ม่อหลิงหานลืมตาขึ้นทันที ในสายตาเขามีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน
เยว่เฟิงเกอเองก็ราวกับถูกไฟชอร์ต รีบผละออกห่างจากริมฝีปากม่อหลิงหานทันที
ยามที่นางสบเข้ากับดวงตาเ็าของม่อหลิงหาน หัวใจก็กระหน่ำเต้นรัวเร็ว
“เ้ากำลังทำอันใด? ” เสียงเ็าของม่อหลิงหานดังขึ้น
เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัดนี้ราวกับเป็เสียงของมัจจุราชในรัตติกาลก็ไม่ปาน
เยว่เฟิงเกอหัวเราะแห้งๆ ไปสองครั้ง รีบยืนขึ้นแล้วถอยกรูดไปด้านหลังอย่างว่องไวด้วย้ารักษาระยะห่างกับม่อหลิงหานให้อยู่ในระยะปลอดภัย
“คือว่า ข้าแค่จะมาบอกท่านว่า ท่านอนท่านไม่ถูกต้องนะ ลุกขึ้นมาจัดท่านอนใหม่เถอะ”
เมื่อเยว่เฟิงเกอพูดจบ ก็รีบวิ่งไปที่ประตูเรือนก่อนที่ม่อหลิงหานจะะเิอารมณ์ออกมา จากนั้นรีบเปิดประตูใหญ่แล้วหนีออกไปทันที
ทว่า ในตอนนี้ม่อหลิงหานกลับกำลังลูบริมฝีปากตน ความอบอุ่นที่ทาบทับยังคงหลงเหลืออยู่
ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อครู่ตอนที่เยว่เฟิงเกอแอบจุมพิตเขานั้น จังหวะหัวใจของม่อหลิงหานราวกับถูกชักนำให้เต้นสับสนไปด้วย
“สตรีน่าตายนางนี้ ดูท่าคงต้องจัดการนางเสียแล้ว” ม่อหลิงหานพูดกับตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ไม่มีอารมณ์จะนอนต่ออีก
เมื่อเขาลงจากเตียงก็สวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปจากเรือนพัก
ม่อหลิงหานเดินไปยังหอแปดทิศที่ตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในจวนจั้นอ๋อง
ฉากหน้าของสถานที่แห่งนี้เป็สถานฝึกวรยุทธ์ที่มีทั้งอาวุธหนัก อาวุธลับเรียงรายอยู่พร้อมพรัก
แต่ที่จริงแล้วสถานที่แห่งนี้ยังมีทางลับสามสายกับห้องลับอีกหนึ่งห้องตั้งอยู่ด้วย ทางลับเ่าั้เชื่อมต่อไปยังสามสถานที่นอกจวนอ๋อง โดยหนึ่งในนั้นยังมีเส้นทางหนึ่งที่ทอดยาวไปถึงวังหลวง
ส่วนห้องลับนั้นเป็สถานที่สำหรับการประชุมวางแผนของม่อหลิงหานและขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่อยู่ฝ่ายเขา
ทุกครั้งยามที่ม่อหลิงหานจิตใจสับสน ก็มักจะมาที่หอแปดทิศเพื่อฝึกวรยุทธ์
นอกจากนี้ ถานอี้ที่แอบเฝ้าอยู่ในมุมมืดแน่นอนว่าได้เห็นเหตุการณ์ที่เยว่เฟิงเกอแอบย่องเข้าไปในเรือนหานโยวกับตา รวมถึงตอนที่นางวิ่งหนีออกมาจากเรือนแห่งนั้น แม้เขาจะเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมด แต่กลับไม่ได้รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเขาเองก็ไม่กล้าซักถามม่อหลิงหาน
เขาเห็นเพียงว่า หลังจากที่เยว่เฟิงเกอหนีออกมาแล้ว นายตนก็เดินตามออกมาเช่นกัน
และเมื่อเห็นว่าม่อหลิงหานมุ่งหน้าไปทางหอแปดทิศ เขาก็ทำเพียงออกติดตามไปด้วย
“มานี่ มาสู้กับเปิ่นหวางหน่อย” ม่อหลิงหานผลักประตูใหญ่ของหอแปดทิศให้เปิดออก เขาไม่ได้มองถานอี้ แต่ออกคำสั่งเสียงเย็น
ถานอี้ไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้แค่ติดตามเข้าไป
ถานอี้คิดในใจว่า ดูท่าวันนี้เขาจะดวงซวยเสียแล้ว เขาที่เป็องครักษ์ตัวเล็กๆ จะไปสู้ท่านอ๋องแห่งาได้อย่างไร
ตอนนี้ท่านอ๋องอยากจะสู้กับเขา ชัดเจนว่า้าใช้เขาเป็กระสอบทรายระบายอารมณ์
หลังจากสู้กับม่อหลิงหานไปสองสามรอบ ถานอี้ก็ได้รับาเ็
องครักษ์หนุ่มได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ วันนี้ท่านอ๋องของเขาคงจะถูกพระชายาทำให้โกรธหนักเป็แน่ มิฉะนั้นเหตุใดถึงได้ลงมือหนักหน่วงโหดร้ายเช่นนี้ ทุกกระบวนท่าล้วนใส่กำลังมาเต็มที่
สุดท้ายม่อหลิงหานก็ส่งแรงเตะออกไป ทำเอาถานอี้กระเด็นไปไกล ร่างกายของเขากระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วไถลลงมาทรุดบนพื้น ในลำคอรู้สึกถึงรสชาติคาวคลุ้ง เขาทนไม่ไหว กระอักเืออกมา
“อย่าทำเป็แกล้งตายอยู่ตรงนั้น กลับมาฝึกกับเปิ่นหวางต่อเดี๋ยวนี้” ม่อหลิงหานะโเสียงดังไปทางถานอี้ เมื่อครู่เขาประมือกับถานอี้ไปแค่ไม่กี่กระบวน อีกฝ่ายก็กระเด็นออกไปแล้ว
คนที่อ่อนแอไม่ทนมือทนเท้าเช่นนี้ จะมาเป็องครักษ์ประจำกายเขาได้อย่างไร
ถานอี้ตัดพ้ออย่างทุกข์ทนอยู่ในใจไม่หยุด เขาลองยืนขึ้น แต่เพียงขยับเล็กน้อย ก็เจ็บแปลบในบริเวณที่ถูกทำให้าเ็
ความเ็ปวูบวาบไปทั่วร่าง ถานอี้ยืนต่อไปไม่ไหวจริงๆ
ม่อหลิงหานเห็นว่าถานอี้ฟุบลงไปกับพื้นอีกครั้ง เขาก็แค่นเสียงเ็า เรียกองครักษ์ประจำกายอีกคนอย่างเฉียวเฟยมา
“ลากเขาไปโรงหมอในจวน ให้ท่านหมอประจำจวนช่วยรักษาเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เฉียวเฟยเดินมาหยุดตรงหน้าถานอี้ เขาประคองคนขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศที่โรงหมอตั้งอยู่
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ม่อหลิงหานก็ปัดๆ อาภรณ์ที่ไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่น้อย ในที่สุดคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่ก็สามารถคลายลงได้บ้างแล้ว
ม่อหลิงหานไม่เคยอนุญาตให้สตรีนางใดเข้าใกล้เขามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่จุมพิต
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็อะไรไป ไม่ได้รู้สึกรังเกียจจุมพิตนั่นของเยว่เฟิงเกอ กลับกันในใจเขาราวกับรู้สึกยังไม่หนำใจ
ม่อหลิงหานยกมือขึ้นมาััริมฝีปากตน มุมปากเผลอยกขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เขาไม่ได้กลับไปที่เรือนหานโยว แต่กลับเดินไปยังมุมมุมหนึ่งของกำแพง ยกมือขึ้นััค่ายกลบนกำแพง
เพียงไม่นานประตูบานหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา ม่อหลิงหานเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในนั้น
ที่แห่งนี้คือห้องลับ และเป็สถานที่ที่มีไว้เพื่อประชุมปรึกษาหารือระหว่างม่อหลิงหานและขุนนางฝั่งเขา
ที่แห่งนี้มีแค่โต๊ะหนึ่งตัว และฟูกรองนั่งสี่อัน โดยบนโต๊ะตัวนั้นมีไฟส่องสว่างตั้งไว้ดวงหนึ่ง ซึ่งในไฟดวงนั้นมีไข่มุกราตรีเก้าคำรบที่เยว่เฟิงเกอเคยพูดถึงวางไว้อยู่
นี่คือไข่มุกที่ครั้งหนึ่งฮ่องเต้เคยประทานให้ม่อหลิงหานหลังจากที่ทำาชนะแคว้นแคว้นหนึ่งได้ มันมีมูลค่าเทียมเมืองเมืองหนึ่ง
อีกทั้ง เป็เพราะมีไข่มุกราตรีเก้าคำรบเม็ดนี้อยู่ ห้องลับแห่งนี้จึงไม่มืดมน
ม่อหลิงหานเปิดลิ้นชักเล็กใต้โต๊ะออก ด้านในมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางนิ่งไม่ไหวติง
เขาเปิดออกอ่าน ข้อความในจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่า “พี่ม่อ วาสนาของท่านได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว จำไว้ว่าต้องดีต่อนางให้มาก”
ม่อหลิงหานอ่านเนื้อหาในกระดาษแผ่นนี้ั้แ่ต้นจนจบถึงได้วางกลับเข้าไปในลิ้นชักเช่นเดิม
นี่คือกระดาษที่สหายรักของม่อหลิงหานกงซุนหนานเสียนเขียนให้ในวันแต่งงานระหว่างเขากับเยว่เฟิงเกอ
รอจนงานมงคลของม่อหลิงหานจบลง กงซุนหนานเสียนก็ไปจากจวนจั้นอ๋อง เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวสี่ทิศ
วันนี้ม่อหลิงหานหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาอ่านอีกครั้ง ทว่า ในใจครานี้กลับมีความรู้สึกที่ต่างออกไป เพียงไม่นานเขาก็จมอยู่กับความคิดของตน
ส่วนทางด้านถานอี้ ระหว่างทางไปยังโรงหมอ เฉียวเฟยกล่าวขึ้นด้วยความสงสารเต็มที่ “วันนี้ช่างดวงซวยจริงๆ ถูกท่านอ๋องซ้อมจนอยู่ในสภาพนี้ ดูท่าครั้งนี้ท่านอ๋องจะอารมณ์เสียเป็พิเศษนะ”
ถานอี้ตอบกลับอย่างไร้เรี่ยวแรง “อย่าพูดถึงอีกเลย หากไม่ใช่เพราะพระชายาแอบเข้าไปในเรือนหานโยวยามวิกาล ท่านอ๋องก็คงไม่พิโรธถึงเพียงนี้”
คนทั้งสองทางหนึ่งทอดถอนใจทางหนึ่งยังคงเดินมุ่งหน้าไปยังโรงหมอ
ทว่า เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้พบพระชายาเยว่เฟิงเกอที่พวกเขาเพิ่งพูดถึง นางกำลังเดินอย่างเชื่องช้ามาทางพวกเขา
พวกเขากำลังคิดจะหันศีรษะกลับ แต่กลับได้ยินเสียงเยว่เฟิงเกอกล่าวว่า “เ้าาเ็หนักถึงเพียงนี้ หากยังไม่ไปโรงหมอรักษาอาการ แล้วคิดจะไปที่ใด? ”
เมื่อถานอี้และเฉียวเฟยรู้ตัวว่าถูกเยว่เฟิงเกอเห็นเข้าให้แล้ว ก็ทำได้แค่หยุดฝีเท้าลง ก้มหน้าไม่กล่าววาจา
เยว่เฟิงเกอเดินก้าวยาวๆ เข้ามาหา นางจับมือของถานอี้ขึ้นมาและเริ่มคลำไปที่ข้อมือเขา
ถานอี้กำลังคิดจะส่งเสียงห้ามปราม แต่เยว่เฟิงเกอกลับกล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน “กระดูกซี่โครงฝั่งซ้ายหักสองซี่ ม้ามเองก็ถูกกระแทกอย่างแรง ส่วนตับก็เกือบต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว”
ถานอี้มองเยว่เฟิงเกอด้วยสีหน้าตกตะลึง สิ่งที่นางพูดเป็จริงทั้งหมด เพราะเขารู้สึกเจ็บร่างกายฝั่งซ้ายมากกว่าฝั่งขวา
ทุกครั้งยามที่เขาหายใจเข้าออกจะรู้สึกปวดแปลบที่ร่างกายฝั่งซ้าย
เขาในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ย่อมต้องรู้สภาพร่างกายของตนเป็อย่างดี
เฉียวเฟยเห็นว่าถานอี้จดจ้องเยว่เฟิงเกอด้วยความตกตะลึง เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าสิ่งที่นางกล่าวถึงถูกต้องทั้งหมด
สององครักษ์ไม่อยากจะเชื่อว่าพระชายาของพวกตนจะพอมีฝีมืออยู่บ้างเหมือนกัน
“พระชายา ทรงเคยเรียนวิชาแพทย์หรือพ่ะย่ะค่ะ? ” เฉียวเฟยมองเยว่เฟิงเกอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
พวกเขาเคยสืบมาแล้ว องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้เยว่เฟิงเกอเป็ตัวไร้ประโยชน์ที่ไม่ทำอันใดและทำอะไรไม่เป็สักอย่าง แต่เยว่เฟิงเกอที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขานี้ กลับสร้างการเรียนรู้ใหม่ให้พวกเขาหลายต่อหลายครั้งยิ่งนัก
นางไม่เพียงเป็วรยุทธ์ ยังเป็วิชาแพทย์ด้วย
นางเป็องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้จริงหรือ พวกเขาไปสืบมาผิดหรือเปล่า?
หากว่าการสืบข่าวของพวกเขาผิดพลาด เช่นนั้นพวกเขาสองคนคงไม่ต้องทำอาชีพนี้ต่อไปแล้ว ควรรีบกลับบ้านเดิมไปปลูกข้าวจะดีกว่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้