กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง!
เสียงออดหมดคาบเรียนภาคเช้าดังกังวานไปทั่วตึกอำนวยการและอาคารเรียนไม้สองชั้น สำหรับเด็กนักเรียนชั้นอื่น มันอาจจะเป็แค่เสียงบอกเวลาพักธรรมดา แต่สำหรับเด็ก ป.5/2 อย่างฉันและเพื่อนๆ ในยุคนั้น มันคือสัญญาณนกหวีดปล่อยตัวนักวิ่งโอลิมปิก
ทันทีที่ครูสอนวิชาสังคมพูดจบประโยคว่า “หัวหน้าบอกชั้น” และพวกเราก้มหัวไหว้แบบขอไปทีเสร็จสรรพ เสียงลากเก้าอี้ดัง ครืดคราด ก็เกิดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เฮ้ย! วิ่ง!”
ใครสักคนะโขึ้นมา แล้วมหกรรม ‘วิ่งสู้ฟัด’ ฉบับเด็กประถมก็เริ่มต้นขึ้น
ฉันในวัยสิบเอ็ดขวบ ไม่ใช่เด็กเรียบร้อยนั่งพับเพียบรอเดินลงบันไดสวยๆ อย่างที่แม่เข้าใจ วินาทีนั้น ิญญานักวิ่งลมกรดเข้าสิงร่าง ฉันคว้ากระเป๋าตังค์ใบเล็กสีชมพูลายการ์ตูนตาหวาน ยัดใส่กระเป๋ากระโปรง แล้วพุ่งตัวออกจากห้องเรียนเป็คนแรกๆ
ตึก ตึก ตึก ตึก!
เสียงรองเท้านักเรียนหญิงสีดำ ยี่ห้อบาจาหรือนันยางสักยี่ห้อ กระแทกกับพื้นไม้กระดานดังสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นจากร่องกระดานฟุ้งกระจายตามรอยเท้าพวกเราไปตลอดทางเดินระเบียงชั้นสอง
เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียว... ร้านป้าสมร ร้านขายขนมสวัสดิการที่ตั้งอยู่หน้าโรงอาหาร
ในความทรงจำของผู้หญิงวัยสามสิบห้า ภาพโรงเรียนตอนพักเที่ยงมันช่างวุ่นวายและมีชีวิตชีวาเหลือเกิน แดดตอนเที่ยงวันร้อนระอุจนไอร้อนเต้นยิบๆ อยู่เหนือพื้นคอนกรีต แต่ไม่มีใครสนใจแดด เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งเตะบอลพลาสติกกันฝุ่นตลบกลางสนาม ทั้งที่ใส่ชุดนักเรียนเต็มยศ เด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งะโหนังยางกันอยู่ที่ร่มไม้
แต่ฉันไม่สนใจใครทั้งนั้น สายตาจับจ้องไปที่หลังคาไวนิลสีเขียวสลับขาวของร้านป้าสมรที่อยู่ไกลลิบๆ
“วันนี้ต้องทัน... วันนี้ต้องทัน...”
เสียงในใจของเด็กหญิงอาวรรณพร่ำบอกตัวเอง เพราะเมื่อวานฉันพลาดไป วันก่อนก็พลาดไป ขนมปังในตำนานที่ใครๆ ก็พูดถึง ‘ช็อกโกบอลไส้ครีม’ ที่เพิ่งมาลงขายใหม่ มันหมดเร็วอย่างกับแจกฟรี
ฉันวิ่งลงบันไดตึกเรียนแบบก้าวะโทีละสองขั้น (ซึ่งถ้าครูฝ่ายปกครองมาเห็นคงโดนตีจนน่องลาย) ลมร้อนพัดปะทะหน้าจนผมม้าแตกกระจาย เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามไรผมและจมูก
เมื่อเท้าแตะพื้นซีเมนต์ชั้นล่าง ฉันก็ใส่เกียร์หมา สับตีนแตกมุ่งหน้าสู่โรงอาหาร
กลิ่น... กลิ่นของโรงอาหารชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวหมูสับหอมฉุย กลิ่นน้ำมันทอดไก่ และกลิ่นเหงื่อของเด็กนับร้อยคนที่มารวมตัวกัน
“ป้าสมร! เอาเลย์ห่อนึง!”
“ป้าครับ! ซื้อน้ำแดงใส่ถุง!”
เสียงะโสั่งของดังเจี๊ยวจ๊าวแข่งกับเสียงโขลกน้ำแข็ง ร้านป้าสมรไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อติดแอร์หรูหราแบบในปัจจุบัน แต่มันคือเพิงไม้ขนาดใหญ่ที่มีตะแกรงเหล็กดัดกั้นหน้าเคาน์เตอร์ เหมือนกรงขังความอร่อยที่เด็กๆ ต้องยื่นมือลอดช่องตะแกรงเข้าไปรับของ
ฉันวิ่งมาถึงหน้าโรงอาหาร หอบแฮ่กๆ จนตัวโยน มือข้างหนึ่งกุมกระเป๋ากระโปรงแน่นเพื่อเช็กว่าเหรียญยังอยู่ครบ อีกมือปาดเหงื่อที่ไหลเข้าตา
ภาพเบื้องหน้าคือสมรภูมิรบขนาดย่อม
เด็กนักเรียนตัวเปี๊ยก ป.1 ถึงพี่เบิ้ม ป.6 ยืนออหน้าตะแกรงร้านขนม เบียดเสียดเสียดสีกันเพื่อแย่งชิงพื้นที่หน้าเคาน์เตอร์ เสียงเหรียญกระทบโต๊ะสังกะสีดัง แก๊งๆๆ
ฉันพยายามแทรกตัวผ่านกำแพงมนุษย์เข้าไป ด้วยความตัวเล็กและคล่องแคล่ว ฉันมุดผ่านแขนพี่ ป.6 เบียดไหล่เพื่อน ป.5 จนมายืนเกาะตะแกรงเหล็กได้สำเร็จ
สายตาของฉันสแกนไปที่ชั้นวางขนมด้านหลังป้าสมรอย่างรวดเร็ว
ขนมปังไส้เผือก... เหลือเยอะ (ไม่อร่อย)
ขนมปังไส้สังขยา... เหลือสองห่อ (เฉยๆ)
และนั่น...
ตรงมุมขวาสุดของชั้นวาง ตะกร้าสีฟ้าที่ปกติจะว่างเปล่า วันนี้ยังมีห่อขนมสีแดงสดวางอยู่
ช็อกโกบอล!
ดวงตาของฉันเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนวิ่งมาถึงเสียอีก มันยังเหลืออยู่! และไม่ได้เหลือแค่ห่อเดียว แต่เหลืออยู่... เอ๊ะ...
เดี๋ยวนะ...
สายตาของฉันโฟกัสชัดขึ้น
หนึ่ง... สอง...
ไม่สิ มันเหลืออยู่แค่ ชิ้นเดียว ต่างหาก!
ช็อกโกบอลลูกกลมๆ เคลือบช็อกโกแลตหนาๆ นอนสงบนิ่งอยู่ในห่อพลาสติกใสเพียงลำพัง เหมือนาาผู้โดดเดี่ยวที่รอคอยผู้พิชิต
“ของฉัน!”
สัญชาตญาณนักล่าทำงานทันที ฉันล้วงเหรียญสิบบาทออกจากกระเป๋า เตรียมจะะโสั่งป้าสมรที่กำลังง่วนอยู่กับการตักน้ำแข็งใสให้เด็กอีกคน
แต่ทว่า...
ในขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปาก จู่ๆ ก็มีเงาดำทาบทับลงมาจากด้านข้าง พร้อมกับกลิ่นเหงื่อจางๆ และกลิ่นสบู่เด็กที่คุ้นจมูก
มีใครบางคนมายืนขนาบข้างฉันที่หน้าตะแกรง
ฉันหันขวับไปมอง
เด็กผู้ชายตัวผอมสูง ผิวคล้ำแดด ตัดผมทรงนักเรียนเกรียนขาวสามด้าน เสื้อนักเรียนหลุดลุ่ยออกมานอกกางเกงข้างหนึ่ง บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการวิ่งอย่างโชกโชนมาเหมือนกัน
ใบหน้าของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับจ้องเขม็งไปที่จุดเดียวกับฉันเป๊ะ
ตะกร้าสีฟ้า... และขนมชิ้นสุดท้าย
เราสองคนหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย
วินาทีนั้น โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน เสียงจอแจรอบข้างเงียบหายไป เหลือเพียงเสียงหอบหายใจของเราสองคน และกระแสไฟฟ้าเปรี๊ยะๆ ที่แล่นผ่านสายตา
ฉันจำดวงตาคู่นั้นได้แม่นยำ แม้จะเป็ภาพในความทรงจำเมื่อยี่สิบปีก่อน
ดวงตาที่มีแววขี้เล่น ซุกซน แต่ก็แฝงความดื้อรั้นเอาไว้
มอส
ในเวลานั้น เขายังไม่ใช่ ‘รักแรก’ ของฉัน
เขายังไม่ใช่เ้าของตุ๊กตาเ้าบ่าว
เขายังไม่ใช่คนที่ฉันจะร้องไห้ฟูมฟายถึงในอีก 20 ปีข้างหน้า
แต่ในวินาทีนั้น... ณ หน้าตะแกรงเหล็กร้านป้าสมร
เขาคือ ‘ศัตรู’
ศัตรูตัวฉกาจที่จะมาแย่งชิงความสุขเพียงหนึ่งเดียวในมื้อเที่ยงของฉันไป
มอสเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นกวนๆ ริมฝีปากที่แห้งผากแสยะยิ้มที่มุมปาก เป็รอยยิ้มท้าทายที่แปลความหมายได้ชัดเจนว่า ‘ไม่ทันหรอกยัยเตี้ย’
มือของเขาขยับล้วงเหรียญในกระเป๋ากางเกง
มือของฉันกำเหรียญสิบบาทแน่นจนชื้นเหงื่อ
นี่ไม่ใช่แค่การซื้อขนม
แต่มันคือศักดิ์ศรีของเด็ก ป.5
ป้าสมรวางแก้วน้ำแดงลง หันหน้ามาทางพวกเราพร้อมผ้ากันเปื้อนเปื้อนคราบน้ำหวาน
“เอ้า ว่าไงสองคนนั้น จะเอาอะไร แย่งกันพูดป้าฟังไม่ทันนะ”
เสี้ยววินาทีตัดสินเป็ตาย
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด เตรียมะโสุดเสียง
และมอสเองก็อ้าปากเตรียมส่งเสียงเช่นกัน
การปะทะกันครั้งประวัติศาสตร์หน้าโรงอาหาร กำลังจะะเิขึ้นใน... 3... 2... 1..
