หลงเซี่ยวอวี่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาตกลงไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อเล็กน้อย และเขาก็ส่งเสียงขู่ขึ้นจมูกว่า “หือ?” ออกมาหนึ่งคำ
มันเป็เพียงเสียงที่แ่เบา แต่ร่างกายของหลงเซี่ยวเจ๋อก็ยังคงสั่นสะท้าน และเขาก็ฟื้นคืนสติกลับมาจากความคิดของตนด้วยหัวใจที่สั่นไหว ก่อนที่เขาจะถามอย่างระมัดระวังว่า “เกิด...เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?”
เพิ่งถามเสร็จ หลงเซี่ยวเจ๋อก็เข้าใจได้ขึ้นมาในทันทีว่า ‘หือ?’ ของหลงเซี่ยวอวี่ที่เปล่งเสียงออกมานั้นเป็อันตราย ไม่ว่ามันจะหมายถึงสิ่งใด เขาก็ไม่กล้าที่จะรอให้หลงเซี่ยวอวี่พูดมันออกมาอีกครั้ง และยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความเชื่อฟังต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่
ไม่ว่ามู่จื่อหลิงจะเขินอายเพียงใด นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น นางจึงหันไปมอง...
หลงเซี่ยวอวี่วางนิ้วบนข้อมือของหลงเซี่ยวเจ๋อ ตรวจจับชีพจรของเขาอย่างตั้งใจ
ในเวลาเดียวกัน สายตาของหลงเซี่ยวอวี่ก็จับจ้องไปที่มู่จื่อหลิงในอ้อมแขนของตนอีกครั้ง
การถูกคนเช่นนี้จ้องมอง แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะพยายามเพิกเฉย แต่นางก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ทันใดนั้น นางนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าอับอายขายหน้าเมื่อครู่นี้ขึ้นมาอีกครั้ง
จากหางตาของมู่จื่อหลิง นางมองเห็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายของหลงเซี่ยวอวี่ ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกเสียหน้ามากยิ่งขึ้น
ช่างน่าชิงชัง!
มู่จื่อหลิงคร่ำครวญอย่างหดหู่ใจ กำมือที่กำลังโอบรอบเอวบางของหลงเซี่ยวอวี่ไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว หัวเล็กๆ ของนางยังคงถูกับแขนของหลงเซี่ยวอวี่ พยายามหาที่ที่นางสามารถฝังใบหน้าของตนได้
ยามนี้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ในอ้อมแขนของเขากำลังกอดเขาไว้แน่นเช่นนี้ ฉีอ๋องคิดในใจว่ามันมีประโยชน์มากจริงๆ มู่มู่ของเขาช่างน่ารักในยามที่นางเขินอาย และมันเป็สิ่งที่หาได้ยากสำหรับเขา
่เวลาที่หลงเซี่ยวอวี่วางมือบนมือของหลงเซี่ยวเจ๋อ หลงเซี่ยวเจ๋อไม่คิดว่ามือของเขาจะถูกตัดออก ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกปลาบปลื้มเล็กน้อย
เพราะวันนี้เป็ครั้งที่สามแล้วที่พี่สามของเขาอดทน และบอกเขาในเื่เดิมซ้ำๆ
ครั้งที่สาม...ครั้งที่สามหมายความว่าอย่างไร?
รู้ไหม พี่สามของเขาจะไม่มีวันอดทนกับเื่ไร้สาระแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะต่อผู้ใดหรือสิ่งใดก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้นั้แ่เด็กจนโต หากเกินครั้งที่สอง พี่สามของเขาจะไม่เคยกล่าวสิ่งใดกับเขาอีกเลย หากเกินครั้งที่สอง เขาจะถูกพาไปที่อวี่กงเพื่อให้ไปทนทุกข์สักสองสามวันอย่างแน่นอน ด้วยความทรงจำอันยาวนาน ในวันนี้หากเขาพูดเื่ไร้สาระออกมาอีกเพียงคำเดียว เขาจะยังอยู่ต่อได้อย่างไร
วันนี้มีฝนแดงตกแล้ว [1]!
ไม่ใช่ มันไม่ใช่ฝนแดง มันคือ...
หลงเซี่ยวเจ๋อคิดเกี่ยวกับเื่นี้แล้วแอบมองไปทางมู่จื่อหลิงซึ่งยังคงอยู่ในอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่และยังคงมองหารูเพื่อมุดลงไป
เขาอยากรู้จริงๆ ว่าเมื่อครู่นี้มันเกิดสิ่งใดขึ้น พี่สะใภ้สามของเขาที่มีความกล้าจากการกินน้ำดีเสือ เหตุใดในยามนี้จึงได้ทำตัวแปลกไป!
มู่จื่อหลิงในยามนี้ดูไม่เหมือนคนที่มีความกล้าจากการกินน้ำดีเสือ แต่นางกลับดูเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่หวาดกลัวซึ่งพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาที่หลบภัย
ไม่ว่านางจะเป็เสือหรือกระต่ายตัวน้อย มู่จื่อหลิงก็เป็พี่สะใภ้สามของเขา...และจะเป็ตลอดไป
หลงเซี่ยวเจ๋อกัดฟันแน่น ขจัดความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
บางสิ่งถูกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของเขา และเป็การดีที่จะรู้ว่าสิ่งเ่าั้ไม่ควรถูกค้นพบ
บางที เมื่อมันผ่านไปนาน ก็คงจะสามารถค่อยๆ ลืมมันไปได้
ไม่ว่าจะเป็การหลอกตัวเองหรือไม่ก็ตาม
เมื่อมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่ที่โอบกอดมู่จื่อหลิงราวกับสมบัติล้ำค่าต่อหน้าเขา มุมปากสีแดงสดใสของหลงเซี่ยวเจ๋อก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มราวกับหนุ่มน้อยผู้น่ารัก และมันเป็รอยยิ้มที่มีความจริงใจ
นอกจากนี้...เพราะเมื่อครู่มีฉากรักใคร่ของกระต่ายขี้กลัวตัวนี้กับพี่สามของเขา จึงอาจจะไม่สะดวกที่จะพูดคุยกับพี่สามของเขาในยามนี้ก็เป็ได้
หลงเซี่ยวเจ๋อคิดอย่างชาญฉลาด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าการมีพี่สะใภ้สามนั้นดีจริงๆ และดูเหมือนว่าชีวิตของเขาจะดีขึ้นมากในภายภาคหน้า
เมื่อรู้สึกว่าวันที่ยากลำบากใกล้จะจบลงแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อจึงคิดฝันอย่างมีความสุข...ตั้งตารอวันที่สวยงามและสะดวกสบายในภายภาคหน้า
หลงเซี่ยวเจ๋อผู้น่าสงสารกลับไม่รู้ว่า เป็เขาที่คิดมากไปเอง
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเขากำลังฝันกลางวันเหมือนกับที่ใครอีกคนฝันเมื่อครู่นี้ แต่มีเพียงการฝันกลางวันเท่านั้นที่ไม่ต่างกัน แต่ฐานะที่ได้รับนั้นกลับแตกต่างกัน
หลังจากนั้นไม่นาน หลงเซี่ยวอวี่ก็หยุดตรวจชีพจรของหลงเซี่ยวเจ๋อ
สายตาของหลงเซี่ยวอวี่จับจ้องไปที่ผู้หญิงตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง มู่มู่ของเขาทำให้เขาประหลาดใจได้เสมอ สิ่งที่เขาแก้ไม่ได้ นางก็แก้มันให้โดยไม่ได้ตั้งใจ
ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตนจากเหนือศีรษะ มู่จื่อหลิงอยากจะร้องไห้โดยไร้น้ำตา นางฝังหัวของตนไว้ในอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง แแ่จนแม้แต่อากาศก็ไม่อาจผ่านไปได้
เมื่อคิดถึงการกระทำที่เสียหน้าซึ่งมันน่าอับอายจนลามไปถึงเรือนท่านยาย [2] ของนางเมื่อครู่นี้ ในใจของมู่จื่อหลิงนั้นมีความรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง...ช่างไม่มีความละอายเลยจริงๆ
จะมีคนสักกี่มากน้อยที่เห็นนางกระทำการอย่างกล้าหาญและลุ่มหลงในมารร้ายผู้มีรูปโฉมงดงามโดดเด่นกว่าใครผู้นี้ มันช่างน่าอายเหลือเกิน
ริมฝีปากของหลงเซี่ยวอวี่ยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ หญิงขี้อายผู้นี้ไม่กลัวว่าจะหายใจไม่ออกตายเลยหรือ?
เขายื่นมือออกมาแล้วค่อยๆ ดึงหัวของมู่จื่อหลิงออกมาเบาๆ ราวกับกำลังจับสมบัติล้ำค่า ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะฝังใบหน้าของนางลงไปอีกครั้ง เขาก็ห่อตัวของนางไว้เกือบทั้งตัวด้วยชุดคลุมขนาดใหญ่ของตน...
เมื่อเห็นการกระทำของหลงเซี่ยวอวี่ มู่จื่อหลิงซึ่งถูกชุดคลุมของเขาปกปิดใบหน้าไว้ ก็ยิ่งเขินอายและหดหู่ใจมากขึ้นไปอีก เหตุใดนางถึงรู้สึกราวกับว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง?
หลงเซี่ยวอวี่ถอนมือออก ความฝันอันแสนหวานของหลงเซี่ยวเจ๋อก็จางหายไปเช่นกัน
เพียงแค่ััข้อมือหรือ? นี่คือจบแล้วหรือ? หลงเซี่ยวเจ๋อรู้สึกสับสน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด
เขาจ้องไปที่หลงเซี่ยวอวี่อย่างว่างเปล่า ถามอย่างโง่เขลา “พี่สาม ท่านจะไม่ตัดมือข้าใช่ไหม?”
หลงเซี่ยวอวี่เหลือบมองหลงเซี่ยวเจ๋อด้วยสายตาราวกับมองคนโง่ และคร้านเกินกว่าจะพูดเื่ไร้สาระกับเขา จึงพูดอย่างเ็าว่า “ใช้วิธีเดิม ไปนั่งควบคุมพลังปราณ ปลดปล่อยตันเถียนที่ถูกปิดกั้นให้สามารถไหลได้ตามปกติ ให้เวลาเ้าครึ่งชั่วยาม”
สิ่งที่เขาพูดนั้นค่อนข้างแปลกประหลาดและเป็สิ่งที่คาดไม่ถึง หลงเซี่ยวเจ๋อจึงชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “อะไรนะ?”
หลงเซี่ยวเจ๋อตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกถึงความทรมานที่เขาได้รับหลังจากกินยาแก้พิษที่มู่จื่อหลิงโยนเข้าไปในปากของเขาโดยไม่รู้ตัวขึ้นมาได้ มันเป็ความทรมานจากความหนาวเหน็บและความเร่าร้อน
หลังจากที่มู่จื่อหลิงมอบกระบอกน้ำหอมกรุ่นให้เขา ในขณะนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ ในจุดตันเถียนของตน เขาไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ยามนี้หลงเซี่ยวอวี่พูดมันออกมาแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อ
หลงเซี่ยวเจ๋อเบิกตากว้าง มันเหลือเชื่อจริงๆ “พี่สาม ท่านหมายถึงข้า ข้า...”
อย่างไรก็ตามหลงเซี่ยวอวี่ไม่้าคุยกับเขาเกี่ยวกับเื่ไร้สาระนี่แม้แต่คำเดียว ดังนั้นเขาจึงเหยียดขาเรียวยาวและเตะเขาออกไป
หลงเซี่ยวเจ๋อถูกเตะจนเหมือนสุนัขกลืนอาจม [3] ไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทางเศร้าโศกหรือไม่พอใจเท่านั้น แต่เขายังนั่งลงบนพื้นอย่างโง่เขลาและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อมีความสุขเพียงใดในยามนี้
หลังจากคลอดออกมาหลงเซี่ยวเจ๋อสูญเสียมารดาของตนไป และมักถูกข่มเหงรังแกโดยนางสนมและองค์ชายคนอื่นๆ มีครั้งหนึ่งที่เขาเกือบเสียชีวิตจากการถูกทรมาน
แม้ว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือในภายหลัง แต่รากของอาการเจ็บป่วยยังคงมีอยู่ จึงถูกตราหน้าว่าอ่อนแอ
แม้ว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นจะรักเขาอย่างสุดซึ้ง แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปกป้องเขาได้ตลอดเวลา ต่อมาเนื่องจากมีจิ่นเฟยกับหลงเซี่ยวอวี่ เขาจึงได้มีความรู้สึกถึงความอบอุ่นยามอยู่ภายในวังหลวง
เมื่อตอนที่เขายังเป็เด็ก หลงเซี่ยวอวี่เฉลียวฉลาดและเ้าเล่ห์มีไหวพริบ ในขณะเดียวกันก็เป็คนหัวแข็งดื้อรั้น ยโสโอหังอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าเป็ผู้ทรงอำนาจที่ยากจะหาผู้ใดมาเทียบได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะดุร้ายและโเี้มากเพียงใด เขาก็มีความโดดเด่นที่สุดในบรรดาองค์ชาย และได้รับความรักจากฮ่องเต้เหวินอิ้นและอดีตฮ่องเต้
ดังนั้น หลงเซี่ยวอวี่จึงมีศัตรูมากมายมาั้แ่เมื่อครั้งที่เขายังเป็เด็ก แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุเขา
เนื่องจากไม่มีผู้ใดที่เข้ายั่วยุเขาแล้วมีจุดจบที่ดีเลย และเนื่องด้วยการปกป้องของหลงเซี่ยวอวี่ หลงเซี่ยวเจ๋อจึงไม่ค่อยถูกองค์ชายคนอื่นๆ รังแกอีก
นอกจากนี้ยังเป็เพราะการดูแลเอาใจใส่ของจิ่นเฟย ร่างกายที่อ่อนแอของหลงเซี่ยวเจ๋อที่ได้รับการดูแลจึงค่อยๆ หายเป็ปกติ และยามนี้เขาก็มีร่างกายที่แข็งแรงราวกับวัว [4] แล้ว
แต่การมีร่างกายที่แข็งแรงนั้นยังไม่เพียงพอ และการถูกรังแกน้อยลงไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกรังแก หลงเซี่ยวเจ๋อจึง้าเรียนรู้วรยุทธ์ แต่เขากลับสามารถเรียนรู้ได้เพียงหนึ่งถึงสองกระบวนท่าเท่านั้น
ในตอนแรกหลงเซี่ยวเจ๋อยังมีความอดทนที่จะเรียนและฝึกฝนอย่างหนัก ต่อมาเขาก็หมดความอดทน จนกลายเป็สามวันจับปลา สองวันตากแห [5] และต่อมาก็ฝึกเมื่ออยากฝึกเท่านั้น
ต้องรู้ว่าสิ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋อทนไม่ได้มากที่สุดก็คือการอดทนต่อความยากลำบาก ในท้ายที่สุดแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเชื่อว่าเขาเป็คนไร้ค่าที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับพร์ในด้านวรยุทธ์
แต่แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไป
จากเหตุการณ์หนึ่ง ทำให้ฐานะของหลงเซี่ยวอวี่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากผู้ทรงอำนาจที่ยากจะหาผู้ใดมาเทียบได้ กลับกลายเป็คนที่เฉยเมยและเ็า ให้ความรู้สึกที่สุขุมจริงจัง
เนื่องจากเหตุการณ์นี้ หลงเซี่ยวเจ๋อจึงเริ่มถูกรังแกบ่อยขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นหลงเซี่ยวอวี่ก็บังคับให้หลงเซี่ยวเจ๋อฝึกฝนวรยุทธ์ แต่หลงเซี่ยวเจ๋อไม่แข็งแกร่งพอ การเรียนรู้ยังคงทำได้เพียงฝึกฝนวิชาเล็กๆ น้อยๆ อย่างหมัดเท้าปักบุปผา [6] เท่านั้น
ในความเป็จริง หลงเซี่ยวเจ๋อรู้จักวิชาแมวสามขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าเขาี้เี แต่เพียงเพราะมีกระแสลมในจุดตันเถียนที่ขัดขวางไม่ให้เขาฝึกวรยุทธ์ต่างหาก
เนื่องจากการขัดขวางของกระแสลมนั้น เขาจึงไม่สามารถเรียนรู้ทักษะภายในใดๆ ได้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะศึกษาและฝึกฝนหนักเพียงใด เขาก็เรียนรู้ได้เพียงหมัดเท้าปักบุปผาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
นั่นเป็เหตุผลที่เขามักจะถูก ‘รังแก’ โดยคนรอบข้างหลงเซี่ยวอวี่ที่มีวรยุทธ์อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น กุ่ยหยิ่งที่มักรับผิดชอบในการพาเขาไปลงโทษ
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต มันก็ช่างน่าเหลือทน เรียกได้ว่าช่างขมขื่น!
หลงเซี่ยวเจ๋อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ทั้งยังมีน้ำตาเศร้าในดวงตาของเขา
ในที่สุดเขาก็สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้แล้ว ในภายภาคหน้าเขาจะทนทุกข์น้อยลงและสามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานได้
หลงเซี่ยวเจ๋อคิดว่า หากปราศจากอาหารของฮองเฮา หากมู่จื่อหลิงไม่ได้แอบป้อนยาให้เขาอย่างลับๆ และบังเอิญทำให้ปลดกระแสลมที่อยู่ภายในร่างกายของเขาจนมันทลายลงได้ เขาคงจะเป็เช่นนี้ไปตลอดชีวิต
พี่สะใภ้สามเป็ดาวนำโชคของเขาจริงๆ หลงเซี่ยวเจ๋อแอบชำเลืองมองเข้าไปในอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาถูกหลงเซี่ยวอวี่มองกลับมาด้วยประกายแสงเ็า
“ยังไม่ไปอีก?” เสียงของหลงเซี่ยวอวี่แ่เบา แต่มันกลับแฝงไปด้วยอารมณ์ที่น่าเกรงขามและทรงพลัง
ดังนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อจึงตัวสั่นสะท้าน เช็ดน้ำตาที่มาจากความขมขื่นออกจากดวงตาของตน ค่อยๆ ลุกขึ้นและไปนั่งฝึกฝนในรถม้าที่นั่งมากับมู่จื่อหลิงในตอนแรก
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะฝังใบหน้าของนางไว้ในอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่ แต่นางก็ยังเปิดหูตั้งใจฟัง แต่สิ่งที่ฟังนั้นกลับมีเพียงกลุ่มเมฆและหมอก [7]
สองคนนี้คุยอะไรกัน?
นางรู้สึกว่าหลงเซี่ยวเจ๋อเพิ่งถูกเตะ แต่แทนที่จะกรีดร้อง เ้าเด็กโง่นั่นกลับยังหัวเราะอย่างโง่เขลา มันเกิดอะไรขึ้น?
มู่จื่อหลิงแอบแหวกชุดคลุมที่คลุมใบหน้าของตนออกจนเกิดเป็ช่องว่าง แต่กลับพบเพียงหลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังจ้องมองนางอยู่
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่มีรอยยิ้มที่น่าสยดสยองซึ่งไม่สามารถเพิกเฉยได้ ฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นของเขาััใบหน้าที่แดงระเรื่อของนาง ยิ่งดูยิ่งชอบ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือมาจับเบาๆ “มู่มู่เด็กโง่จะเขินอายอะไรถึงเพียงนี้?”
เมื่อมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาราวปีศาจที่มีความชั่วร้ายที่สามารถสะกดทุกสรรพสิ่งได้ หัวใจของมู่จื่อหลิงก็กดดันจนหายใจไม่สะดวก
ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่ามันกวนประสาท จนอยาก นางอยากต่อยมันจริงๆ
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฝนแดงตกแล้ว (下红雨了) เป็วลี มีความหมายว่า มีสิ่งที่เป็ไปไม่ได้และไม่คาดฝันเกิดขึ้น
[2] อับอายจนลามไปถึงเรือนท่านยาย (丢到姥姥家) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า เื่ที่น่าอายเป็อย่างมาก แปลตรงตัวว่าอับอายจนลามไปถึงบ้านคุณยาย ซึ่งมาจากการที่ในสมัยโบราณหากสามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งกัน ลูกสะใภ้จะหนีกลับบ้านเดิม และหากฝ่ายหญิงบอกความคับแค้นใจใดๆ ออกไป ทางบ้านเดิมอาจทำให้เื่อื้อฉาวใหญ่โต
[3] สุนัขกลืนอาจม (狗吃屎) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า หกคะเมนหรือล้มหัวคะมำ ส่วนมากใช้ในความหมายลักษณะเหยียดหยาม
[4] แข็งแรงราวกับวัว (健壮如牛) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า แข็งแกร่งและสง่างาม หรือแข็งแรงและกระฉับกระเฉง
[5] สามวันจับปลา สองวันตากแห (三天打鱼,两天晒网) เป็สำนวน มีความหมายว่า ขาดความเพียรในการศึกษาและการทำงาน ทั้งยังมักถูกขัดจังหวะทำให้ไม่สามารถทำได้นาน หรือทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่จริงจัง
[6] หมัดเท้าปักบุปผา (花拳绣腿) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า เพลงมวยที่มีกระบวนท่างดงามแต่ใช้การจริงไม่ได้
[7] กลุ่มเมฆและหมอก (云里雾里) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า งง ไม่เข้าใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้