่งเรียบเฉยชาเช่นนั้น เขามิได้เคยเห็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นทว่ามันกลับทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของเขาอีกครั้ง ใจของเขานั้นเ็ปเหลือเกิน คนทั้งสองจ้องมองกันผ่านช่องว่างของอากาศแต่กลับรู้สึกเสมือนว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างไกลออกไปเหลือเกิน
เหลยอวี๊เฟิงนั้นะโทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอื้อมมือใหญ่ๆของตนคว้าเอาปลายเสื้อคลุมของม่อเวิ่นเฉินเอาไว้ “ม่อเวิ่นเฉิน เ้าอยากตายหรือไง? เพียงเพื่อผู้หญิงคนนี้เ้าไม่สนแม้แต่ชีวิตของตนเองแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เขาพูดพลางดีดตัวเองไปด้านหลังคิดจะดึงม่อเวิ่นเฉินกลับไปด้านในศาลา
ทว่าในวินาทีนั้นม่อเวิ่นเฉินกลับดึงสายรัดของเสื้อคลุมตรงหน้าอกของตนอย่างแรงทำให้เหลยอวี๊เฟิงนั้นคว้าได้เพียงแค่เสื้อคลุมของเขาเท่านั้นเมื่อเหลยอวี๊เฟิงก้มหน้าลงมองอีกครั้ง ระยะห่างของพวกเขาก็ต่างกันอยู่มากแล้ว
เกล็ดหิมะล่องลอยอยู่กลางอากาศ พลิ้วไหวกลางสายลมช่างเป็ภาพที่งดงามยิ่งนัก
ลมพัดอย่างแรงอยู่ข้างหู ทำให้ไม่อาจได้ยินเสียงอื่นได้อีก
ม่อเวิ่นเฉินขยับร่างกายไปมาไม่กี่ครั้งอยู่กลางอากาศทำให้ตนนั้นดิ่งลงไปด้านล่างได้เร็วขึ้นพลางยื่นมือออกไปพยายามที่จะหยุดความเร็วในการร่วงหล่นของซูฉีฉี
ตอนนี้ตัวเขาเองก็แยกมิออกแล้วว่า ตนนั้นทำเพื่อการพนัน หรือว่าเพื่อซูฉีฉีแล้วเขาสามารถยอมะโลงมาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เพียงแต่ว่าได้ะโลงมาแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยเหลือคนเอาไว้
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะพาซูฉีฉีกลับเมืองอ้าวไปให้ได้อย่างปลอดภัย
มุมปากกระดกยิ้มขึ้นดวงตาที่สงบนิ่งของซูฉีฉีนั้นก็ได้มีประกายฉายออกมาแวบหนึ่งดวงตาคู่นั้นสะท้อนกับเกล็ดหิมะกลับดูงดงามเป็อย่างมากใบหน้าที่ใสบริสุทธิ์นั้นไม่มีความนิ่งเรียบอีกแต่กลับมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นแทน
เมื่อเห็นม่อเวิ่นเฉินพยายามยื่นมือออกมา ซูฉีฉีเองก็ค่อยๆยื่นมือขึ้น พยายามที่จะคว้ามือของเขาเอาไว้
“ม่อเวิ่นเฉิน ช่วยข้าที” ในที่สุดซูฉีฉีก็เอ่ยออกมาเสียงดังประโยคหนึ่งคำพูดของนางล่องลอยตามสายลมจนส่งต่อไปถึงหูของม่อเวิ่นเฉิน นางกลัวตาย กลัวจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องตายอย่างแน่นอน
แม้ว่าหลายวันมานี้ม่อเวิ่นเฉินจะอ่อนโยนและดูแลนางเป็อย่างดีทว่าเพราะในอดีตนางถูกทอดทิ้งอยู่หลายครั้งจนทำให้นางไม่กล้าที่จะคาดหวังอีก บางทีครั้งนี้ม่อเวิ่นเฉินอาจจะเปลี่ยนซูฉีฉีได้
เสียงะโของซูฉีฉีทำให้ใจของม่อเวิ่นเฉินหนักอึ้งขึ้นเขากัดฟันแน่นพลางขยับมือทั้งสองข้างและใช้พลังมหาศาลดันตัวเองให้ร่วงลงไปด้านล่างเกล็ดหิมะตีกระทบบนใบหน้าสร้างความเ็ปไม่น้อยทว่ากลับทำให้ในใจของเขารู้สึกอบอุ่น
ผู้หญิงคนนี้ ในที่สุดก็ดึงเอาหน้ากากนิ่งเรียบของตนออกแล้ว เขาก็ได้สำเร็จไปอีกขั้นแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินตีลังกากลับหลังกลางอากาศก่อนที่แขนเสื้อจะกระชับเข้าหากันและได้รวบเอาผมยาวสลวยของซูฉีฉีที่พลิ้วไหวกลางอากาศเข้าไปด้วย
หนังศีรษะของซูฉีฉีรู้สึกเ็ปอยู่ชั่วขณะทว่ากลับทำให้แรงในการร่วงหล่นของนางลดน้อยลง วินาทีต่อมาทั้งร่างของนางก็ได้ถูกม่อเวิ่นเฉินโอบไว้ในอ้อมกอดเสียแล้ว
คนทั้งสองกำลังร่วงหล่นไปด้วยกัน...
บนร่างกายและผมนั้นเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะทว่าตอนนี้ซูฉีฉีกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น นางพิงเข้ากับอ้อมกอดของม่อเวิ่นเฉินค่อยๆ ปิดตาลง ขนตางอนยาวของนางนั้นขยับเล็กน้อยตอนนี้บนขนตานั้นได้มีเกล็ดหิมะเกาะอยู่ชั้นหนึ่งเสียแล้ว
ตกดิ่งลงไปในกองหิมะที่กองทะเนินขึ้นสูง
เมื่อตกลงถึงพื้นนั้นซูฉีฉีก็ลืมตาทั้งสองของตนขึ้นก่อนจะใช้มือทั้งสองพยุงม่อเวิ่นเฉิน แต่นางกลับพบว่าบุรุษที่แข็งแกร่งเมื่อครู่กลับตัวอ่อนลงกะทันหันจนเกือบทำให้นางหน้าคว่ำลงไปกับพื้นด้วยเช่นกัน
นางออกแรงอย่างสุดกำลังในการพยุงม่อเวิ่นเฉินขึ้นพลางหันไปเห็นมุมปากของเขามีโลหิตไหลออกมาไม่หยุด
เขาในตอนนี้ไม่ได้มีเสื้อคลุมคุมกายไว้ มีเพียงเสื้อสีดำสนิทใบหน้าขาวซีด ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่ตกมานั้นทำให้เขาดูคล้ายจะมลายหายไปได้ก็ไม่ปาน
“ม่อเวิ่นเฉิน” ใบหน้าของซูฉีฉีก็เป็สีขาวเช่นกันนางร้องออกมาอย่างวิตก
เหลยอวี๊เฟิงและเหลยอวี่เหยาที่อยู่ในศาลานั้นก็ได้วิ่งเหาะลงบันไดมาอย่างไม่คิดชีวิตแล้ว
ตอนนี้เหลยอวี๊เฟิงไม่มีเวลามาต่อว่าเหลยอวี่เหยาจากระยะไกลนั้นเขาก็สามารถมองเห็นม่อเวิ่นเฉินกระอักเืออกมาทีละคำๆ ไม่หยุดแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินโบกมือเบาๆเขาพยายามกดแรงดันของโลหิตที่อยู่ตรงหัวใจของตนเมื่อครู่เขาได้ออกแรงย้อนการไหลเวียนของลมปราณถึงสามารถรับซูฉีฉีได้กลางอากาศและยิ่งเป็เพราะว่าพิษในร่างกายของเขาเพิ่งจะขับออกไปได้ไม่นานนักกำลังภายในของเขาเองก็ยังมิได้ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์
“ม่อเวิ่นเฉิน” ซูฉีฉีร้องออกมาอีกครั้งน้ำเสียงของนางเบามากพลางยกมือที่กำลังสั่นของตนขึ้นจับชีพจรของเขา
“ไม่เป็ไร” ม่อเวิ่นเฉินเพียงเอ่ยเรียบๆออกมาประโยคหนึ่ง “เ้า...ไม่เป็ไรใช่หรือไม่”
ซูฉีฉีส่ายหน้าอย่างแรง นางรู้สึกว่าน้ำตาของตนใกล้จะไหลออกมาแล้วทว่ามันกลับเอ่อคลออยู่ที่ดวงตาไม่ไหลหยดลงมา “ข้าไม่เป็ไร ข้าไม่เป็ไร...” นางรู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรง ทว่ากลับพยายามพยุงม่อเวิ่นเฉินที่ได้ทิ้งแรงทั้งตัวของเขาลงมา จนกระทั่งเหลยอวี๊เฟิงวิ่งมาถึงแล้วได้ดึงตัวม่อเวิ่นเฉินไป
“เร็ว รีบกลับไปที่สำนัก” เหลยอวี๊เฟิงะโเสียงดัง เขาแบกม่อเวิ่นเฉินไว้ที่หลังก่อนจะวิ่งฝ่าหิมะที่มีความหนาถึงหัวเข่า
ม่อเวิ่นเฉินได้ใช้พลังภายในไปมาก ทำให้อวัยวะภายในถูกทำลายแต่เพียงดูแลรักษาก็จะหายดี
ซูฉีฉีรู้ว่าเื่นี้รีบร้อนไม่ได้
เหลยอวี่เหยาที่วิ่งตามหลังมานั้นก็จ้องไปที่ซูฉีฉีอย่างเกลียดแค้น “ล้วนแต่เป็ความผิดของเ้า” นางเอ่ยต่อว่าเสียงดัง
แม้ว่าเมื่อครู่จะรู้สึกร้อนรนจนในใจของนางรู้สึกว้าวุ่นเป็อย่างมากทว่าเพียงไม่นานซูฉีฉีก็กลับมาสงบดังเดิม นางมองไปที่เหลยอวี่เหยามิได้มีโทสะแต่กลับมีเพียงความนิ่งเฉย “ถ้าหากเ้ารักเขาจริง ก็ไม่ควรจะทำให้เขาลำบาก” เมื่อพูดเสร็จ นางก็หมุนตัวเดินไป
ทุกก้าวเหยียบย่ำอยู่บนกองหิมะสิ้นเปลืองแรงอยู่บ้างทว่านางกลับก้าวเดินเร็วมาก
เพราะว่ารถม้าอยู่ที่ตีนเขา เมื่อรอจนซูฉีฉีเดินลงไปถึงท้องฟ้าก็เกือบจะมืดเสียแล้ว เหลยอวี๊เฟิงรอพวกเขาไม่ไหวจึงได้กลับไปก่อนแล้วอีกทั้งยังได้สั่งให้ลูกน้องมาคอยซูฉีฉีและเหลยอวี่เหยาอยู่ที่นี่
คำพูดของซูฉีฉีทำให้เหลยอวี่เหยาไม่รู้จะทำเช่นไรต่อดีจริงอยู่ที่นางรู้ว่าซูฉีฉีนั้นพูดถูก ทว่านางยังคงไม่พอใจ นางเห็นว่าเหลยอวี๊เฟิงได้พาม่อเวิ่นเฉินกลับไปแล้วมือของนางก็กำหมัดแน่น หลายครั้งที่นางอยากจะทำให้ซูฉีฉีตายไปเสียให้ได้
ตอนนี้เป็โอกาสดีที่สุดที่นางจะลงมือ ยังไงเสีย เมื่อครู่นางก็ได้ทำลงไปแล้วนางก็ไม่ต้องสนใจว่าจะทำเพิ่มอีกสักครั้งหนึ่ง เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้นก็สามารถทำให้ซูฉีฉีสลบอยู่บนยอดเขานี้ได้ตลอดกาล ทว่านางกลับลังเล ไม่อาจตัดสินใจได้เสียที เพราะว่านางรู้ม่อเวิ่นเฉินจะไม่ปล่อยนางไว้แน่
ซูฉีฉีมิได้ขึ้นรถม้าแต่กลับยืนรอเหลยอวี่เหยาเดินมาอยู่ตรงนั้นเพราะว่าท้องฟ้าได้มืดลงแล้วอีกทั้งยังมีเกล็ดหิมะโปรยปราย ลมพัดโหมกระหน่ำอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของซูฉีฉีในตอนนี้แข็งจนเป็สีเขียวคล้ำเพราะว่าเมื่อครู่นางได้ลื่นตกลงมาจากศาลาทำให้ผมและเสื้อผ้าของนางนั้นยุ่งเหยิงอยู่บ้างทว่านางกลับมิได้มีสภาพอเนจอนาถแม้แต่น้อย
ท่วงท่าสง่างามของนางยังคงไม่เปลี่ยน แววตาของนางก็ไม่เปลี่ยนยังคงนิ่งเรียบไม่มีความหยิ่งทะนงทว่ากลับทำให้คนรู้สึกเหมือนนางอยู่สูงเหนือผู้คนมิอาจล่วงเกินได้
“ต่อให้เ้าฆ่าข้าจริงๆ ก็ไม่สามารถได้เขาไป” ดวงตาทั้งสองของซูฉีฉีจับจ้องไปที่เหลยอวี่เหยานางเห็นไอสังหารในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน
สีหน้าของเหลยอวี่เหยาคล้ำลง นิ้วมือของนางกระชับเข้าหากัน “ถ้าข้าไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังจะได้”
“น่าเสียดาย ข้าเองก็ไม่เคยได้เช่นกันเพียงแต่ว่า...ไม่มีทางเลือกอื่น ราชโองการฮ่องเต้ยากจะขัดได้” ซูฉีฉีนั้นกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อไอสังหารในดวงตาเหลยอวี่เหยาแม้แต่น้อยนางรู้ว่าเหลยอวี่เหยานั้นรู้สึกยำเกรงม่อเวิ่นเฉิน
อย่างน้อย ตอนนี้นางก็รู้สึกละอายใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้