“อ่า ใช่แล้ว เดิมทีพอฟ้าสางก็ควรจะมาเลย แต่พอคุณชายได้ยินว่าจะมาจับหมูในหมู่บ้านก็เลยอยากมาดู เป็เช่นนี้เลยล่าช้าไปพักหนึ่ง” หลิวผิงยิ้มบางๆ แล้วกล่าว
เดิมเหวยจื่อยวนไม่เห็นด้วยที่คุณชายจะออกจากบ้าน แม้ระยะนี้อาการป่วยของคุณชายจะดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ร่างกายยังคงอ่อนแอ ที่สุดแล้วจะทำอย่างไรได้ในเมื่อคุณชายยืนกรานจะไป พวกเขาทำได้เพียงให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
“อ้อ เข้าใจแล้วเ้าค่ะ เช่นนั้นพวกท่านจะลากจูงหมูที่มีชีวิต? หรือจะเชือดเสร็จแล้วค่อยนำกลับไปเ้าคะ?” ถามสิ่งสำคัญให้แน่ชัดออกไปตรงๆ จะได้บอกคนทั้งหมดให้ออกไปก่อน
“นี่…” หลิวผิงลังเลใจเล็กน้อย เขาไม่เคยลากจูงหมูมาก่อน จึงถามด้วยความระวัง “หมูมีชีวิตลากง่ายหรือไม่?”
เจินจูยิ้ม พร้อมกับจิตนาการเล็กน้อย นึกถึงสภาพรถม้าลักษณะดีระดับสูงของพวกเขาเอามาลากหมูขาวตัวใหญ่ของบ้านตนเอง “แน่นอนว่าลากจูงไม่ง่าย หมูตัวอ้วนใหญ่สองร้อยกว่าชั่ง ทั้งเคลื่อนไหวทั้งะโแล้วยังร้องวุ่นวาย รถม้าที่สูงใหญ่เป็สง่าของพวกท่าน ลากหมูดิ้นอาละวาดหนึ่งตัวกลับไป ระหว่างทางเพียงพอให้พวกท่านเหนื่อยใจเลยทีเดียวเ้าค่ะ”
เด็กสาวตรงหน้าใบหน้ายิ้มแย้มมีชีวิตชีวา รอยยิ้มทั่วดวงตาแพร่กระจายมาสู่กู้ฉี อดไม่ได้ที่ใบหน้าขาวซีดของเขาจะแดงจนเป็เืฝาดลุกลามเล็กน้อย
“เช่นนั้น… ต้องลำบากแม่นางหาคนช่วยเชือดให้เรียบร้อยแล้วค่อยนำกลับไปจะดีกว่า” หลิวผิงมองกู้ฉีที่ดวงตาอมยิ้มสงบเงียบ แล้วจึงกล่าวด้วยความระมัดระวัง
“เช่นนั้นก็ได้เ้าค่ะ เชือดหมูต้องใช้เวลาไม่น้อย พวกท่านอาจต้องรอสักครู่นะเ้าคะ” เจินจูลุกขึ้นแล้วเดินไปทางประตู
“ไม่เป็ไร ไม่ต้องรีบ พวกเรามีเวลา” กู้ฉีกล่าวเสียงอ่อนโยน
เจินจูจ้องกู้ฉีแวบหนึ่ง เครื่องแต่งกายสวยหรูโดดเด่นของคนร่ำรวย ในมือโอบความอบอุ่นจากเตาทำความร้อนเล็กๆ นั่งอยู่ภายในห้องโถงที่ทั้งเก่าและโทรมของบ้านตนเองอย่างไม่รีบร้อนและสบายใจ หลิวผิงและเฉิงเผิงเฟยที่สูงใหญ่ยืนเคารพนบนอบอยู่ด้านหลังกาย ภาพบรรยากาศที่เกิดขึ้นนี้ดูอย่างไรก็ไม่สัมพันธ์กัน
“ผิงซุ่น เ้ากลับไปหาท่านย่ากับท่านพ่อของเ้า เรียกพวกเขามา บอกพวกเขาว่าเ้าของร้านหลิวของฝูอันถังมาซื้อหมูแล้ว ให้ท่านพ่อของเ้ามาช่วยเชือดหมูที” ผิงซุ่นกับผิงอันที่พาเสี่ยวหวงเล่นอยู่นอกประตูลานบ้านมาตลอด ตอนนี้เดินเตร่ไปรอบรถม้าของกู้ฉี มองล้อมชมรถม้าที่แข็งแรงและสูงใหญ่อย่างตื่นเต้น
“อื้อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ผิงซุ่นรับปาก แล้ววิ่งะโโลดเต้นกลับไปทางบ้านเก่า
“ผิงอัน เ้าไปบ้านเอ้อร์หนิวเรียกท่านพ่อกลับมา อีกเดี๋ยวจะเชือดหมู ท่านลุงคนเดียวจะจัดการไม่สะดวก” หูฉางกุ้ยทานอาหารมื้อกลางวันแล้วก็ไปช่วยงานบ้านเอ้อร์หนิว ไม่กี่วันก่อนหมูสองตัวของบ้านเขาขายให้กับครอบครัวสกุลหู เพิงหมูที่ว่างเปล่าแล้วทั้งเก่าและชำรุดเหลือทน ได้จังหวะไหว้วานเวลาว่างรื้อและสร้างใหม่หนึ่งรอบ พอผ่านต้นฤดูใบไม้ผลิไปแล้วจะได้จับลูกหมูมาเลี้ยงได้สะดวก
“อื้อ ท่านพี่ ข้าทราบแล้ว” บ้านเจิ้งเอ้อร์หนิวใกล้มาก ผิงอันเลยเรียกเสี่ยวหวงไปเดินเล่นด้วยระหว่างทาง “เสี่ยวหวง ไปกัน”
“แค่กๆๆ” เสียงไอที่กลั้นไว้เป็พักๆ ของกู้ฉีดังแว่วออกมาจากห้องโถง เจินจูหันกลับไปมอง เด็กหนุ่มไอจนแผ่นหลังโค้งลงไป ดูท่า อาการโรคของเขาดีขึ้นไม่เท่าไรเลย!
แต่คิดอีกทีก็ถูก คนป่วยอาการหนักหนึ่งคนที่เท้าเกือบจะเหยียบเข้าโลง แต่พอทานหัวไชเท้าตุ๋นกระต่ายไม่กี่วันก็หายเป็ปกติ เช่นนั้นเป็นางที่ยื่นหัวไชเท้ากับกระต่ายให้จะไม่ทำให้คนจับจ้องมาเป็จุดเดียวกันหรอกหรือ
ก็ค่อยเป็ค่อยไปเถิด ขอแค่รักษาชีวิตไว้ได้ ต่อไปก็ค่อยๆ บำรุงรักษาร่างกายอย่างช้าๆ ไม่อาจทำเื่ราวให้ชัดแจ้งเกินไปได้
“ท่านแม่ พี่รอง ท่านต้มน้ำที อีกเดี๋ยวต้องเชือดหมูของบ้านเรา พวกเ้าของร้านหลิวเขาจะนำกลับไปเ้าค่ะ” เจินจูยื่นกายเข้าไปในครัว ยิ้มแล้วกล่าวกับทั้งสองคน
“อื้ม เจินจู แม่รู้แล้ว แต่เ้าดู นี่เที่ยงตรงพอดี ไม่รู้ว่าพวกเขาทานข้าวกันมาแล้วหรือยัง ต้องเชือดไก่สักตัวทำอาหารมื้อเที่ยงให้แขกหรือไม่?” หลี่ซื่อถามอย่างลังเลใจ
เจินจูมองสีท้องฟ้าด้านนอก เวลาใกล้เคียงกับเที่ยงตรงโดยประมาณ ชิ... คนเหล่านี้รู้จักเลือกเวลามาจริงๆ
“เ้าค่ะ เช่นนั้นพวกท่านต้มน้ำก่อน ข้าจะไปถามพวกเขา” เจินจูเคลื่อนเท้าก้าวไปข้างนอก
หลิวผิงกำลังยืนอยู่หน้าห้องโถงพิจารณาลานที่เต็มไปด้วยอาหารหมักอย่างอยากรู้อยากเห็น เจินจูเดินมาข้างหน้ายิ้มขึ้นหนึ่งที “เ้าของร้านหลิวเ้าคะ หมูนี่น่ะ อย่างน้อยก็ต้องเสียเวลาอยู่ครึ่งค่อนชั่วยามจึงจะจัดการเรียบร้อย บ้านข้าเพิ่งทานอาหารเที่ยงไป ไม่ทราบว่าพวกท่านทานกันมาหรือยัง? หากว่ายัง ก็อยู่ทานอาหารง่ายๆ บ้านข้าสักมื้อเถิดเ้าค่ะ”
“เอ่อ... พวกข้ารีบร้อนออกมาเล็กน้อย คุณชายซดน้ำแกงไก่ไปชามหนึ่งแล้ว ข้ากับเผิงเฟยล้วนไม่ได้ทานอาหารเที่ยง สามารถชิมฝีมือครัวบ้านเ้าได้ย่อมดี แต่รบกวนพวกเ้าเกินไปแล้ว” หลิวผิงมีใจอยากจะชิมอาหารของครอบครัวสกุลหู ว่าทำไมมีเพียงพืชผลและเนื้อสัตว์ของครอบครัวสกุลหูเท่านั้นที่เจริญอาหารคุณชายได้ พวกเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แล้วยังเคยซื้อกระต่ายของบ้านอื่นมาตุ๋นเปรียบเทียบโดยเฉพาะ กลับรู้สึกว่ากระต่ายของสกุลหูค่อนข้างเอร็ดอร่อย แต่ก็ไม่ได้แจ่มชัดเป็พิเศษ
หากมีโอกาสชิมอาหารบนโต๊ะได้ ก็สามารถใช้เป็โอกาสเปรียบเทียบได้สักครั้ง
“ไม่ลำบากเ้าค่ะ มีเนื้อที่พะโล้ไว้แล้ว อุ่นสักหน่อย ผัดสักนิด เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ พวกท่านรอสักครู่เถิด” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว เครื่องในหนึ่งกองใหญ่ในบ้านพะโล้ไว้เรียบร้อยแล้ว เหมาะเจาะนำออกมาทานให้ลดลงไปได้หน่อยพอดี
ผ่านไปสิบห้านาที อาหารกลางวันของแขกก็อยู่บนโต๊ะ เนื้อพะโล้หนึ่งชุดใหญ่กลิ่นหอมกระจายรอบทิศ ที่วางแผ่อยู่เต็มโต๊ะมีพะโล้ลิ้นหมู ผัดแผ่นกระเพาะ ตับหมูพะโล้ผัดไฟแดง หูหมูพะโล้น้ำมันพริก ปอดหมูพะโล้เผ็ดหอม... หลิวผิงและเฉินเผิงเฟยสองคนนั่งเข้าที่ข้างโต๊ะอาหาร ตอนเริ่มแรกยังเคี้ยวอย่างละเอียดค่อยๆ กลืน ค่อยๆ ลิ้มรสอย่างพิถีพิถันอยู่มาก หลังจากสองสามคำลงท้อง ก็เริ่มลงตะเกียบติดๆ กันด้วยใบหน้าตื่นเต้น เอาแต่กล่าวว่าอร่อยมากจริงๆ
อาการโรคของกู้ฉีพิเศษนัก พื้นฐานแล้วเขาจะไม่ทานอาหารข้างนอก เจินจูก็ไม่บังคับ และเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์โหดร้ายทารุณของการเชือดหมูที่จะเกิดขึ้นในอีกสักครู่ อาจทำให้ท่านพี่ชายใเอาได้ เจินจูจึงพาเขาออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยที่หลังูเา
หลังจากหวังซื่อและหูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยทักทายอย่างระวังตัวกับกู้ฉีและคนติดตามแล้ว ก็เตรียมทำการเชือดหมูขึ้น อาหารหมักที่ตากเต็มหน้าลานบ้านเคลื่อนย้ายไม่ได้ จึงทำได้เพียงย้ายสถานที่เชือดไปหลังบ้านแทน
ขณะนี้ กู้ฉีกำลังเดินตามอยู่ข้างหลังเจินจู เดินเชื่องช้าอยู่บนถนนเนินเล็กข้างหลังูเา
“พี่ชายกู้อู่ ท่านระวังหน่อย ถนนเขาสูงและชัน อย่าหกล้มเชียวนะ” เจินจูมองกู้ฉีที่ร่างกายอ่อนแอค่อนข้างเป็ห่วงเล็กน้อย เฮ้อ... ทำไมตนเองถึงคิดพาเขามายังหลังเขากัน
“น้องสาวเจินจู อย่าได้กังวล ทางจุดนี้ข้ายังสามารถเดินได้” กู้ฉีติดตามขึ้นเนินด้วยความเหนื่อยลำบากเล็กน้อย แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงออก เพียงยิ้มแล้วกล่าวตอบ
“ ดี พี่ชายกู้อู่ก็ควรจะเดินขยับตัวให้มากหน่อย มิใช่คำโบราณกล่าวไว้หรือว่าหลังอาหารเดินพันก้าว จะมีชีวิตอยู่ได้เก้าสิบเก้า [1] เคลื่อนไหวมากๆ ก็ไม่เลวเลย” ขณะนี้เจินจูเดินได้ช้ามาก เมื่อก่อนสามนาทีห้านาทีก็ถึงริมลำธารูเาแล้ว แต่วันนี้เดินสิบกว่านาที...
“โอ้ เป็คำโบราณเช่นนี้หรือ ทำไมข้ามิเคยได้ยิน?” กู้ฉีผ่อนลมหายใจที่หอบน้อยๆ ให้สงบลง
“ท่านต้องไม่เคยได้ยินอยู่แล้ว นี่เป็สุภาษิตพื้นเมือง ท่านต้องเข้ามาในวิถีชีวิตประชาชนทั่วไปแบบจริงจัง ท่านถึงจะเข้าใจ” เจินจูไม่รู้ว่าที่นี่มีสุภาษิตเช่นนี้หรือไม่ แต่คิดแล้วว่ากู้ฉีเป็คุณชายเช่นนี้ คงไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้มากนัก “พี่ชายกู้อู่ ท่านดู นี่เป็ที่ที่ครอบครัวข้ามักจะมาหาบน้ำกลับไปใช้ ลำธารูเาที่นี่อยู่ตามธรรมชาติเย็นและใสสะอาด หน้าหนาวอบอุ่นหน้าร้อนเย็นสดชื่น [2] หวานใสชุ่มคอ คุณภาพของน้ำดีมาก”
กู้ฉีเดินมาใกล้ริมลำธาร เก็บอาการไอไม่กี่เสียงไว้ในใจ มองแม่น้ำลำธารสายเล็กที่ใสสะอาดบริสุทธิ์อย่างละเอียดไม่กี่ที แล้วกล่าวนุ่มนวล “เสียงน้ำไหลใสสะอาด ไม่เลวจริงๆ มิน่าที่หัวไชเท้าของบ้านเ้าปลูกแล้วหวานบริสุทธิ์เป็พิเศษ สาเหตุคงเป็เพราะใช้น้ำแร่ในูเารดกระมัง”
“อ๊ะ? …เอ่อ อาจจะใช่กระมัง ” เจินจูถูกถามจึงชะงักงัน แล้วยิ้มแหยๆ ปิดบังขึ้นมา
หลังยิ้มแห้งอยู่พักหนึ่ง เจินจูกำลังคิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังสะท้อนมาจากที่ไกลๆ อยู่พักหนึ่ง หมูตัวอ้วนใหญ่ของที่บ้านร้องดังกว่าบ้านอื่นนัก แม้จะห่างออกมาไกลเช่นนี้แล้ว ยังฟังได้ชัดเจนเพียงนี้อีก
“นี่? เป็เสียงร้องของหมูหรือ?” กู้ฉีใอย่างมาก หันกายมองไปรอบๆ ทะลุผ่านเงาของต้นไม้ที่ซ้อนกันเป็ชั้นๆ ไปยังลานบ้านเล็กๆ ของสกุลหู แต่มองได้ไม่ชัดเจนนัก
“ใช่สิ หมูของบ้านข้าที่เลี้ยงจนรูปร่างโตอย่างมาก เสียงร้องก็ค่อนข้างดัง วิธีการค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณ ท่านดู ขนาดระยะทางห่างไกลเช่นนี้ เสียงร้องของมันยังดังเข้าหู ไม่ทำให้พี่ชายกู้อู่ใเป็ดีที่สุด” เจินจูเม้มปากยิ้ม
ฟังเจินจูกล่าวเช่นนี้ ดวงตาสีเข้มสองดวงของกู้ฉีกลับมีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นวิธีการในการเชือดหมูเชือดไก่มาก่อน
“น้องสาวเคยเห็น?”
“ย่อมต้องเคยเห็น”
“ไม่กลัวหรือ?”
“เห็นหลายครั้งมากเข้าก็ไม่กลัวแล้ว”
“เ้า… เห็นมาหลายครั้งแล้ว?”
“แน่นอน ไม่เห็นอาหารหมักที่เต็มลานบ้านข้าหรือ ล้วนเป็การหมักจากเนื้อหมู ไม่กี่วันก่อนบ้านข้าเชือดหมูทุกวันเลย”
“อาหารหมัก? บ้านเ้ามิใช่ว่ากำลังเลี้ยงกระต่ายหรือ? ทำไมทำอาชีพอื่นขึ้นอีกแล้ว?” กู้ฉีนึกถึงอาหารหมักเป็พวงๆ เส้นๆ ที่แขวนอยู่บนราวไม้ไผ่ในลานบ้านได้ เหมือนว่าเขาจะไม่เคยชิมอาหารเหล่านี้ แน่นอน เป็เพราะระบบย่อยอาหารอ่อนแอ อาหารการกินพิเศษมากมายเขาล้วนไม่เคยชิม
“อืม กระต่ายก็เลี้ยง อาหารหมักก็ทำ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็โรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงสั่งจอง ผ่านไปไม่กี่วันตากแดดดีแล้วก็เอาไปส่งให้พวกเขา” เจินจูเดินเตร็ดเตร่ไปถึงหน้าก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ตบผิวก้อนหินเบาๆ “พี่ชายกู้อู่ ท่านนั่งสักพักเถิด ข้างล่างยังต้องรออีกสักครู่ถึงจะจัดการเสร็จ”
“แค่กๆ” กู้อู่ปิดริมฝีปากไอสองสามที เดินเข้าไปใกล้ข้างก้อนหิน เดินบนทางูเามาระยะหนึ่ง เขาเหนื่อยแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงนั่งลงไปอย่างไม่ลังเล
ชัยภูมิที่แห่งนี้ค่อนข้างสูง เงาของต้นไม้ส่ายไหวๆ เมื่อมองทะลุผ่านต้นไม้ไปจะเห็นทั้งหมู่บ้านวั้งหลินอยู่ในสายตา เป็หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางกลุ่มเขา ภายใต้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่มีสันเขาที่ยาวเหยียดขึ้นลงไม่ขาดสาย ปรากฏความสงบเงียบเป็พิเศษ
เด็กสาวร่างเล็กยืนอยู่หน้าริมลำธารด้วยความเงียบสงบ ลูกตาดำสองดวงที่มองไกลออกไปกลับสว่างไสว มุมปากโค้งรอยยิ้มไม่ยินดียินร้าย ใบหน้าเล็กขาวไร้การแต่งเติมยิ้มอย่างอ่อนหวานน่ารัก
กู้ฉีมองเงาร่างกายของเด็กสาวที่สงบเงียบและสุขุม ทำให้เกิดอารมณ์สั่นไหวขึ้นเล็กน้อยในก้นบึ้งหัวใจ
ตลอดทั้งปีได้รับความทรมานจากการเจ็บป่วย สภาพจิตใจของกู้ฉีไม่เหมาะให้ขึ้นลงแปรปรวนเร็วมากนัก ตอนเขายังเด็กกว่านี้เล็กน้อย เพราะไม่สามารถมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงเหมือนกับคนอื่นได้ ทั้งเคยนิสัยใจร้อนไม่เป็สุข ทั้งเคยอิจฉาริษยาคนอื่น ทั้งเคยกล่าวโทษผู้เป็มารดาลับหลัง อารมณ์ด้านเสียที่ไม่เบิกบานทำให้เขามีนิสัยขี้หงุดหงิดมากอยู่พักหนึ่ง กระตุ้นให้แต่เดิมที่สุขภาพก็แย่อยู่แล้วกลับเป็ลมไปหลายครั้ง ท่านหมอต้องคอยตักเตือนอย่างร้อนรน มารดาน้ำตาไหลโศกเศร้าปวดใจ พอกู้ฉีฟื้นขึ้นมาก็รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิที่จะเอาแต่ใจได้ พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบเงียบอย่างสุดความสามารถ หลังผ่านปีเหนื่อยเดือน เขาในปัจจุบันนี้ ถึงสามารถมองดูสิ่งต่างๆ ได้อย่างสงบและเป็ธรรมชาติเช่นนี้ได้ ไม่ทุกข์และไม่สุข
แต่เด็กสาวตรงหน้า อายุน้อยเช่นนี้ เขากลับสามารถััได้ถึงความไม่ยินดียินร้ายและเงียบสงบจากกายนางได้แล้ว ราวกับว่าเศษเล็กๆ ของอารมณ์ด้านลบที่ฉุนเฉียว มืดมน กลัดกลุ้มเป็ทุกข์ ไม่หนักแน่นร้อนใจและความคลุมเครือบนโลกเหล่านี้ล้วนไม่มีร่องรอยเหลือทิ้งไว้อีกต่อไป
สีหน้าสุขุมสงบเยือกเย็น ชั่วพริบตาเดียวกลับมีชีวิตชีวาร่าเริงอีกครั้ง
เชิงอรรถ
[1] 饭后千步走,能活九十九 หรือแปลว่า หลังอาหารเดินพันก้าว จะมีชีวิตอยู่ได้เก้าสิบเก้า มาจาก 饭后百步走,活到九十九 (หลังอาหารเดินร้อยก้าว จะมีชีวิตอยู่ถึงเก้าสิบเก้า) หมายความว่า ทานข้าวเสร็จแล้วเดินออกกำลังกายอายุจะยืนร้อยปี
[2] หน้าหนาวอบอุ่นหน้าร้อนเย็นสดชื่น เป็การพรรณนาว่า อุณหภูมิพอเหมาะทำให้สบายใจ