อวิ๋นอิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ มองอย่างมีความสุข นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยประคองติงเหว่ยให้นอนลง แม่นางหลี่ว์ซาบซึ้งใจที่อวิ๋นอิ่งคอยดูแลเอาใจใส่และตั้งใจดูแลติงเหว่ยเป็อย่างดี นางจึงพูดชมเชยว่า “อวิ๋นอิ่งเป็เด็กดีจริงๆ เหว่ยเอ๋อร์ของครอบครัวเราโชคดีแล้วที่มีเ้าคอยช่วยดูแล หลังจากนางออกจากอยู่เดือนแล้วเ้าคงต้องเหนื่อยอีกไม่น้อยเลย!”
อวิ๋นอิ่งยิ้มบางๆ แล้วตอบว่า “ท่านป้าเกรงใจเกินไปแล้ว นี่ล้วนเป็สิ่งที่บ่าวควรทำก็เท่านั้นเอง”
ติงเหว่ยจับมือของอวิ๋นอิ่ง และพูดอย่างจริงใจว่า “เหตุใดแทนตัวด้วยบ่าวอีกแล้วล่ะ ถึงแม้ท่านลุงอวิ๋นสั่งให้เ้ามาดูแลข้า แต่ข้าเองก็เข้ามาทำงานเหมือนกัน พวกเราอยู่ในฐานะเดียวกันก็ต้องเรียกกันว่าพี่สาวกับน้องสาวสิ หลังจากนี้อันเกอก็จะเรียกเ้าว่าท่านป้าอิ่งเช่นกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นอิ่งก็เงยหน้ามองผิงอันเ้าเด็กอ้วนกลมที่แสนจะว่านอนสอนง่ายคนนี้ ดวงตาของนางก็นุ่มนวลมากขึ้น จากนั้นอวิ๋นอิ่งก็ตอบรับเบาๆ
……
ท่านลุงอวิ๋นพาแม่นางหลิวและแม่นางหวังมาจากด้านนอกจวน พอดีกับที่เขาเห็นป้าหลี่ออกมาจากครัว จึงถามว่า “แม่นางติงกินอะไรไปบ้างเมื่อเช้า?”
ท่านป้าหลี่จึงรีบตอบด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางติงกินไข่ไปสามฟอง โจ๊กรังนกหนึ่งชาม ตอนนี้บ่าวก็กำลังเคี่ยวน้ำแกงไก่ดำบนเตาอยู่ หลังจากที่เคี่ยวเสร็จแล้วจะให้แม่นางติงกินสักชามหนึ่ง อันเกอเอ๋อร์กินเก่งมากเกินไป หากว่ามีน้ำนมมากกว่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินดังนั้น เขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดกำชับว่า “ถ้าเ้าขาดอะไรไปก็ให้ผู้ดูแลหลินไปช่วยหา จะปล่อยให้แม่นางติงน้อยใจไม่ได้ล่ะ”
“รับทราบเ้าค่ะ ท่านผู้าุโ เมื่อวานแม่นางติงยังอ่อนเพลีย เมื่อนางหายดีแล้วยังตั้งใจจะไปคำนับท่านผู้าุโอยู่เลย!”
ท่านลุงอวิ๋นรีบโบกมือ เขาคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็นึกถึงแม่นางหลิวและแม่นางหวังที่อยู่ข้างหลังขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงรีบแก้ต่างเป็ “ถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่ใช่สกุลอวิ๋น แต่นานๆ ทีจวนเราถึงจะมีเื่มงคลเช่นนี้ จะดูแลมากสักหน่อยก็ถือเป็เื่ที่สมควรแล้ว เ้าบอกแม่นางติงให้ดูแลสุขภาพให้ดี อย่าได้เกรงใจ”
“รับทราบเ้าค่ะ ท่านผู้าุโ”
ท่านป้าหลี่รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบเพื่อที่จะทักทายแม่นางหลิวและแม่นางหวัง “พวกท่านทั้งสองคงเป็พี่สะใภ้ของแม่นางติงใช่หรือไม่”
แม่นางหลิวและแม่นางหวังตอบกลับอย่างระมัดระวัง พวกนางโค้งคำนับให้ท่านลุงอวิ๋น แล้วเดินตามท่านป้าหลี่เข้าไปในห้อง
ท่านลุงอวิ๋นกำลังเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวต่างๆ ในใจของเขารู้สึกคันยุบยิบราวกับโดนแมวข่วน เขากำลังสงสัยว่าผ่านไปครึ่งเดือนแล้วคุณชายน้อยจะเป็อย่างไรบ้าง ทว่าเขาก็เป็บุรุษคนเดียวคงไม่ดีหากจะเข้าไป ดังนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับไปทางเรือนของนายน้อยแทน เพื่อเข้าไปรายงานวันละสามครั้ง
……
กงจื้อิกำลังนั่งอยู่ในลานเพื่อฝึกมีดบินด้วยมือซ้าย ทว่ามือซ้ายของเขาที่เพิ่งฟื้นตัวกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึกเหมือนกับมือขวา มีดบินที่ปาออกไปไม่เพียงแต่จะไม่โดนเป้าทั้งยังพุ่งไปปักเข้าที่ประตู ทำเอาลุงอวิ๋นที่ขาข้างหนึ่งอยู่ในประตู ขาอีกข้างหนึ่งอยู่ด้านนอกถึงกับใจนเหงื่อไหลออกมาเต็มศีรษะสีขาวของเขา
“นายน้อย ท่านวางแผนจะส่งบ่าวไปรับใช้เหล่าโฮ่วเย่ [1] ล่วงหน้าอย่างนั้นหรือ?”
ท่านลุงอวิ๋นเช็ดเหงื่อไปพลางและแสร้งทำเป็ร้องไห้ราวกับเขารู้สึกผิดเป็อย่างมาก “น่าสงสารคนแก่อย่างข้าจริงๆ นายท่านส่งบ่าวเฒ่าคนนี้ให้คอยมารับใช้นายน้อย นึกไม่ถึงเลยว่านายน้อยจะไม่ชอบบ่าวเฒ่าคนนี้แล้วงั้นหรือ? บ่าวเฒ่ารู้สึก…”
“เอาเถอะ ท่านลุงอวิ๋น” กงจื้อิฟังแล้วรู้สึกขบขันและหมดหนทางจึงรีบพูดเพื่อหยุดเขาไว้ ชายชราคนนี้อาจมีความสุขจนเป็บ้าไปแล้ว ่ไม่กี่วันนี้เขาเป็เหมือนเด็กที่ซุกซนไม่มีผิด แล้วเขายังมักจะพูดเื่ตลกๆ อยู่บ่อยๆ
เป็อย่างที่คาดเอาไว้ เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นเขาก็ลดแขนเสื้อลงทันทีและแน่นอนว่าไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ทั้งยังหัวเราะคิกคักพร้อมกับยื่นมือออกไปรินชาให้กับกงจื้อิ และเขาก็พูดออกมาด้วยท่าทีกระตือรือร้นว่า “นายน้อย ท่านไม่รู้ว่าเมื่อครู่ข้าเพิ่งไปหาแม่นางติงมา ข้าได้ยินมาว่าแม่นางติงกินอาหารเช้าได้เยอะมาก เป็เพราะว่าคุณชาย…เอิ่ม อันเกอเอ๋อร์กินเยอะมากกว่าเด็กคนอื่น แล้วก็ตัวอ้วนกว่าอีกด้วย ท่านป้าหลี่จึงเกรงว่าแม่นางติงจะมีน้ำนมไม่พอ นางจึงจะทำน้ำแกงไปให้ดื่มเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนม”
กงจื้อิก้มศีรษะลงและดื่มชาอย่างช้าๆ โดยไม่ตอบรับอะไร ทว่าท่านลุงอวิ๋นกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูด ทั้งยังพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “เดิมทีบ่าวเฒ่ากังวลว่าแม่นางติงจะตั้งชื่อที่ไม่ค่อยดีให้กับคุณชายน้อย เพราะครอบครัวชาวนาล้วนมีความเชื่อที่ว่ายิ่งตั้งชื่อลูกด้วยคำไม่ค่อยดีสักเท่าไรเด็กก็จะว่านอนสอนง่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่นายน้อยอยู่ในฐานะอะไร หากในวันหน้าไปทำความรู้จักบรรพบุรุษคงจะไม่เหมาะสมเท่าไร แต่นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางติงจะฉลาดเฉลียวไม่เบา นางตั้งชื่อว่าผิงอัน ไม่เพียงแต่ความหมายดีทั้งยังเหมาะสมอีกด้วย หากว่าเรียกไปตลอดชีวิตก็จะกลายเป็พูดว่าปลอดภัยไปตลอดชีวิตอีกด้วย ไม่มีชื่อที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว พอถึงตอนที่ทำแผนผังครอบครัวค่อยตั้งชื่อจริงอีกสักหน่อยก็เยี่ยมไปเลย”
“ซิน!”
ท่านลุงอวิ๋นพูดจนน้ำลายกระเด็นเต็มไปหมด เขาตื่นเต้นดีใจจนไม่รู้จะทำมือไม้อย่างไร ทันใดนั้นจู่ๆ ก็ได้ยินนายน้อยพูดออกมาคำหนึ่ง ตอนแรกเขายังไม่เข้าใจ แต่แล้วอวิ๋นอีผู้ที่ยืนประกบอยู่ด้านข้างเพื่อคอยช่วยเก็บมีดบินที่นานๆ ทีจะมีไหวพริบสักครั้งกลับยิ้มและพูดว่า “ชื่อนี้ก็ไม่เลว กงจื้อซิน ครอบครัวสกุลกงจื้อซินหั่วเซียงฉวน [2] ไปอีกพันๆ ปี หมื่นๆ ปี!”
ท่านลุงอวิ๋นกะพริบตาและรีบตกลงอย่างรวดเร็ว “ตกลง เมื่อคุณชายน้อยโตขึ้น ข้าจะหาปรมาจารย์มาตั้งชื่อดีๆ ให้กับคุณชายน้อย”
“ข้าได้ยินมาว่ามีนักพรตสามคนอยู่ในูเาหนานซาน หลิวชังอันเป็คนที่มีคุณธรรมสูงส่งที่สุด มิสู้เชิญเขามาสอนหนังสือให้คุณชายน้อยสักหน่อยล่ะ?” ซานอีเองก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขเช่นกัน เขาเองก็หวังจะไปหาสิ่งที่ดีที่สุดมาวางตรงหน้าของคุณชายน้อย
“ไม่ดีๆ ข้าได้ยินมาว่าชายชราผู้นั้นหัวโบราณมาก เดี๋ยวเขาจะทำให้นายน้อยสูญเสียจิติญญาของเขาไป” ท่านลุงอวิ๋นคัดค้าน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและเริ่มกังวลว่าจะเลือกอาจารย์ท่านไหนดี
เมื่อกงจื้อิได้ยินทั้งสองคนทะเลาะกัน มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย แสงแดดส่องไปที่ใบหน้าของกงจื้อิทำให้เขาดูอ่อนโยนขึ้นมาถึงสามส่วน ช่างเป็ภาพที่หาได้ยากจริงๆ
“ปัง!” เขาหยิบมีดบินเล่มสุดท้ายขึ้นมาแล้วเหวี่ยงมันออกไปอย่างไม่ค่อยตั้งใจ แต่คราวนี้มันกลับเข้าตรงกลางเป้าพอดี...
……
ถึงแม้จะห่างกันเพียงครึ่งเดือน แต่ติงเหว่ยก็ยังมีความสุขมากที่ได้พบพี่สะใภ้ทั้งสองคนของนางอีกครั้ง หลังจากที่ถูกแม่นางหลี่ว์ถามเื่จิปาถะมากมายเสร็จ ติงเหว่ยก็ลากพี่สาวมาถามถึงหลานชายและหลานสาวของนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง เหตุใดต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์ไม่ได้มาด้วยกันล่ะ? มีใครคอยดูแลพวกเขาที่บ้านอย่างนั้นหรือ?”
แม่นางหลิวยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กสองคนนี้ซนเกินไปมาก ข้าจะพาพวกเขามากวนเ้าได้ยังไง พี่รองของเ้ายังไม่กลับมาจากในเมือง ส่วนพ่อกับพี่ใหญ่ของเ้าก็ยุ่งกันอยู่ที่ร้าน ข้าก็เลยเอาพวกเขาไปฝากไว้ที่บ้านสกุลซุนที่อยู่ข้างๆ”
เมื่อแม่นางหวังได้ฟังก็ขมวดคิ้วแล้วรีบพูดต่ออย่างรวดเร็วว่า “พี่รองของเ้าบ่นคิดถึงเ้าตลอดทั้งวัน ตอนเช้าก็ยังกำชับข้าให้ถามเ้าว่าขาดเหลือของกินอะไรหรือไม่ เดี๋ยวเขาจะได้ซื้อของจากในเมืองและให้คนมาส่งให้ ตอนนี้การค้าขายที่ร้านเครื่องใช้ไม้ไปได้ดี ทำให้ครอบครัวเราไม่จำเป็ต้องประหยัดมัธยัสถ์ขนาดนั้นอีกแล้ว”
“ใช่ๆ” ก่อนที่ติงเหว่ยจะทันพูดอะไร แม่นางหลิวก็แย่งพูดขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้รองของเ้าพูดถูก ร้านอาหารของเราั้แ่เปิดร้านมาก็มีรายได้มาตลอด ไม่เหมือนกับร้านเครื่องไม้ที่เพิ่งเปิดได้เพียงสองเดือน บ้านเราตอนนี้ก็ไม่ได้ขาดเงินขาดทอง หากเ้าขาดเหลืออะไรอย่าได้เกรงใจกับที่บ้านเลย เ้าพูดออกมาได้เลย”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ทั้งสองที่เป็ห่วง ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะคลอดผิงอันแล้วกำลังอยู่เดือน ทว่าั้แ่แรกที่ลงชื่อในสัญญาการทำงานกับจวนสกุลอวิ๋นก็ได้ตกลงกันไว้แล้ว เงินเดือนจะไม่ถูกหักแม้แต่เหวินเดียว ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นร่ำรวยอะไร แต่ก็พอให้เราสองแม่ลูกใช้จ่ายแล้ว หากว่าวันใดข้ามีเงินไม่พอขึ้นมาจริงๆ ค่อยบอกพวกพี่สะใภ้ก็แล้วกัน”
ในมือของติงเหว่ยถือชาพุทราน้ำตาลทรายแดงขึ้นมาดื่ม บางครั้งก็พูดเสริมไปบ้าง ติงเหว่ยฟังแม่นางหลิวและแม่นางหวังที่กำลังถกเถียงกัน ส่วนแม่นางหลี่ว์กลับไม่ทันสังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย นางตบก้น ผิงอันที่เล่นจนเหนื่อยและหลับไปเบาๆ นางหอมหน้าผากเขาไม่หยุดด้วยความเอ็นดู
ทว่าอวิ๋นอิ่งที่ยืนอยู่ที่ประตูกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย นางกำลังครุ่นคิดเื่ที่จะบอกเสี่ยวฝูจื่อว่าครั้งต่อไปอย่าให้สะใภ้ทั้งสองของสกุลติงเข้ามา ซานอีเองก็บอกไว้ว่าครั้งนี้แม่นางติงได้รับาเ็ที่ร่างกายและอย่าให้นางได้รับาเ็ที่จิตใจจะดีที่สุด
ติงเหว่ยพูดแทรกพี่สะใภ้ของนางไปสองประโยค อย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้พวกนางทั้งสองคนอับอายไปมากกว่านี้ ดังนั้นติงเหว่ยจึงพยายามที่จะเปลี่ยนเื่ พูดถึงต้าเป่าและฝูเอ๋อร์ที่เริ่มจะอ่านออกเขียนได้ แล้วยังมีร้านอีกสองร้านที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็อย่างมาก เช่น เครื่องใช้ไม้ต้องทำอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ชนชั้นสูงเห็นแล้วรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะซื้อในราคาสูง ส่วนร้านอาหารก็ต้องระวังเื่ความสะอาด แม้แต่ผ้ารองที่ใช้ในเข่งซาลาเปาก็ต้องพยายามใช้ผ้าที่เป็สีขาวเอาไว้
แม่นางหลิวและแม่นางหวังต่างก็เชื่อมั่นในความฉลาดเฉลียวของติงเหว่ยเสมอ พวกนางตั้งใจฟังและถามคำถามสองสามข้อเป็ครั้งคราว ผ่านไปไม่ทันไรก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ติงเหว่ยหมดเรี่ยวแรงไปแล้วจริงๆ นางให้นมลูกสองสามครั้งเมื่อคืนนี้ และหลังจากพูดคุยกันเป็เวลานาน ก็รู้สึกง่วงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แม่นางหลี่ว์รู้สึกสงสารลูกสาวของนาง เมื่อเห็นเช่นนี้นางก็รีบไล่ให้ลูกสะใภ้ทั้งสองคนกลับบ้านไป “เด็กๆ ยังอยู่ที่บ้านสกุลซุนอยู่เลย พวกเ้ารีบกลับไปก่อนเถอะ หากว่าที่บ้านมีเื่อะไรก็ให้คนส่งข่าวมา อีกประมาณครึ่งเดือนข้าก็จะกลับบ้านแล้ว อย่าทำให้คนอื่นคิดว่าครอบครัวของพวกเราไม่รู้เื่รู้ราวเอาได้”
แม่นางหลิวและแม่นางหวังสบตากัน พวกนางทั้งคู่ต่างก็ยังไม่อยากไปแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ตรงๆ จึงทำได้เพียงต่างคนต่างหยิบเสื้อผ้าและผ้านวมผืนเล็กๆ ที่เย็บไว้ออกมาเท่านั้น
แม่นางหลี่ว์ดีใจที่ลูกสะใภ้ปฏิบัติต่อลูกสาวของนางเป็อย่างดีจึงเอ่ยปากชมออกไปซึ่งเป็เื่ที่หาได้ยากยิ่ง แม่นางหลิวและแม่นางหวังที่ได้ฟังไม่รู้ว่าจะมีความสุขหรือหดหู่กันแน่
……
หลังจากที่รอให้อวิ๋นอิ่งพาแม่นางหลิวและแม่นางหวังออกไป แม่นางหลี่ว์ก็วางหลานชายลงบนผ้าฝ้ายหนาๆ จากนั้นก็เดินไปห่มผ้าให้ลูกสาวของนาง พลางบ่นว่า “เ้าจะยื่นมือยื่นเท้าออกมาเพราะร้อนไม่ได้นะ ตอนนั้นที่แม่คลอดพี่ชายเ้าแล้วไม่เชื่อฟังคำพูดของท่านยาย ทำให้หลายปีที่ผ่านมานี้เวลาที่ฟ้ามืดฝนตกก็ทำให้คอของแม่หนาวสะท้านไปหมด”
ติงเหว่ยยิ้มจนตาหยี เมื่อนางนึกถึงครั้งก่อนที่แม่ถูกพวกป้าสะใภ้หาเื่ก็อดพูดไม่ได้ว่า “ท่านแม่ หากว่าท่านกังวลเกี่ยวกับท่านยายก็ส่งของกินของใช้ไปให้สักหน่อย แต่ไม่ต้องไปหาบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของแม่นางหลี่ว์ก็อึมครึมขึ้นมาทันที “ป้าสะใภ้ของเ้าช่างใจร้ายเสียจริง ข้าเองก็ไม่ชอบนาง แต่ก็ช่างเถอะ ต่อไปก็กตัญญูต่อท่านยายของเ้าก็พอแล้ว”
“ท่านแม่ควรจะทำเช่นนั้นแหละ” ติงเหว่ยยื่นมือออกเพื่อยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าฝ้ายพันรอบศีรษะของนางแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่ที่บ้านท่านยายเท่านั้น แต่ที่บ้านของเราก็ด้วย พี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองทั้งคู่ต่างก็แต่งงานและมีลูกแล้ว ตอนนี้แต่ละคนมีหน้าที่ดูแลเื่ร้านของตนเอง ต่างก็ต้องรับภาระไปคนละอย่าง ท่านแม่กับท่านพ่อก็วางใจเถอะ รักษาสุขภาพให้ดีถึงจะเป็เื่ที่สำคัญที่สุด ในวันหน้าผิงอันของข้าแต่งงานมีลูก ยังต้องให้ท่านช่วยดูแลอีกนะ”
แม่นางหลี่ว์ไม่เข้าใจความหมายที่ติงเหว่ยจะสื่อออกมา นางกลับหัวเราะและดุติงเหว่ยว่า “เ้าเด็กคนนี้ ยังเอาแต่พึ่งพาแม่ไม่ยอมปล่อยมือสักที หากเป็อย่างที่เ้าว่าข้าจะต้องดูแลหลานสะใภ้อีกน่ะสิ ช่างใจร้ายจริงๆ”
ติงเหว่ยแอบถอนหายใจในใจ แต่นางก็ไม่สามารถจะอธิบายอะไรได้มากกว่านี้ และนางก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว…
วันเวลาเปรียบเสมือนสายน้ำเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกของหมู่บ้าน ทั้งเงียบสงบและเชื่องช้าทว่ากลับไหลผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าเพียงชั่วข้ามคืนจั๊กจั่นที่ส่งเสียงร้องอยู่ตามต้นไม้ก็หายไป ลมที่พัดผ่านสนามหญ้าก็ให้ความรู้สึกเย็นสบาย และข้าวโพดในทุ่งก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีทองอร่าม
เหล่าชาวนาทั้งหลายต่างมีรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่และกลับบ้านดึกดื่นเนื่องจากเอาแต่ยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยวผลผลิตประจำปีกลับบ้าน หากเป็เวลาครึ่งวันในตอนกลางคืน พวกเขาอาจถูกนก หนู หรือแม้กระทั่งหมีดำฉกฉวยผลผลิตเหล่านี้ไปบนูเา ส่วนเหล่าเด็กๆ จอมซนก็พากันสวมหมวกไม้ไผ่ โบกมือใช้ “อาวุธ” ที่ทำจากวัชพืชและพุ่มไม้ เดินไปรอบๆ ทุ่งนาไล่ตามนกและหนู ในบางครั้งพวกเขาก็ยุ่งมากจนนึกถึง “ค่าจ้าง” มากมายที่สัญญาไว้ พ่อแม่ของพวกเขาต่างก็อดไม่ได้ที่จะพากันหัวเราะคิกคัก
-----------------------------------------
[1] เหล่าโฮ่วเย่ 老侯爷 หมายถึง ตำแหน่งขุนนางในสังคมศักดินาของจีนโบราณ ฮ่องเต้จะมอบให้แก่ญาติผู้สูงศักดิ์และขุนนางผู้มีเกียรติ
[2] ซินหั่วเซียงฉวน 薪火相传 หมายถึง ถึงแม้ฟืนจะถูกเผาไปจนหมดแล้ว แต่เปลวไฟก็ยังคงส่งต่อๆ กันไป เป็คำอุปมาของการถ่ายทอดความรู้และทักษะจากรุ่นสู่รุ่น และยังหมายถึงการสืบสกุลต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด