เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะสู้หรือไม่สู้ ย่อมไม่ใช่เื่ที่ฉินอวี่จะตัดสินใจได้
ไม่ต้องพูดถึงวานรั์อันน่าสะพรึงกลัว เพราะตอนนี้มีอสูรร้ายกว่าสิบตัวกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ ฉินอวี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน แต่เขาก็มิหวั่นที่จะต่อสู้
ในเมื่อตอนนี้ได้ใช้การเปลี่ยนแปลงของวิชาปีศาจคลั่งแล้ว ฉินอวี่ก็้าจะดูว่าการเปลี่ยนแปลงขั้นแรกของวิชาปีศาจคลั่งนั้นจะมีความสุดขั้วเพียงใด
ฉือเซียว ฉู่เยว่ฉาน หยางเทียน หยางเต้า และคนอื่นๆ ต่างก็ใจนยากจะบรรยาย
“การโจมตีนั่น สามารถฆ่าเ้าได้!” คำพูดนี้ของวานรยุทธ์ ยังคงดังอยู่ในจิตใจของพวกเขาราวกับสายฟ้าฟาด
นี่... คือไพ่ไม้ตายของศิษย์น้องหวังซิงเฉินหรือ?
การโจมตีเพียงครั้งเดียวสามารถฆ่าชายหนุ่มลึกลับที่มีสายเืหยาจื้อคนนี้ได้ เช่นนั้นก็สามารถจะฆ่าใครสักคนในกลุ่มพวกเขาได้เช่นเดียวกัน
ฉือเซียวอยากจะหัวเราะออกมา หัวเราะออกมาดังๆ อย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เคยนึกเลยว่าศิษย์น้องของเขาจะมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าคนเช่นนี้จะเป็ศิษย์น้องของตนเอง เขาจึงตื่นเต้นและประหลาดใจอย่างมาก
ใบหน้าของถังอีิเองก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าขอเพียงออกไปจากที่แห่งนี้ได้ วันข้างหน้าเขาจะยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อผูกมิตรกับศิษย์น้องหวังผู้นี้... ไม่สิ... พละกำลังเช่นนี้เพียงพอที่จะยกย่องให้เป็ศิษย์พี่ของตนเอง!
แก้มที่สวยงามของฉู่เยว่ฉานเต็มไปด้วยความขมขื่น ดวงตาที่สดใสของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง นางก็คงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน นึกไม่ถึงว่าในสำนักยุทธ์ว่านจ้งจะมีศิษย์ที่มีความสามารถลึกล้ำเช่นนี้อยู่ด้วย และ... ยังอยู่เพียงขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง
เมื่อมองไปทางฉินอวี่ที่มีรัศมีส่องประกายดั่งสายรุ้ง ฉู่เยว่ฉานจึงเริ่มสงสัยต่อการจัดลำดับรายชื่อศิษย์อัจฉริยะขึ้นเป็ครั้งแรก
“บางที อาจจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังดูิ่รายชื่อของศิษย์อัจฉริยะ”
ในสำนักยุทธ์ว่านจ้งที่แสนใหญ่โตแห่งนี้ จะมีคนที่แข็งแกร่งอย่างหวังซิงเฉินหลบซ่อนอยู่อีกกี่คนกัน? แม้ว่าจะไม่สามารถบอกได้ทั้งหมด แต่จะต้องมีอยู่อีกมากมายแน่นอน
ฉู่เยว่ฉานเริ่มสงสัยต่อพละกำลังของตนเองขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ พละกำลังของตนเองในตอนนี้จะเพียงพอเข้าเป็ศิษย์สิบอันดับแรก ที่มีศิษย์ได้เข้าไปยังหอตำราซั่งกู่หรือไม่?
แต่ไหนแต่ไรมา ฉู่เยว่ฉานมีนิสัยขัดแย้งในตัว และดูประหลาดยิ่งนัก ไม่เพียงแต่คนอื่นๆ จะคิดเช่นนี้ ฉู่เยว่ฉานเองก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ในหัวใจของศิษย์จำนวนมาก นิสัยของฉู่เยว่ฉานนั้นดูมีความเย่อหยิ่ง ดูสูงส่งดั่งเซียนหิมะที่สามารถมองดูได้แต่เพียงระยะไกล
แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าภายใต้หัวใจที่เ็าและเย่อหยิ่งของนาง แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ นางเป็คนไม่ยิ้ม แต่กลับจริงใจ แม้ว่านางจะเย่อหยิ่ง แต่ก็มีจิตใจดีและอ่อนโยน
หลายต่อหลายครั้งที่ฉู่เยว่ฉานเผยความเ็าและเย่อหยิ่งออกมาต่อหน้าศิษย์ส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางครั้ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศิษย์ระดับต่ำ ฉู่เยว่ฉานมักจะทิ้งตัวตนด้านนี้ของนาง และเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีคนในจำนวนเท่าไรที่ได้รับความช่วยเหลือและความดีงามของฉู่เยว่ฉาน แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถทำให้ฉู่เยว่ฉานยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาได้
เป็เพราะตัวตนของนาง ศิษย์ทุกคนที่เคยได้รับประโยชน์จากนางต่างเคารพอยู่ห่างๆ หรือไม่ก็มีเจตนาจะผูกมิตรเอาไว้ ซึ่งนี่ทำให้สูญเสียความตั้งใจเดิม
ในขณะนี้ ฉู่เยว่ฉานก็นึกถึงใครสักคนขึ้นมาได้ คนที่ใกล้ตายคนนั้น เมื่อนึกถึงคำสัญญาระหว่างทั้งสองคน หัวใจที่สั่นคลอนของฉู่เยว่ฉานก็เริ่มหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“บางที เขาอาจจะรอให้ข้าเข้าไปหอบรรพชนไม่ไหว หรือบางที ความปรารถนานั้นของเขาอาจฝังรากลึกไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ แม้ว่าจะต้องใช้พลังนั้นก็ตามที” ฉู่เยว่ฉานส่งเสียงพึมพำ
ฉู่เยว่ฉานก็เป็เช่นนี้ หากสัญญาไว้แล้วจะต้องทำให้ได้ ไม่สำคัญว่ามันจะมีค่าหรือไม่ เป็เพราะนี่เป็การให้คำสัญญากับคนอื่น และเป็การสัญญากับตนเองเช่นกัน
สิ่งที่นางทำ เพียงเพื่อตอบสนองคุณค่าในตนเอง มิ้าแสวงหาสิ่งตอบแทนใดๆ
ใบหน้าของหยางเต้าเต็มไปด้วยความขมขื่น เดิมทีเขาเข้าใจว่าตนเองเข้าใจในตัวหวังซิงเฉินเป็อย่างดี แต่ในตอนนี้ เขากลับตระหนักได้ชัดเจนว่า เขายังรู้จักเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น คนผู้นี้ไม่เพียงแต่จะมีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่าตนเองเท่านั้น แต่ในแง่ของพละกำลัง ก็ยังไม่น้อยไปกว่าตนเองเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้จิตใจของหยางเต้าเกิดจิติญญาของการต่อสู้ขึ้นมาทันที เพราะ้าใช้เื่พละกำลังกดขี่ผู้อื่น
เขาคือหยางเต้า หยางเต้าผู้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของแดนัหลับใหลซิงเฉิน
เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่อย่างไรูเาก็ยังเป็ูเาที่ยังรอการพิชิต และเขาหยางเต้าจะต้องเป็ผู้พิชิต มิใช่ผู้ถูกพิชิต
แม้ว่าจะเป็ร่างฝาแฝด แต่นิสัยของทั้งสองคนกลับตรงข้ามกันสิ้นเชิง หยางเต้าเป็ผู้มีจิติญญาต่อสู้รักชัยชนะ แตกต่างกับหยางเทียนซึ่งค่อนข้างเก็บตัวและนิ่งเงียบ เมื่อหวนนึกถึง่ที่ตนเองต่อสู้กับฉินอวี่ก่อนหน้านี้ หยางเทียนก็รู้สึกได้เพียงความร้อนผ่าวที่ปรากฏบนใบหน้า
“แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่การโจมตีในครั้งก่อนเป็เพราะมีอาวุธคอยสนับสนุน หากไร้ซึ่งอาวุธ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน” หยางเทียนแอบพึมพำในใจ เขามีความมั่นใจว่าสามารถจะทนรับหมัดทั้งสามหมัดของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงได้ ดังนั้นเขาจึง้าเห็นความพ่ายแพ้ของฉินอวี่
แต่ขณะที่ศิษย์แต่ละคนกำลังครุ่นคิดกันอยู่นั้น ฉินอวี่และชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงก็เริ่มเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
ในครั้งนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงใช้พลังจากสายเืของหยาจื้อโดยตรง แม้ว่าพลังอันรวดเร็วและแข็งแกร่งนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร ทุกๆ หมัดที่เขาปล่อยออกมานั้นล้วนแต่มีพลังของหยาจื้ออยู่อย่างแท้จริง ทุกหมัดนั้นต่างทำให้พื้นที่ว่างกลางอากาศเกิดรอยแตกร้าวขึ้นทันที
“ความโกรธของหยาจื้อ!”
เสียงะโอันทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้น จนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
แสงสว่างส่องออกจากร่างของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง เขาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือศีรษะของฉินอวี่ทันที พลันย่างเท้าข้างขวาออกไปอย่างรวดเร็ว และขณะที่จะย่ำลงไปนั้น เท้าขนาดใหญ่ข้างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงก่ำก็ปรากฏซ้อนขึ้นท่ามกลางแสงสว่างที่ส่องออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขา ราวกับฝ่าเท้าั์ของหยาจื้อในตำนาน!
ขณะที่กำลังย่ำเท้าลงมานั้น มันได้นำพาพลังที่ปกคลุมท้องฟ้าลงมาด้วย ทำให้ฝุ่นที่อยู่เบื้องล่างก่อตัวเป็คลื่นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
ภายใต้แรงกดเช่นนี้ ฉินอวี่จึงถูกบีบให้ทรุดลงไปกับพื้น เมื่อแหงนมองฝ่าเท้าขนาดใหญ่ที่กำลังกดลงมา ร่างกายของฉินอวี่ก็แทบกระตุก พลังปราณทั่วทั้งร่างถาโถมเข้าไปยังมือขวาราวกับกระแสน้ำป่าที่เชี่ยวกราก แสงสว่างจากรอยพิมพ์ของฝ่ามือข้างขวาส่องประกายเจิดจ้า และทันทีที่ชายหนุ่มชุดสีคลุมแดงลงมาถึงพื้น ฉินอวี่ก็ปล่อยหมัดรัวออกไปทันทีสิบห้าหมัด!
“ตูม!”
ฟ้าดินเกิดการสั่นะเืที่รุนแรง พลังอันแข็งแกร่งก่อตัวขึ้นกลายเป็พายุโหมกระหน่ำไปรอบด้าน ผลักฉือเซียวและคนอื่นๆ จนกระเด็นออกไปอีกครั้ง
ในตอนนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงถูกยั่วโมโหเป็อย่างยิ่ง ขณะที่เท้าข้างหนึ่งกำลังจะแตะพื้น ร่างของเขาก็บิดไปมากลางอากาศ พลังถูกส่งไปยังกระดูก ก่อนจะก้าวออกไปอีกครั้ง
“ตายซะ!”
“ตูม ตูม ตูม!”
ใต้เท้าที่ย่ำลงมาของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง แผ่นดินได้เกิดเป็หลุมขนาดใหญ่ที่กว้างกว่าสิบจ้าง ตอนนี้ส่วนั้แ่หน้าอกลงไปของฉินอวี่ได้จมลงไปในพื้นดินแล้ว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเื แต่ยังมีแสงสีแดงส่องประกายออกมาให้เห็น สาดส่องทะลุฝุ่นหนาที่ตลบคละคลุ้งปกคลุมอยู่ทั่วท้องฟ้า
“ยังไม่ตายหรือ?” เมื่อฝุ่นทั้งหมดจางลง ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงก็มองลงไปยังฉินอวี่ที่อยู่ด้านล่าง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าในฐานะอัจฉริยะที่น่าภูมิใจของสายเืหยาจื้ออย่างเขา แม้ว่าจะไม่ใช่คนแรกในตระกูลที่มีสายเืหยาจื้อ แต่พละกำลังของเขาก็แข็งแกร่งเป็พิเศษ
ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงไม่เชื่อเลยว่าจะมีคนนอกมาเป็คู่ต่อสู้ของเขา แต่ตอนนี้ ความแข็งแกร่งของฉินอวี่กลับทำให้ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงกลับต้องใและอับอาย แต่หากแสดงความรู้สึกเช่นนี้ออกไป ในภายหน้า จะยืนอยู่ในเผ่าได้อย่างไร?
ไม่เพียงเขาเท่านั้น แม้แต่วานรยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวก็จ้องตรงไปยังฉินอวี่ที่อยู่เบื้องล่างทันที เขานึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเหตุใดฉินอวี่จึงมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาสามารถทนต่อพลังของหยาจื้อที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงโจมตีออกมาได้ หากเป็ก่อนหน้านี้ ฉินอวี่อาจต้องอาศัยพลังจากอาวุธิญญา เพื่อเป็การเล่นแง่ แต่ในตอนนี้... พละกำลังอันแข็งแกร่งของฉินอวี่ที่แสดงออกมาทำให้วานรยุทธ์มีมุมมองที่เปลี่ยนไปทันที
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้วานรยุทธ์ยิ่งอธิบายไม่ถูกคือ ดูเหมือนว่ายิ่งคนผู้นี้าเ็สาหัสมากขึ้นเท่าใด เขาก็จะมีพลังปราณที่แข็งแกร่งมากขึ้น
ฉินอวี่ที่อยู่ด้านล่างไม่รู้เลยว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ ในเวลานี้ เขารู้สึกเพียงความเ็ปและการเสพสุข
ในตอนนี้ เขาสามารถััถึงการเปลี่ยนแปลงในวิชาปีศาจคลั่งได้โดยตรง เรียกได้ว่า หลังจากกลับมาเกิดใหม่ ฉินอวี่ยังไม่เคยได้รับาเ็สาหัสเช่นนี้มาก่อน และความแข็งแกร่งในเวลานี้ ก็เป็สิ่งที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อนเช่นกัน
เพื่อต้านทานแรงจากเท้าทั้งสองของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง เขาจึงใช้พลังว่านจ้งสามชั้น เมื่อผนวกกับรอยพิมพ์ของฝ่ามือด้านขวา พลังที่เกิดขึ้นจึงเทียบได้กับพลังทับซ้อนสี่ถึงห้าชั้น
แต่พลังเช่นนี้ ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงได้ สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ตกตะลึงในพลังของหยาจื้อ และยิ่งอยากรู้ขีดจำกัดสูงสุดของวิชาปีศาจคลั่งขั้นที่หนึ่งเป็อย่างมาก!
ฉินอวี่พยายามดิ้นรนเพื่อยกตนเองขึ้นมาจากดิน ก่อนจะค่อยๆ เหาะขึ้นไปบนฟ้า แสงสีแดงอ่อนเปล่งรัศมีออกมาเป็ระยะกว่าสามสิบจ้าง ผนวกกับร่างที่โชกเื ทั่วทั้งตัวของเขาเป็ดั่งเทพเ้าแห่งาผู้นองเืและยังมีชีวิตอยู่ ผลกระทบเหล่านี้ส่งผลตรงต่อจิตใจของพวกฉือเซียว และทิ้งร่องรอยที่ยากจะลบเลือนเอาไว้กับพวกเขา
“พลังทับซ้อนกันสามชั้นยังไม่พอ เช่นนั้นก็... ซ้อนทับกันสี่ชั้น!” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง และแอบลองทับซ้อนพลังขึ้นเป็สี่ชั้น
“วันนี้ เ้าจะต้องตาย!” ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงมีใบหน้าที่ดุร้าย กำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น ก่อนจะปล่อยพลังหมัดออกไปอย่างแรง พลางเงยหน้าะโไปบนฟ้า “พลังแห่งบรรพชน!”
“ไม่ได้!” วานรยุทธ์ที่นิ่งเงียบมาตลอดได้ะโขึ้นด้วยความใ
“วันนี้ข้าจะต้องฆ่าเ้า!” ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงเริ่มเสียสติไปแล้ว ในใจของเขาเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น เขาจะต้องฆ่าคนคนนี้ให้ได้ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยสิ่งใดก็ตาม
“แย่แล้ว!” ฉินอวี่ใ
พลังแห่งบรรพชน? เขาเป็คนของเผ่าหยาจื้อ เขาใช้พลังของบรรพชนหยาจื้อได้จริงหรือ? แม้ว่าพลังแห่งบรรพชนหยาจื้อจะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็ยากที่เขาจะรับมือได้
“ข้าไม่ยอมเ้าหรอก!” ฉินอวี่ที่มีใบหน้าดุร้ายได้ลงกลับมาบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว แม้เขาคิดจะใช้หอกศึก แต่มีวานรยุทธ์อยู่ที่นั่น หอกศึกไม่มีทางโจมตีถูกตัวของชายหนุ่มคนนั้นแน่นอน เขาคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เหมือนนึกอะไรได้กะทันหัน ก่อนจะหยิบไม้ออกมากองหนึ่ง ซึ่งเป็ไม้ที่เลี่ยเอ๋าใช้สร้างเรือนไม้ เมื่อฉินอวี่ได้ััถึงข้อบังคับแห่งฟ้าดิน เขาก็ได้ทำลายมันจนพังยับเยิน เลี่ยเอ๋าเป็ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง บนไม้เหล่านี้จะต้องมีพลังอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้น ฉินอวี่จึงได้เก็บรวบรวมกองไม้เหล่านี้เอาไว้
เป็เพราะความ้าที่จะหลุดพ้นต่อพันธนาการของเลี่ยเอ๋า ฉินอวี่จึงคุ้นเคยกับการสร้างเรือนไม้เป็อย่างมาก ตอนนี้เขาจึงสร้างเรือนไม้ขึ้นในพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็ว
“นี่... นี่เขาคิดจะทำอะไร?” ทุกคนต่างมองไปทางฉินอวี่ที่กำลังสร้างเรือนไม้ด้วยความประหลาดใจ แต่ละคนต่างมึนงงอย่างยิ่ง
เขาคงไม่ได้คิดจะใช้เรือนไม้เช่นนี้ เป็อาวุธขัดขวางการโจมตีของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงใช่หรือไม่?
บ้าไปแล้วหรือ?
แม้แต่วานรยุทธ์ก็ไม่เข้าใจกับสิ่งนี้ แม้เขาจะไม่้าให้ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงใช้พลังของบรรพชน แต่เขาก็มองออกว่า หากไม่สังหารฉินอวี่เสียั้แ่ครั้งนี้ ก็จะเป็การทิ้งปมเอาไว้ภายในใจของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง ซึ่งจะกลายเป็อุปสรรคต่อการฝึกฝนในอนาคต ดังนั้น เขาจึงไม่บังคับให้หยุดกระทำ
แต่ในตอนนี้ ฉินอวี่กำลังร้างเรือนไม้ขึ้นมา ทำให้เขาประหลาดใจเป็อย่างยิ่ง
ท่ามกลางทุกคน มีเพียงฉือเซียวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่แปลกใจกับสิ่งที่เห็น ใบหน้าของเขาดูประหลาดใจและตื่นเต้นยิ่งนัก
“ศิษย์น้อง... นึกไม่ถึงว่าเ้าจะได้เรียนรู้ทักษะยุทธ์ในการสร้างเรือนไม้อันอธิบายไม่ได้มาจากอาจารย์ด้วยหรือ?”
ในขณะนี้
“โฮก!!!”
เสียงคำรามของอสูรร้ายดังกึกก้องขึ้นไปทั่วชั้นฟ้าอีกครั้ง สั่นะเืโสตประสาทของทุกคนทันที
ขณะที่อสูรร้ายแปลงของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงกำลังย่ำเท้าลงมานั้น ฉินอวี่ก็วางไม้ชิ้นสุดท้ายลงบนตำแหน่งพอดิบพอดี!
“ตูมตาม!”
