ติงเหว่ยเห็นว่าบุตรชายของนางกำลังกินอย่างมีความสุขจึงพยักหน้าเล็กน้อย นางยกมือขึ้นรินเหลียงฉาออกมาหนึ่งแก้วและก็ดื่มลงไปในอึกเดียว ถึงได้รู้สึกว่าความร้อนบนใบหน้าลดลงไปมาก
เฉิงเหนียงจื่อลอบมองสีหน้าของนายหญิงอย่างระมัดระวัง จากนั้นนางก็อุ้มอันเกอเอ๋อร์ไปที่ปลายเตียงเตา แม้กระทั่งเอ้อร์หวาที่พยายามดิ้นออกมาเพื่อจะเดินไปข้างหน้าต่างก็ถูกนางกอดไว้ในอ้อมแขนและไม่ให้ส่งเสียงออกมา เอ้อร์หวาก็ยังเด็กอยู่ไหนเลยจะเข้าใจความหมายของแม่เขา เขาจึงดีดดิ้นร่างเล็กๆ ของเขาไปมาอย่างไม่พอใจ ตอนนี้เฉิงเหนียงจื่อคิดถึงต้าหวาที่รู้ความขึ้นมาทันที แต่เมื่อนึกไปนึกมาลูกชายเดินทางออกไปข้างนอกกับสามีของนางเพื่อหาความรู้ และยังได้เรียนเขียนหนังสือ เขาจะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน นางอดไม่ได้ที่จะมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อก้มมองไปยังอันเกอเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมกอดแววตาของนางก็นุ่มนวลมากขึ้น แขนของนางโยกไปมา และพยายามทำให้คุณชายน้อยดื่มนมได้อย่างสบายที่สุด
ติงเหว่ยกลับไม่รู้เื่เหล่านี้เลย นางเอาแต่จ้องไปที่มือของนางอย่างเหม่อลอยมากกว่าครึ่งเค่อแล้ว ในสมองของนางเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ มือของชายคนนั้นทั้งใหญ่และอบอุ่น ยามที่เขาจับมืออยู่ทำให้นางรู้สึกมั่นคงเป็พิเศษ…
คนในจวนสกุลอวิ๋นทุกคนราวกับเป็ต้นหญ้าเล็กๆ ที่ถูกหินก้อนใหญ่กดทับไว้ทำให้พลาดฤดูใบไม้ผลิไป แต่ในที่สุดก็แตกหน่อเล็กๆ ออกมาในฤดูร้อนและมีความหวังที่จะเติบโตอย่างแรงกล้า เมื่อเห็นว่าการแก้พิษของนายท่านใกล้เข้ามาแล้ว ทุกคนต่างก็อยากให้เวลามีปีกจะได้บินผ่านไปเร็วกว่านี้
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำหรับการแก้พิษก็คือติงเหว่ยต้องไหว้ผู้าุโเหว่ยเป็อาจารย์ แล้วเขาก็ยินดีที่จะจัดการให้ เื่นี้ถึงได้ผ่านไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
ลุงอวิ๋นรีบวิ่งเข้าไปในอำเภอ ไม่รู้ว่าเขาไปหานักทำนายดวงชะตาจากที่ไหน สุดท้ายก็ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้เป็วันมงคลในรอบหนึ่งปี
ดังนั้นในเช้าวันที่สดใสนี้ ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์ก็ได้รับเชิญให้ไปที่จวนสกุลอวิ๋น
ทั้งสองคนต่างก็ไม่รู็ถึงเหตุผล แม่นางหลี่ว์ยังคิดไปเองว่าลูกสาวและหลานชายของนางเกิดเื่อะไรขึ้นจึงทำให้รู้สึกกังวลเป็อย่างมาก จนกระทั่งได้เห็นหน้าลูกสาวที่หน้าตาดูมีราศี และหลานชายของนางที่อ้วนขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็โล่งใจ ส่วนเื่ไหว้อาจารย์อะไรนั่นพวกเขาก็ไม่ได้สนใจแล้ว
ผู้าุโติงกลับรู้สึกมีความสุขแทนลูกสาวของเขาจริงๆ ครั้งที่แล้วที่เขาก้าวขาข้างหนึ่งไปที่วังพญายม ยาเม็ดเดียวของท่านหมอเทวดาเหว่ยก็ช่วยเขากลับมา ฝีมือการรักษาของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ
จากนี้ไป ลูกสาวของเขาต้องอาศัยอยู่กับหลานชาย การเรียนรู้ทักษะช่วยชีวิตเพิ่มเติมจึงเป็เื่ที่ไม่ผิดพลาดแน่นอน
พิธีไหว้อาจารย์ผ่านไปอย่างราบรื่นและยิ่งใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศที่มีความสุข
ติงเหว่ยกราบไหว้ผู้าุโเหว่ยอย่างเคร่งขรึมต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็ยกน้ำชาเพื่อเป็การแสดงความเคารพ
บางทีผู้าุโเหว่ยอาจจะมีความสุขมากเกินไป ขอบตาของเขาแดงก่ำ และเขาก็ถือโอกาสตอนที่ดื่มน้ำชากลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างสุดแรง จากนั้นก็พูดอบรมว่า
“ถึงแม้หมอจะมีหัวใจเหมือนคนเป็พ่อเป็แม่ แต่ยังไงมนุษย์ล้วนมีความเห็นแก่ตัว มีรักโลภโกรธหลงทุกข์สุขระคนกันไป เมื่อเ้าเข้ามาเป็ลูกศิษย์ของข้าแล้ว เ้าก็แค่ทำตามความ้าจากใจจริงของเ้า ไม่จำเป็ต้องทำผิดต่อตนเองเพื่อสิ่งอื่นๆ ภายนอก เ้าเข้าใจหรือไม่?”
“เอ่อ...” ติงเหว่ยได้ฟังก็รู้สึกสับสนนิดหน่อย นางจ้องมองผู้าุโอย่างไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
คิดไม่ถึงว่าผู้าุโกลับกลอกตาขึ้นและชี้ไปที่หน้าผากของลูกศิษย์เขาและตำหนิว่า “เ้าเด็กโง่ ในฐานะอาจารย์ข้าจะบอกเ้าว่าหลังจากที่เข้าเป็ลูกศิษย์ของข้าแล้ว จงมีความสุขเท่าที่ตนเอง้า หากเ้าอยากจะช่วยก็ช่วย หากเ้าไม่อยากช่วยก็ปล่อยให้เขาตายไป ใครก็ไม่สามารถทำให้เ้ารู้สึกผิดต่อตนเองได้! ครานี้ฟังเข้าใจหรือยัง?”
ทุกคนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าการพูดที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้เป็รูปแบบของผู้าุโเหว่ยจริงๆ อย่างไรคำว่า “ปีศาจ” ในฉายาหมอปีศาจหัตถ์เทวดาของเขาก็ไม่ถูกตั้งมาเปล่าๆ!
มีเพียงกงจื้อิเท่านั้นที่วางถ้วยชาในมือลงแล้วมองติงเหว่ยที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขถึงสามส่วน
ส่วนนายน้อยฟางไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แววตาของเขามีความอิจฉาอยู่สามส่วน
และแน่นอนว่าติงเหว่ยฟังเข้าใจแล้วในครั้งนี้ นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ทั้งยังดูสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้นางยอมรับผู้าุโแปลกประหลาดผู้นี้เป็อาจารย์อย่างแท้จริง
ไม่ว่าข่าวลือในยุทธภพจะเป็เช่นไร ไม่ว่าการไหว้อาจารย์ครั้งนี้มีโชคชะตานำพาอยู่กี่ส่วน ผู้าุโที่ชี้มาที่หน้าผากของนางทั้งยังะโอย่างเอาแต่ใจว่าอย่าทำผิดต่อตนเอง ั้แ่นี้เป็ต้นไปนางเองก็จะมีพ่อที่นางต้องเคารพและกตัญญูในโลกนี้อีกหนึ่งคน
“ท่านอาจารย์ ศิษย์น้อมรับฟังและปฏิบัติตาม ในชีวิตนี้ข้าจะทำตามคำสอนของอาจารย์ จะมีความสุขเท่าที่ตนเอง้า!”
“ดี อย่างนี้สิถึงจะเป็ลูกศิษย์ของข้า” ผู้าุโเหว่ยหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วเขาก็หยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาจากโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เขา จากนั้นก็หยิบหมอนรองข้อมืออันเล็กๆ ที่ทำจากหยกสีขาวออกมา ใบหน้าของเขาก็มีความคิดถึงอยู่สามส่วน
“แม่นางน้อย ของชิ้นนี้อยู่กับข้ามาเกือบทั้งชีวิต วันนี้ในฐานะอาจารย์การรับเ้าเป็ศิษย์ก็ถือว่าแค่รอเพลิดเพลินไปกับความสุข ข้าจึงไม่ต้องใช้มันอีกไปโดยปริยาย ดังนั้นจะมอบให้เ้าเป็ที่ระลึกก็แล้วกัน!”
“เอ๋ นี่มัน…ห่วนอวี้ [1] แห่งหลานซาน!”
ยังไม่ทันที่ติงเหว่ยจะได้รับไป ลุงอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ะโออกมาด้วยความใ เขาเอื้อมมือไปคว้ามันมาดูอยู่นาน จากนั้นก็จ้องไปที่ผู้าุโเหว่ยด้วยความโกรธ “ของดีๆ เช่นนี้ เ้าเอามาทำหมอนรองข้อมืออย่างนั้นหรือ? ช่างเป็การสิ้นเปลืองของดีๆ เช่นนี้จริงๆ!”
แววตาของกงจื้อิรวมถึงอวิ๋นอิ่งและคนอื่นต่างก็มีความเสียดายอยู่หลายส่วน ในปีนั้นที่กงจื้อิทำพิธีก้วนหลี่ [2] ท่านอ๋องส่งคนออกไปตามหาทั่วทั้งแผ่นดินซีเฮ่าแต่ก็ได้มาเพียงหนึ่งชิ้นขนาดฝ่ามือเล็กๆ ของเด็กเท่านั้น แล้วก็ให้ช่างทำหยกที่มีฝีมือประณีตมากที่สุดทำออกมาเป็เครื่องประดับหยกหนึ่งคู่ ตอนนี้ชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ที่คอของกงจื้อิ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งรอเขาแต่งงานและจะนำออกมาใช้เป็สินสอด เห็นได้ชัดว่าห่วนอวี้แห่งหลานซานนั้นล้ำค่าขนาดไหน
ปรากฏว่าผู้าุโเหว่ยกลับใช้ชิ้นขนาดเท่าอิฐเพื่อทำเป็หมอนรองข้อมือไว้ใช้ในขณะที่ตรวจชีพจร ช่างเป็การสิ้นเปลืองของดีๆ เช่นนี้จริงๆ!
ผู้าุโเหว่ยเชิดคางขึ้นอย่างภูมิใจ เขามองไปที่ทุกคนและพูดออกมาอย่างเ็าว่า “ของๆ ข้าต่อให้เป็แค่ที่รองโต๊ะมุมเดียวแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเ้าด้วย? อีกอย่างประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของห่วนอวี้แห่งหลานซานก็คือมีสมาธิและจิตใจเงียบสงบ การที่เอามาใช้รองข้อมือให้คนไข้ก็จะช่วยให้ตรวจชีพจรได้แม่นยำยิ่งขึ้น สำหรับคนในแวดวงการแพทย์แล้วจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการตรวจวัดชีพจรที่แม่นยำ เหอะ!”
แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะดูไม่น่าฟังสักหน่อย ทว่ากลับไม่มีใครไม่ยอมรับข้อเท็จอย่างที่สุดข้อนี้
กงจื้อิ นายน้อยฟางและคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้า แม้แต่ลุงอวิ๋นเองก็ยังปิดปากอย่างไม่เต็มใจ มือทั้งสองของเขาส่งหมอนรองข้อมือที่ทำจากหยกส่งไปที่ด้านหน้าของติงเหว่ย
ติงเหว่ยรับหยกและวางลงไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็คำนับขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับของล้ำค่าชิ้นนี้อีกครั้ง นางไม่ได้ระมัดระวังอะไรมากมายแต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างตามสบายกับหมอนรองข้อมือที่ทำจากอวี้ห่วนชิ้นนี้ ผู้าุโเหว่ยที่เห็นก็ยิ่งถูกใจ ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายเล็กน้อย อย่างไรพวกเขาก็เกิดในครอบครัวชนชั้นสูงในอู่โฮ่วฝู ไม่น่าเชื่อว่าจะสู้หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่มองได้อย่างทะลุปรุโปร่งไม่ได้
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของพวกเขามีอาจารย์ผู้เก่งกาจ ทั้งยังได้รับของขวัญล้ำค่าอีก ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์ต่างก็มีรอยยิ้มออกมา พวกเขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงลูกสาว จากนั้นก็คำนับผู้าุโเหว่ยอีกครั้ง
“ท่านหมอเทวดา ลูกสาวของข้ามีนิสัยดื้อรั้นมาั้แ่เด็ก ต่อไปคงต้องรบกวนให้ท่านช่วยชี้แนะนางด้วยแล้ว หวังว่าท่านจะให้อภัยนางมากๆ หน่อย และช่วยสงสารนางมากสักหน่อยที่เจอความโชคร้ายมามากมาย…”
เมื่อนึกถึงเื่ที่ลูกสาวของเขาตั้งครรภ์จนโดนวิพากษ์วิจารณ์และถูกขับไล่ ผู้าุโติงพูดไปพูดมาก็พูดไม่ออก แม่นางหลี่ว์เองก็เช็ดน้ำตาของนางเช่นกัน
เดิมทีผู้าุโเหว่ยรับนางเป็ศิษย์ก็เพราะประการแรกอยากสืบทอดวิชาต่อไป ประการที่สองเขาเองก็อยากมีที่ให้พึ่งพิง ทุกวันนี้เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้จากพ่อและแม่ของนาง เขาเองก็รู้สึกผิดอยู่นิดหน่อย ราวกับว่าตนเองไปแย่งลูกสาวของคนอื่นมาอย่างทนโท่
“น้องชาย น้องสะใภ้ พวกเ้าอย่าได้พูดอย่างนั้นเลย ทั้งหมดนี่ล้วนเป็เพราะชายแก่ไร้ยางอายอย่างข้าไปบังคับให้แม่นางน้อยมาเป็ลูกศิษย์ พวกเ้าไม่โกรธข้าก็พอแล้ว พวกเ้าวางใจเถอะเมื่อก่อนข้าไม่ได้อยู่ที่นี่แต่ต่อไปตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้แม่นางน้อยคนนี้ต้องรู้สึกผิดต่อตนเองเลยแม้แต่น้อย หากว่าข้าผิดคำพูดขอให้พวกเ้าจัดการข้าตามที่้าได้เลย”
“ขอบคุณพี่ชาย”
ผู้าุโติงเองก็ดึงผู้าุโเหว่ยมาขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากไม่เป็เพราะลุงอวิ๋นเข้ามาปลอบพวกเขาและเชิญให้พวกเขานั่งดื่มเหล้า เกรงว่าไม่รู้ทั้งสองคนจะพูดคุยกันไปจนถึงเมื่อไร
ติงเหว่ยเองก็รีบส่งอันเกอเอ๋อร์เข้าไปไว้ในอ้อมแขนของผู้าุโเหว่ย แต่ไหนแต่ไรมารอยยิ้มของเด็กน้อยก็เป็เครื่องปรุงรสที่ดีที่สุด ต่อให้ชีวิตจะมีความขมฝาดของความลำบากสักแค่ไหน ก็สามารถเปลี่ยนให้เป็รสชาติอร่อยถ้วยหนึ่งได้
ในไม่ช้า ผู้คนก็ดื่มกินในงานเลี้ยง นอกจากองครักษ์ที่จำเป็แล้ว ยอดฝีมือเฟิงฮั่วซานหลินทั้งสี่กลุ่มเองก็มาร่วมโต๊ะกันทั้งหมด ถ้าจะให้พูดขึ้นมาแล้วในหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไปตามหาคน แต่ละคนเองก็มีเื่ราวที่อยากพูดมากมาย ผู้าุโเหว่ยที่ดื่มเหล้าลงท้องไปก็ลืมเหตุการณ์ที่น่าอับอายของการถูกลักพาตัวก่อนหน้านี้ไป และอวดอ้างความสามารถในการซ่อนตัวของเขา
ชายชราหนึ่งคนกับเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง เดิมทีจากที่เคยตั้งท่าเป็ศัตรูกลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มองแล้วก็รู้สึกสนิทสนมกันขึ้นมา
ติงเหว่ยรินเหล้าให้ผู้าุโดื่มจากนั้นก็เข้าครัวเพื่อไปนำอาหารออกมาอีก นางยุ่งจนแทบไม่ได้หยุดเดินเลย จนกระทั่งไก่ขอทาน [3] แบบเรียบง่ายออกมาจากเตา นางะโเรียกเฟิงจิ่วให้เอาออกไปส่งให้เหล่าองครักษ์ที่ผลัดเวรกันปฏิบัติหน้าที่ นางถึงได้นั่งลงและหาอะไรรองท้องได้สักหน่อย
กงจื้อิตักน้ำแกงด้วยตนเองและยื่นมาให้ ติงเหว่ยเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรดังนั้นนางก็เลยรับไปและดื่มทันที ปกติพวกเขาก็กินข้าวโต๊ะเดียวกันบ่อยครั้ง คีบกับข้าวให้กันจนเป็ความเคยชินไปแล้ว
ทว่าความเคยชินแบบนี้ในสายตาของยอดฝีมือเฟิงฮั่วซานหลินทั้งสี่กลุ่มกลับเป็เื่ใหญ่มาก หากรู้ว่านายท่านของพวกเขามีฐานะสูงศักดิ์ขนาดไหน ทั้งยังเป็โรคเกลียดความสกปรกมาั้แ่เด็กๆ ต่อให้เป็แก้วชาที่เขาเคยใช้แล้วก็ไม่ยอมให้คนอื่นจับต้องได้โดยง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตักน้ำแกงที่เป็งานของบ่าวด้วยตนเองเช่นนี้…
ทุกคนมองหน้ากันและก้มศีรษะลงกินดื่มต่อ แต่ในใจของพวกเขากลับจำคำพูดของอวิ๋นอิ่งในคืนนั้นได้อย่างชัดเจน
ไม่นานนัก เฟิงจิ่วก็หัวเราะคิกคักกลับมา เขากอดไหเหล้ามาด้วยและรินให้ทุกคนดื่ม จนกระทั่งเขาเดินไปถึงข้างๆ ติงเหว่ยก็แอบกระซิบเบาๆ ว่า “พี่ติง ไก่ย่างห่อด้วยดินเหลืองนั้นอร่อยมาก พี่น้องทุกคนต่างก็บอกว่าต่อไปเวลาออกไปข้างนอกไม่จำเป็ต้องกินไก่ดิบๆ อีกแล้ว!”
ติงเหว่ยเมื่อครู่เพิ่งจะยกเหล้าคารวะเหล่าผู้าุโไปไม่กี่จอก ถึงแม้จอกเหล้าจะไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ตอนนี้นางก็เริ่มหน้าแดงนิดหน่อย เมื่อได้ยินเฟิงจิ่วพูดเช่นนั้นก็เลยหัวเราะออกมา “อันที่จริงวิธีการนั่นง่ายมาก ต่อให้อยู่กลางป่ากลางเขาก็ทำได้ ก็แค่เครื่องปรุงไม่ได้มีครบถ้วนเหมือนที่มีในบ้าน รสชาติจึงไม่ได้อร่อยขนาดนี้ หากว่าพวกเขารู้สึกชอบ ไว้ถ้าข้ามีเวลาเดี๋ยวจะห่อเครื่องปรุงไว้และแบ่งให้ทุกคนคนละหนึ่งอัน ไม่เพียงแต่ไว้ทำไก่ขอทานเท่านั้น ยังสามารถใช้กับเหยื่อที่ล่ามาได้ด้วยเหมือนกัน”
“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณพี่ติงในนามของพี่น้องทั้งหมดด้วย” เฟิงจิ่วขอบคุณอย่างมีความสุข จากนั้นก็วิ่งไปหาเหล่าสหายพร้อมบอกความดีความชอบของเขา
เื่นี้กลับเตือนติงเหว่ยขึ้นมา นางหันหน้าไปทางกงจื้อิที่ฟังเหล่าผู้าุโกับนายน้อยฟางคุยกันอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไร ดังนั้นนางจึงโน้มตัวเข้าไปและพูดว่า “นายน้อย จู่ๆ ข้าก็นึกออกเื่หนึ่ง ท่านลองฟังดูว่าจะมีประโยชน์บ้างหรือไม่?”
กงจื้อิรู้ดีถึงความฉลาดเฉลียวและความคิดอันน่ามหัศจรรย์ของนาง เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาจึงวางแก้วลงแล้วถามว่า “เ้าพูดมาได้เลย ข้าฟังอยู่”
ติงเหว่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดออกมาว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ากับอาจารย์กำลังคิดค้นวิธีการเย็บาแด้วยเชือกเหนียวที่ทำจากไส้ของสัตว์และใช้เหล้าเข้มข้นฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็วิธีการที่ดีและรวดเร็วในการรักษาาแภายนอก เมื่อครู่ข้าเพิ่งนึกถึงเหล่าองครักษ์ที่ต้องออกไปอยู่ข้างนอกบ่อยๆ พวกเขาเองก็มีเวลาที่ต่อสู้จนได้รับาเ็ใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นลองคิดหาห่อผ้าเล็กๆ ติดตัว เอาไว้ใส่เหล้าเข้มข้นขวดเล็ก เชือกเหนียวเอาไว้ใช้เย็บ เข็ม แล้วก็ผ้าฝ้ายใช้พันแผลที่ผ่านการต้มและตากแห้งแล้ว หรือแม้กระทั่งเตรียมผ้าห้ามเืไปด้วย ใน่เวลาวิกฤติใครๆ ก็สามารถจัดการาแได้อย่างง่ายดาย และหลีกเลี่ยงการาเ็ล้มตายโดยไม่จำเป็…”
“แม่นางน้อย นี่เป็ความคิดที่ดี!”
-----------------------------------------
[1] ห่วนอวี้ 暖玉 หมายถึง หยกเนื้ออ่อน เป็หยกชั้นดีสมัยโบราณเชื่อว่าหากสวมใส่ไว้จะช่วยป้องกันโรคร้ายและส่งเสริมให้อยู่ดี สงบสุข เนื้อหยกละเอียดแวววาวสะท้อนแสง ผิวละเอียด เมื่อสวมใส่จะรู้สึกเย็นก่อนแล้วค่อยอบอุ่น แต่ไม่ใช่ความเย็นแบบหนาวเย็น เมื่อสวมใส่ไปนานๆ จะยิ่งเป็มันวาวราวกับมีน้ำอยู่ในตัวก็ไม่ปาน
[2] พิธีก้วนหลี่ 冠礼 หมายถึง เด็กชายอายุครบ 20 ปี ถึงวัยบรรลุนิติภาวะ เป็คฤหัสถ์ครองเรือน จะมีพิธีขึ้นหมวกซึ่งเรียกว่า กวนหลี่(冠礼) หรือ เฉินเหนียนหลี่(成年礼) สวมหมวกแสดงความเป็ผู้ใหญ่ พร้อมกันนี้บุพการีจะตั้งชื่ออย่างเป็ทางการให้ โดยเรียกว่า “จื่อ(字)” ส่วนเด็กผู้หญิงอายุครบ 15 ปี จะเข้าพิธีขึ้นปิ่นปักผมซึ่งเรียกว่า จีหลี่(笄礼) เพื่อแสดงความเป็ผู้ใหญ่พร้อมจะออกเรือนได้ บุพการีก็จะตั้งชื่ออย่างเป็ทางการ หรือ “จื่อ(字)” ให้
[3] ไก่ขอทาน 叫花鸡 หมายถึง ไก่ยัดไส้ที่ทำคล้ายกับไก่แปดสมบัติ หมักเครื่องปรุงรส ยัดไส้ด้วยขิงเห็ดและหน่อไม้ พอกด้วยดินเหลืองแล้วอบในกองฟาง ตามตำรับเดิมไก่ขอทานที่ถูกพอกด้วยดินแล้วอบด้วยไฟต่ำนี้ ใช้เวลาราว 6 ชั่วโมง จึงจะได้ไก่ที่ทั้งนุ่มและหอม