ซูฉีฉีรู้ว่าฮวาเชียนจือเกรงกลัวม่อเวิ่นเฉินที่สุดแต่ถึงแม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะรู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นเขาจะต่อว่าฮวาเชียนจือเพียงเพราะว่านางาเ็งั้นหรือ?
ซูฉีฉีรู้อยู่แก่ใจเพราะฉะนั้นนางจึงทำได้แค่อดทน
“รอก่อน”
ไม่ต้องรอให้ซูฉีฉีเดินออกจากป่า คนที่ยืนอยู่บนต้นไม้ก็ได้เหาะลงมาแล้ว
นางหมุนตัวช้าๆไม่ได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ซูฉีฉีหันไปมองคนที่มาด้วยความเรียบเฉย “ท่านคือ?”
นางกำลังซ่อนความเ็ปที่ฉายในแววตาของตน
“ข้าคือใครนั้นเ้าไม่จำเป็ต้องรู้หรอกเพียงแค่จำไว้ว่าข้าเคยช่วยเ้าครั้งหนึ่งก็พอแล้ว” ผู้ที่มาเยือนเอ่ยออกมาอย่างสบายๆใบหน้าคมคาย เขามีท่าทางเรียบง่ายสบายๆ แต่กลับยังคงความสง่างามเอาไว้
มุมปากที่กระตุกยิ้มขึ้นยิ่งเพิ่มความเป็มิตรในตัวเขาขึ้นไปอีก
ทว่าเขากลับทำให้ซูฉีฉีเพิ่มความระมัดระวังดึกดื่นเช่นนี้กลับมีบุรุษแปลกหน้ามาปรากฏตัวที่จวนอ๋องแน่นอนว่านางต้องระแวงอยู่แล้ว
เมื่อฟังประโยคของเขาจบซูฉีฉีก็เข้าใจในทันที เสียงแมวร้องเมื่อครู่นั้นเป็ผลงานชิ้นเอกของบุรุษตรงหน้า
“ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตฉีฉีจะจดจำบุญคุณนี้ไว้” สีหน้าของซูฉีฉีหลังรู้ความจริงนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
นางเพียงแค่ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อขอบคุณเขาเท่านั้น
สีหน้าของนางนั้นกลับไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง
ผู้ที่มาเยือนนั้นพยักหน้ารับพลางยิ้มน้อยๆ เหมือนว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจมากกับการกระทำของซูฉีฉีเขาล้วงเอาขวดกระเบื้องออกมาจากอกเสื้อขวดหนึ่งก่อนจะโยนมันขึ้นไปบนอากาศมันร่วงหล่นตรงพื้นข้างหน้าซูฉีฉีอย่างแม่นยำ “นี่เป็ยารักษาาแภายนอกชั้นเลิศสามารถช่วยให้เ้ารู้สึกเ็ปน้อยลงบ้าง”
เมื่อพูดจบเขาก็เหาะตัวจากไปท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืน
มองตามทิศทางที่คนผู้นั้นจากไปสีหน้าของซูฉีฉีก็นิ่งเรียบต่อไปไม่ไหวอีกแล้วหยดน้ำตาค่อยๆ เอ่อคลออยู่รอบเบ้าตาทว่าจนท้ายที่สุดมันก็ยังไม่ไหลออกมา นางเดินหน้าไปหยิบขวดกระเบื้องขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแ่เบา “ท่านแม่ การอดทนอดกลั้นเช่นท่านจะสามารถทำให้ชีวิตเป็อิสระไม่ถูกสิ่งใดรบเร้าได้จริงหรือ”
นางส่ายหน้าไปมาพลางก้าวเท้าทีละก้าวกลับสู่โรงซักล้าง...
เมื่อฟ้าสางพ่อบ้านก็มารับซูฉีฉีด้วยตนเอง
วันนี้ซูฉีฉีไม่ได้ยืนรออยู่หน้าประตูเหมือนดั่งวันก่อนๆ
คิ้วของพ่อบ้านชราก็ขมวดเข้าหากันทว่าเขายังคงรอต่ออย่างอดทน
เขาซาบซึ้งในตัวของซูฉีฉีอย่างน้อยนางก็ได้ช่วยม่อเวิ่นเฉินเอาไว้
หลังจากที่นางจัดการกับเสื้อผ้าที่มีคราบเืและล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเสร็จเรียบร้อย และเห็นว่าตนเองนั้นไม่ได้ดูทรุดโทรมมากเท่าไรแล้วซูฉีฉีถึงจะผลักประตูเดินออกไปพร้อมยิ้มน้อยๆ “ให้ลุงฝูรอนานเสียแล้ว”
สำหรับท่าทีมีมารยาทของซูฉีฉีนั้นลุงพ่อบ้านฝูนั้นชื่นชมเป็อย่างยิ่ง
“เชิญพระชายา”บนใบหน้าของพ่อบ้านประดับด้วยรอยยิ้มเขาไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของซูฉีฉี
ถึงแม้ว่าซูฉีฉีจะปกปิดความเ็ปบนร่างกายของตนอย่างสุดความสามารถทว่าท่าทางของนางกลับช้ากว่าเดิมมาก กำเข็มทองที่อยู่ในแขนเสื้อของตนเบาๆซูฉีฉีก็กัดฟันทนพร้อมบอกกับตนเองให้อดทนเข้าไว้
อีกแค่สองวันเท่านั้น หลังจากผ่านสองวันนี้ไปทุกอย่างก็จะเริ่มต้นขึ้นใหม่แล้ว
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ซูฉีฉีคิด
แต่ความเป็จริงนั้น หลังจากที่ม่อเวิ่นเฉินตื่นขึ้นมาซูฉีฉีจะเป็อย่างไรนั้นก็ยากที่จะพูดได้
ซูฉีฉีมีเหงื่อพุดขึ้นเต็มหน้าผากหลังจากผ่านการฝังเข็มอย่างยากลำบากให้กับม่อเวิ่นเฉิน
เหลิ่งเหยียนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ว่าซูฉีฉีนั้นไม่ปกติแต่ก็มองไม่ออกว่าผิดปกติที่ตรงไหน
เขายังจำที่ม่อเวิ่นเฉินรับสั่งได้ให้เขาไปสืบประวัติของซูฉีฉี ดูว่านางมีเป้าหมายอะไรกันแน่
เมื่อเช็ดทำความสะอาดเข็มทองแล้วซูฉีฉีก็เตรียมตัวลุกขึ้นเพื่อเดินออกไปแต่เมื่อนางเห็นคนที่กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ก็ทำให้นางถึงกับต้องนิ่งอึ้งคนผู้นั้นคือคนที่มอบยาให้นางเมื่อคืน
ชุดคลุมตัวยาวสีนิล ใบหน้าที่คมเข้มริมฝีปากที่กระตุกยิ้มน้อยๆพร้อมดวงตาทั้งสองที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเองทำให้ซูฉีฉีไม่ค่อยจะเข้าใจนักคนผู้นี้เป็ใครกันแน่ เหตุใดถึงสามารถเดินในจวนอ๋องไปไหนมาไหมได้อย่างอิสระ
สำหรับการตกตะลึงของซูฉีฉีคนผู้นั้นไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาไม่แม้กระทั่งจะมองไปที่ซูฉีฉีเสียด้วยซ้ำ ทำราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
“เ้าสำนักเหลย” เหลิ่งเหยียนเดินออกไปต้อนรับเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้ท่านอ๋องเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”เ้าสำนักเหลยก็คือเ้าสำนักที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งคนล่าสุดของสกุลเหลยเหลยอวี๊เฟิง บนใบหน้าของเขาฉายความกังวลออกมาแวบหนึ่ง
เหลิ่งเหยียนมองไปที่แผ่นหลังของซูฉีฉีที่กำลังเดินออกไปไม่ได้ตอบกลับใดๆ
จนกระทั่งซูฉีฉีออกไปแล้วเปลือกตาที่ปิดอยู่ของม่อเวิ่นเฉินก็เปิดขึ้น แววตาของเขาว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์ถึงแม้ว่าจะเขาจะมีท่าทีสงบนิ่งแต่ก็ยังคงดูองอาจน่าเกรงขาม