องค์หญิงยังดูเหน็ดเหนื่อย บนพระวรกายมีไอเย็นแผ่ออกมาผิดปกติ คงเพราะเพิ่งถอดชุดคลุมเสื้อเกราะ ผมที่มัดไว้ก็ยังไม่ปล่อยสยายลงมา แค่เปลี่ยนเป็ชุดลำลองเท่านั้น
เมื่อพบว่าบุตรสาวสุดล้ำค่าของตนล้มลงกะทันหัน องค์หญิงก็โบกพระหัตถ์ให้หญิงรับใช้ที่กำลังผลัดอาภรณ์อยู่รอบพระวรกายถอยออกไป ก่อนจะเดินไปพยุงเยี่ยนเจาเจาแล้วลูบหัวเข่าของนาง จากนั้นก็อุ้มนางขึ้นมา
เยี่ยนเหิงเองก็รีบเดินออกมาจากห้องด้านข้าง เขารักเอ็นดูบุตรีคนเดียวของตนเป็ที่สุด เมื่อครู่ได้ยินว่านางล้มจึงกระวนกระวายจนวิ่งออกมาทั้งที่ยังไม่ทันผูกผ้าคาดเอว
“ลูกข้า เดินระวังหน่อย ข้ากับท่านแม่ของเ้ายังอยู่ที่นี่ทุกวัน เ้าจะรีบร้อนทำไม”
เยี่ยนเจาเจาหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยนเหิง เมื่อหันกลับมาก็เห็นพระพักตร์ของท่านแม่ที่คล้ายตนเองถึงแปดส่วน นางใช้มือััแก้มเย็นเยือกขององค์หญิงอย่างกล้าๆ กลัวๆ จมูกพลันร้อนผ่าว แล้วน้ำตาก็ร่วงลงมา
หากเป็เช่นชาติก่อน องค์หญิงฉงหยางจะออกศึกตอนเยี่ยนเจาเจาอายุสิบขวบ และสิ้นชีพที่ชายแดนตอนปราบฏถู่โป[1] กับหนานเ้า[2]
เมื่อสิ้นท่านแม่ วันๆ ท่านพ่อจึงเอาแต่ร่ำสุราคลายโศก ถึงยามเหมันตฤดูก็เมามายจนตกลงทะเลสาบ หลังจากงมขึ้นมาได้ก็ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง และจากไปภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี
หากบอกว่าเยี่ยนเจาเจาก่อนอายุสิบขวบเป็ดั่งไข่มุกที่สะดุดตาที่สุดในสวนมวลบุปผาหอม นางหลังอายุสิบขวบคงเป็ตาปลาไร้คนสนใจ ร่างกายแหลกสลาย ไม่เหลือกระทั่งเื่กล่าวขาน
ยามนี้ได้ยินเยี่ยนเหิงบอกว่าเขากับท่านแม่อยู่ด้วยเสมอ ความกลัวและความน้อยอกน้อยใจของเยี่ยนเจาเจาจึงทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
เยี่ยนเหิงเห็นเจาเจาร้องไห้ มือไม้ก็ลุกลี้ลุกลนทันที
เจาเจาส่ายหัวไม่หยุด
“พุทราตกเละไปแล้ว...เดิมตั้งใจจะเอามาให้ท่านแม่กับท่านพ่อทานเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาปิดตาพลางเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น
ความอึดอัดเ็ปของนางไม่อาจพูดออกมาได้ จึงทำได้เพียงโยนความผิดใส่พุทราเมื่อครู่
เยี่ยนเหิงกลั้นยิ้มไม่อยู่ “พุทราเละก็เละไปสิ ครอบครัวอย่างพวกเราจะซื้อพุทราลูกหนึ่งไม่ได้เลยหรือ?”
เยี่ยนเจาเจาไม่ตอบ นางยังคงส่ายหัวและร้องไห้ไม่หยุด
เยี่ยนเหิงจนปัญญา จึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้องค์หญิงฉงหยางแทน
องค์หญิงก็รู้สึกแปลกใจเลยรับเจาเจาเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะลูบหัวเข่าของนางพลางเอ่ยขึ้น “เจาเจาอย่าร้องไห้ ประเดี๋ยวค่อยเรียกคนไปซื้อใหม่”
เยี่ยนเจาเจาปาดน้ำตา คาดไม่ถึงว่ายิ่งเช็ดจะยิ่งร้องไห้หนักขึ้น สุดท้ายได้แต่ประณามตนเองในใจ ยามนี้บุพการียังมีชีวิตอยู่ดี ตนเองรู้เหตุการณ์ในชาติก่อนก็ควรพยายามช่วยท่านพ่อท่านแม่หลีกเลี่ยงสภาพเข้าตาจน ไม่ใช่ร่ำไห้เช่นนี้
ทว่านางควบคุมตนเองไม่ได้เลย ราวกับจะร้องระบายความคับข้องใจทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ไม่ปาน
เยี่ยนเจาเจาซุกหน้าลงกับบ่าองค์หญิง แล้วร้องไห้ลั่นอย่างสิ้นหวังทันที
“องค์หญิงไม่อยู่ คุณหนูก็ไม่ได้รับความเป็ธรรม”
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว เสี่ยวชุ่ยก็นึกไปถึงเื่ที่เยี่ยนฟางหวากลั่นแกล้งเยี่ยนเจาเจาโดยพลการเมื่อหลายวันก่อน เบ้าตาพลันแดงเรื่อขึ้นมา
ปี้สี่ปรายตามองนางอย่างช่วยไม่ได้ แต่การนำเื่ราวมาพูดตอนนี้คงมิเหมาะสมนัก จึงเดินขึ้นไปเปลี่ยนเื่ “คุณหนูป่วยแล้วคิดถึงองค์หญิงเพคะ”
เยี่ยนเจาเจาคิดถึงท่านแม่จริงๆ แม้คนรอบข้างจะคิดเพียงว่านางไม่ได้พบกับท่านแม่มาหลายเดือน แต่แท้จริงคือนางจากท่านแม่นานหลายปีแล้ว และระหว่างนั้นมันเป็่เวลาถึงสองชาติภพ
ยามนี้อยู่ใกล้บ้านมาก นางจึงระงับความปั่นป่วนในอกไม่อยู่จนร่ำไห้ไม่หยุดหย่อน
“ลูกข้าขี้แยเสียจริง”
คำตรัสขององค์หญิงจนใจอย่างยิ่ง หลังจากอุ้มเยี่ยนเจาเจามาโอ๋แล้วโอ๋อีก นางถึงได้หยุดร้อง
สายพระเนตรขององค์หญิงหมุนไปมองเสี่ยวชุ่ยกับปี้สี่ ก่อนจะชะงักลงตรงร่างหนานิเหอ
หนานิเหอก้มหัวลงด้วยแววตาลึกล้ำจางๆ
องค์หญิงแย้มพระสรวลพลางตรัสถาม “ิเหอ เ้าทานข้าวหรือยัง?”
หนานิเหอพูดเองไม่ได้ เด็กรับใช้ข้างกายเขาจึงตอบแทน “คุณชายรับของว่างไปเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงผงกศีรษะ แล้วให้เยี่ยนเหิงพาเยี่ยนเจาเจาและหนานิเหอไปดื่มนมที่ห้องอาหารข้างๆ พระองค์ตรัสว่าพวกเด็กๆ อายุยังน้อย ดื่มนมมากไม่เสียหาย
เยี่ยนเหิงรับฟังความคิดเห็นของภรรยาเสมอ เขาอุ้มเยี่ยนเจาเจาด้วยแขนข้างเดียว ส่วนหนานิเหอเดินตามหลังอย่างว่าง่าย ออกไปจากเรือนหลักของนภาครามด้วยกัน
เสี่ยวชุ่ยกำลังจะเดินตาม แต่คาดไม่ถึงว่าปี้สี่จะรั้งนางไว้เสียก่อน นางจึงหันกลับมาเห็นองค์หญิงฉงหยางที่ประทับอยู่บนเก้าอี้ประธาน
“คุณหนูเป็อะไร?”
เสี่ยวชุ่ยเพิ่งสังเกตว่าบ่าวน้อยใหญ่ในเรือนหลักออกไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงซงจื่อที่เป็หญิงรับใช้ในห้องขององค์หญิงฉงหยาง และตนเองกับปี้สี่เท่านั้น
องค์หญิงยกชาขึ้นจิบ นิ้วพระหัตถ์ขาวราวหยกเคาะแ่เบาบนถ้วยชา มิเอื้อนเอ่ยคำใด
ทว่ากลิ่นอายยามนำทัพออกศึกได้แผ่ออกมาทันที กระทั่งซงจื่อที่ปรนนิบัติในเรือนนภาครามมาตลอดยังทนไม่ค่อยไหว นับประสาอะไรกับเสี่ยวชุ่ยและปี้สี่
เสี่ยวชุ่ยรู้สึกเข่าอ่อน ปี้สี่จึงดึงนางลงมาคุกเข่า
“องค์หญิง เป็บ่าวดูแลไม่ดี...” ปี้สี่เอ่ยปากก่อน สายพระเนตรขององค์หญิงหยุดลงบนร่างนาง กึ่งแย้มสรวลกึ่งกริ้วจนนางตัวสั่นกลัว
“เสี่ยวชุ่ย เ้าว่ามา”
กลับเป็เสี่ยวชุ่ยที่โดนเรียกขาน นางใจสั่นระริก
แต่นางเป็ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวพยัคฆ์ หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยเื่นกแก้วหยกขาวออกมาจนหมดเปลือก สุดท้ายยังบอกอีกว่าเมื่อเยี่ยนเจาเจาฟื้นแล้ว คุณหนูได้โต้ตอบบ้านใหญ่ทุกคนไปอย่างไรบ้าง
สีพระพักตร์ขององค์หญิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงรับสั่งให้ซงจื่อตกรางวัลยาแก้บวมเพื่อสลายเืคั่งให้แก่เสี่ยวชุ่ย และปล่อยนางไปปรนนิบัติคุณหนูทานข้าวที่ห้องอาหาร
ความจริงพระองค์ทราบเื่ราวเหล่านี้มาั้แ่ต้นแล้ว มิฉะนั้นคงไม่รีบร้อนกลับมาจากค่ายเหลียงเป่ย
เมื่อเสี่ยวชุ่ยจากไป ปี้สี่ยิ่งกดดันมากกว่าเดิม นางคุกเข่าไม่กล้ากล่าวแม้แต่คำเดียว
องค์หญิงเงียบงันเนิ่นนาน ซงจื่อก็ไม่พูด แผ่นหลังปี้สี่หลั่งเหงื่อเย็นออกมาเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเอ่ยปากในที่สุด “องค์หญิง นู๋ปี้[3] สำนึกผิดแล้วเพคะ”
“เ้าผิดตรงไหน?” ซงจื่อกับปี้สี่เป็คนในวังเหมือนกัน ปี้สี่ถือว่าผ่านการอบรมจากมือนาง นับเป็กึ่งอาจารย์สอน เพียงนางเอ่ยปาก หน้าผากปี้สี่ก็ชุ่มเหงื่อแล้ว
“นู๋ปี้มิอาจปกป้องคุณหนู คือความผิดครั้งใหญ่เพคะ”
ปี้สี่มีความคิดนับพันในหัว แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาได้เพียงประโยคเดียว
“เ้าอย่าลืมว่าเ้าทำอะไรไว้ก่อนมาอยู่ข้างกายคุณหนู หากกระทั่งคุณหนูยังปกป้องไม่ได้ เ้ากลับไปเสียดีกว่า”
คำพูดของซงจื่อเ็าอย่างยิ่ง จนปี้สี่ก้มหัวต่ำลงไปอีก
“ช่างเถอะ เ้าออกไปก่อน เื่นี้เป็ข้าคิดไม่รอบคอบเอง หากข้าวางกำลังเพิ่มในสวนมวลบุปผาหอม คุณหนูคงไม่ต้องรับความอยุติธรรมเช่นนี้”
องค์หญิงไอแ่เบาและเอ่ยตัดบท
ปี้สี่จำต้องออกไป เมื่อแผ่นหลังของนางลับหายไปจากม่านไข่มุก ซงจื่อก็ได้ยินองค์หญิงทรงถอนพระปัสสาสะ พลางยกพระหัตถ์คลึงขมับตนเอง “ซงจื่อ เ้าว่าข้าคาดหวังในตัวคุณหนูสูงไปหรือเปล่า?”
ซงจื่อเดินเข้ามานวดศีรษะพระองค์ให้แทน พลางเอ่ยวิเคราะห์
“องค์หญิงทรงหวังให้พระธิดาเป็หงส์นั่นย่อมเป็เื่ดี คุณหนูฉลาดหลักแหลมมาั้แ่เล็ก การโต้กลับครานี้มีความคล้ายองค์หญิงเลยเพคะ”
เชิงอรรถ
[1] ถู่โป หมายถึง จักรวรรดิทิเบต ซึ่งขยายอำนาจจากแถบตะวันตกของจีน ไปจนถึงเอเชียกลางและเอเชียใต้
[2] หนานเ้า หมายถึง อาณาจักรน่านเ้าหรือเ้าทางใต้ ซึ่งตั้งขึ้นมาหลังจากพระเ้าพีล่อโก๊ะรวบรวมเมืองต่างๆ ที่แยกกันตั้งอยู่เป็อิสระ 6 แคว้นมาได้ มีศูนย์กลางอาณาจักรอยู่ที่เขตปกครองตนเองเมืองต้าหลี่ของมณฑลยูนนานในปัจจุบัน
[3] นู๋ปี้ หมายถึง คำที่นางกำนัลใช้เรียกตนเอง