ขุนนางใหญ่ท่านอื่นมิรู้เลยว่าผู้ที่เดินหมากล้อมชนะเซียนหมากผมสีเงินเมื่อวานนั้น เป็ฮองเฮาที่อยู่เบื้องหน้านี้ แต่องค์หญิงหลานซินและซือคงจวินเย่กลับรู้ความจริง ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางยินยอมให้การแข่งขันศิลปะกลายเป็การแข่งขันหมากล้อม
ซือคงจวินเย่ส่งเสียง “นี่ไม่ยุติธรรม! ทุกคนล้วนมีศิลปะที่ตนเองถนัดแตกต่างกันออกไป หากเลือกเฉพาะด้านที่ถนัดและเชี่ยวชาญมาแข่งขัน เช่นนั้นย่อมไม่ยุติธรรมต่อคู่ต่อสู้!”
องค์หญิงหลานซิน “เปิ่นกงไม่มีทางเห็นด้วยที่จะให้แข่งขันหมากล้อม!”
จางโหม่วลำบากใจแล้ว เขาหันไปมองหานปิงจี หานปิงจีพูดเสียงเย็น “ง่ายดายมาก! ทั้งสองฝ่ายต่างเขียนศิลปะในแขนงที่ตนถนัดลงบนกระดาษ แล้วใส่ลงไปในกาใบหนึ่ง จากนั้นให้ผู้ตัดสินจับฉลากหนึ่งในนั้นขึ้นมา จับได้สิ่งใดก็แข่งขันสิ่งนั้น!”
คนทั้งหมดตกตะลึง
“หากเป็เช่นนี้ ที่แข่งขันย่อมมิใช่เพียงแค่ศิลปะแล้ว แต่ยังมีโชคชะตาด้วย!”
“หากโชคไม่ดี จับฉลากได้ศิลปะที่ฝ่ายตรงข้ามถนัด มิต้องเสียเปรียบยกใหญ่หรือ!”
“แต่หากจับฉลากได้ศิลปะที่ตนเองถนัด เช่นนั้นก็ชนะแน่นอน!”
“...”
องค์หญิงหลานซินได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ขบริมฝีปาก นางดูเหมือนแน่ใจว่าฮองเฮาจะต้องเขียนการแข่งขันหมากล้อมลงบนกระดาษแน่นอน หากจับฉลากได้กระดาษของอีกฝ่ายจะทำอย่างไร นางแพ้แน่!
ที่นี้จะทำอย่างไรดี?
ไม่เพียงแต่นางที่ตกที่นั่งลำบาก เฟิ่งเฉี่ยนในตอนนี้ก็ปวดหัวไม่น้อย
พูดจริงๆ แล้วหากว่าด้วยศิลปะ นอกจากการเดินหมากล้อมและการทำอาหารแล้ว นางไม่มีความรู้ด้านศิลปะอื่นๆ อีก หากจับฉลากได้การร่ายรำและร้องเพลง นางชนะแน่
แต่ ยังดี ยังมีโอกาสอีกครึ่งหนึ่ง!
อย่างไรนางก็ไม่ได้วางความหวังไว้กับการแข่งขันศิลปะทั้งหมด อย่างมากหากแพ้ก็แค่แพ้ อย่างน้อยๆ นางก็ชนะไปแล้วครั้งหนึ่ง ขอเพียงสามารถชนะการแข่งขันในรอบสุดท้ายได้อีกครั้งหนึ่ง นางก็ยังคงเป็ฝ่ายชนะอีกฝ่ายอยู่ดี!
ทั้งสองฝ่ายต่างมีความกังวลใจ แต่ไม่อาจไม่กล่าวว่า วิธีการของหานปิงจียุติธรรมที่สุด ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ลิขิต์!
ซือคงจวินเย่และจางโหม่วลอบๆ สนทนากันทางสายตาในมุมที่เฟิ่งเฉี่ยนไม่อาจสังเกตเห็น และได้ตกลงกันโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น...
ทั้งสองฝ่ายเขียนศิลปะที่ตนถนัดลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว สำหรับเฟิ่งเฉี่ยนและองค์หญิงหลานซินแล้ว “ในเมื่อใต้เท้าหานเป็ผู้เสนอความคิดนี้ เช่นนั้นผู้ทำหน้าที่จับฉลากย่อมต้องเป็ใต้เท้าหานเช่นกัน ทั้งสองท่านคงไม่มีความเห็นเป็อื่นกระมัง”
เฟิ่งเฉี่ยนเชื่อและศรัทธาในตัวหานปิงจีอย่างปราศจากสาเหตุ นางส่ายหน้าให้รู้ว่านางไม่มีความเห็นเป็อื่น
องค์หญิงหลานซินกลับตื่นเต้นอยู่บ้าง ฝ่ามือของนางชื้นไปด้วยเหงื่อเย็น สุดท้ายส่ายหน้าเช่นกัน ในเมื่อเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ได้แต่แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว
จางโหม่วนำกามาวางตรงหน้าหานปิงจี เขายิ้มเยือน กล่าวว่า “ใต้เท้าหาน ตอนนี้เชิญท่านฉับฉลากหัวข้อการแข่งขันศิลปะ!”
หานปิงจีไม่อิดออดเช่นกัน นางยื่นมือเข้าไปในกา ทันใดนั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาคมปลาบนั้นมองจางโหม่วด้วยแววตายุ่งยากใจ
จางโหม่วสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงยิ้มแย้ม “ใต้เท้าหาน รีบจับฉลากเถิด! หาไม่แล้วเหนียงเหนียงทั้งสองอาจรอจนร้อนใจแล้ว!”
หานปิงจีถลึงตาใส่จางโหม่ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะขวัญกล้าถึงเพียงนี้ กล้าโกงการแข่งขันต่อหน้าคนทุกคน! เดิมทีในกาต้องมีกระดาษสองแผ่น แต่บัดนี้เหลือกระดาษเพียงแผ่นเดียว ชัดเจนเหลือเกินว่าจางโหม่วได้กระทำการตุกติก!
เมื่อสักครู่นางสังเกตเห็นการสื่อสารกันทางสายตาระหว่างเขาและไท่จื่อแคว้นหนานเยียนแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นกล้าเล่นตุกติกระหว่างการแข่งขัน!
ทว่ายามนี้นางกลับไม่อาจเปิดโปงเขาเพราะพวกเขามาด้วยกัน เป็ตัวแทนและเป็หน้าตาของฝ่าา หากนางเปิดโปงจางโหม่วต่อหน้าทุกคนว่าเขาโกงการแข่งขัน ย่อมต้องทำให้ฝ่าาต้องเสื่อมเสียไปด้วย
ดังนั้น นางไม่อาจทำเช่นนี้ได้!
ทว่า...เมื่อเป็เช่นนี้ย่อมไม่ยุติธรรมต่อฮองเฮา! นางก้าวข้ามสามัญสำนึกของตนเองไม่ได้!
เฟิ่งเฉี่ยนสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของหานปิงจีจึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “ใต้เท้าหาน มีปัญหาอะไรหรือไม่”
หานปิงจีรีบเก็บงำสีหน้าท่าทางและกลับเข้าสู่บุคลิกเ็าของตน ในขณะเดียวกันก็ดึงมือที่ยื่นเข้าไปในกาออกมา นางคลี่กระดาษออกแล้วอ่าน “หม่อมฉันประกาศ รายละเอียดของการแข่งขันรอบที่สองคือ ทักษะการวาดภาพ!”
ทักษะการวาดภาพ?
เฟิ่งเฉี่ยนหน้ามืดทันที!
ถึงกับจับฉลากได้ศิลปะของฝ่ายตรงข้าม และช่างโชคร้ายเหลือเกินที่เป็ทักษะการวาดภาพที่นางไม่ถนัดเลย!
หากให้นางวาดแผนที่อะไรเทือกนั้นยังพอคุยกันได้ แต่หากให้วาดอย่างอื่นนางคงวาดออกมาไม่ได้จริงๆ นางไม่มีพร์ในเื่การวาดภาพ!
นางส่ายหน้าเบาๆ ตัดสินใจยอมแพ้
เห็นนางมีสีหน้าหม่นวูบ องค์หญิงหลานซินหัวเราะอย่างได้ใจ “พี่สาว ดูท่าโชคท่านไม่ดีนัก ไม่ได้จับฉลากศิลปะของพี่สาว! หากการแข่งขันครั้งนี้ ท่านคิดจะสละสิทธิ์ยอมแพ้ ก็ได้นะ ดีกว่าวาดไม่เป็สับปะรด ทำให้เป็ที่น่าหัวเราะเยาะของทุกคน! ฮิๆๆๆ...”
แม้จะเห็นองค์หญิงหลานซินไม่รื่นหูรื่นตามาโดยตลอด ทว่ายามนี้เฟิ่งชังกลับเห็นด้วยกับความเห็นของนาง หากเทียบกับการต้องอับอายขายขี้หน้าผู้อื่น ไม่สู้ยอมแพ้แต่แรกจะดีกว่า!
คิดถึงผลงานภาพวาด “อันยิ่งใหญ่” เ่าั้ของบุตรสาวแล้ว เขาแทบจะกระอักเื!
ไม่ได้ จะให้บุตรสาวสร้างความอับอายต่อหน้าผู้คนไม่ได้!
เฟิ่งชังไอแค่กๆ แล้วส่งเสียง “ฮองเฮาเหนียงเหนียง หากไม่มีความมั่นใจไม่สู้ยอมรับข้อเสนอของหลานเฟยเหนียงเหนียง ยอมแพ้การแข่งขันในรอบนี้เถิด!”
ขุนนางทั้งหลายได้ยินจึงหัวเราะไปตามๆ กัน
“น่าสนใจ! นี่เท่ากับท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งไม่มีความศรัทธาต่อทักษะการวาดภาพของฮองเฮา! ถึงกับเป็ฝ่ายเสนอให้ฮองเฮายอมแพ้การแข่งขันในรอบนี้หรือ”
“ทักษะการวาดภาพของฮองเฮาย่ำแย่ถึงเพียงนั้นหรือ”
“ข้าอยากจะชื่นชมให้แน่ใจกับตาสักหน่อยแล้ว”
“ฮ่าๆๆ...”
หลี่เต๋อหรงหัวเราะเสียงดังกว่าใครเพื่อน “ฮองเฮาเหนียงเหนียง ในเมื่อกระทั่งท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งยังกล่าวเช่นนี้ ไม่สู้ท่านยอมแพ้เถิด! มีคำพูดประโยคหนึ่งที่คนโบราณกล่าวเอาไว้ ไม่ฟังคำของผู้ใหญ่ ย่อมต้องเสียเปรียบผู้อื่น!”
เฟิ่งชังมีโทสะจนหน้าแดง ทว่าเมื่อเทียบกับตนเองถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเย้ยแล้วก็ยังดีกว่า ตนเองและบุตรสาวต้องถูกคนหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมกันมากนัก!
เขาได้แต่กล้ำกลืนโทสะนี้เงียบๆ
เฟิ่งเฉี่ยนหน้ามืดและอับจนคำพูด กระทั่งบิดาบังเกิดเกล้าของตนเองยังโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้นางยอมแพ้ ทักษะการวาดภาพของนางถึงขั้นหมดทางเยียวยาปานนั้นเชียวหรือ
ทว่านางเป็เช่นลา ลากจูงอย่างไรก็ไม่ยอมเดิน!
พวกเขาไม่เกลี้ยกล่อมให้ข้ายอมแพ้ ข้าจะยอมแพ้ แต่เมื่อพวกเขาล้วนเกลี้ยกล่อมให้ข้ายอมแพ้ ข้าจะไม่ยอมแพ้จะทำไมเล่า!
“เหตุใดเปิ่นกงต้องยอมแพ้ด้วย การแข่งขันยังไม่ทันได้เริ่มขึ้น ใครแพ้หรือชนะ ยังเป็เื่ไม่แน่นอน!”
ได้ยินคำพูดยโสโอหังของนางแล้ว ั์ตาดำขลับของเซวียนหยวนเช่อกลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ เป็อันขาด ทว่าเขาประหลาดใจเหลือเกิน ทักษะการวาดภาพของนางย่ำแย่ถึงขั้นใด กระทั่งบิดาของนางยังโน้มน้าวให้นางยอมแพ้การแข่งขัน
เฟิ่งเฉี่ยนประสานสายตากับเขาโดยไม่ตั้งใจ และจับรอยยิ้มที่พาดผ่านดวงตาของเขาได้ นางทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด จึงถลึงตากลับไปอย่างโกรธๆ!
ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเื่แต่งตั้งพระชายา ถึงกับยังมีอารมณ์มาหัวเราะเยาะนางหรือ
น่ารังเกียจที่สุด!
หลังจากถลึงตาแล้ว ติ่งหูของนางพลันร้อนซู่ แต่ทักษะการวาดภาพของนางย่ำแย่จริงๆ!
นางพลันรู้สึกร้อนตัวขึ้นมา ไม่อยากให้เขาเห็นนางแข่งขันแล้ว...
ทำอย่างไรดี? ด่านนี้จะผ่านมันไปได้อย่างไร
ระหว่างที่นางกำลังใคร่ครวญ จ้าวกงกงได้จัดการให้ขันทีนำสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือมาจัดเตรียมทีละอย่าง
องค์หญิงหลานซินเดินมาหยุดที่โต๊ะตัวหนึ่งด้วยความมั่นใจ นางเลือกที่จะใช้วิธีการวาดภาพแบบสีน้ำมัน นางคลี่กระดาษออกด้วยท่าทางชำนิชำนาญ ผสมสี ร่างภาพอย่างคร่าวๆ ทุกขั้นตอนตามลำดับ ราวกับมีความมั่นใจว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ
หันกลับมาดูเฟิ่งเฉี่ยน นางเดินไปที่โต๊ะของตัวเองเช่นกัน ทว่าได้แต่มองกระดาษอย่างใจลอยไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม พลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ มาจากด้านซ้าย นางหันหน้าไปมอง เป็ซือคงเซิ่งเจี๋ยยกจอกสุราชนให้นางแต่ไกล ดวงตายาวเรียวหงส์ของเขาหรี่ลงเล็กน้อย หางตาชี้ขึ้น ชัดเจนเหลือเกินว่ารอดูละครชีวิตของนาง!
เฟิ่งเฉี่ยนกลอกตาขาวใส่เขา แล้วเลือกที่จะทำเป็มองไม่เห็น!
ราวกับคนทั้งหมดที่อยู่ในท้องพระโรงไม่มีใครเห็นว่านางจะทำได้ กระทั่งตัวนางเองก็ไม่เชื่อว่านางจะวาดอะไรออกมาได้ ครานี้จะทำอย่างไรดี?
เมื่อเงยหน้าขึ้น องค์หญิงหลานซินที่อยู่ตรงข้ามก็เริ่มวาดภาพแล้ว นางร้อนใจยิ่งกว่าเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้