“ในเมื่อลากเส้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มตัดกันเถอะ หวังว่าครั้งนี้จะตัดออกมามีสีเขียวเต็มไปหมด จะได้เป็การเริ่มต้นที่ดีและปิดท้ายด้วยดีไงล่ะ” ท่านเฮ่อฉางเหอพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับมองไปยังบริเวณรอบๆ หลังจากนั้นจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “หลินเยว่ล่ะ?”
“เมื่อคืนจู่ๆ เขาก็เป็ลมหมดสติไป ตอนนี้ยังอยู่ที่โรงพยาบาล คงต้องเปลี่ยนคนตัดแล้วล่ะ” เฮ่อโย่วจ้างพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทว่าดูเหมือนว่าน้ำเสียงของเขาจะแฝงไปด้วยความเสียดายอยู่เล็กน้อย
“อืม ถ้าอย่างนั้นนายช่างหลิน ลำบากคุณแล้ว”
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอพูดจบ ก็มีชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปีเดินออกมาจากกลุ่มผู้คนในนั้น เขาอยู่ในชุดฟอร์มนายช่างของหรงเล่อเซวียน เขาพูดตอบ “ด้วยความยินดี”
หลังจากนั้น นายช่างหลินจึงเดินไปยังเบื้องหน้าของเครื่องตัดหินหยก เขาปรับตำแหน่งของใบเลื่อยให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงเปิดสวิตช์ให้เครื่องตัดหินหยกเริ่มทำงาน และควบคุมใบเลื่อยให้ค่อยๆ ลดระดับลง ขณะที่นายช่างหลินกำลังควบคุมการตัดหินหยกนั้น ผู้คนรอบๆ ต่างรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย จะเจ๊งหรือจะได้ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดในครั้งนี้
ใบหน้ายิ้มแย้มของเฮ่อหลันเยว่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน เธอกำเสื้อของคุณปู่ของเธอไว้แน่น ดวงตาคู่โตก็จับจ้องไปที่ใบเลื่อยที่กำลังหมุนเป็วงกลมอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ใบเลื่อยกำลังจะตัดลงบนเปลือกผิวหน้าของหินหยกนั้น ก็มีเสียงร้องะโมาจากทางด้านหน้าของโรงงานและเสียงนั้นก็ลอยเข้ามาอย่างรวดเร็วและดุดัน
“หยุดเดี๋ยวนี้!!!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ดังขึ้น ผู้คนรอบๆ ต่างตกตะลึงกันไปทั้งหมด นายช่างหลินก็หยุดการควบคุมเครื่องตัดหินหยกลงเช่นกัน เขาปล่อยให้ใบเลื่อยหมุนเป็วงกลมด้วยตัวมันเองตามการทำงานปกติ ผู้คนในที่แห่งนี้ต่างมองไปยังทิศที่มีเสียงลอยเข้ามา พวกเขาพบว่าเป็ชายหนุ่มที่มีใบหน้าซีดขาวกำลังวิ่งเข้ามาทางพวกเขา ซึ่งคนคนนั้นก็คือหลินเยว่
ปากทางเข้าโรงงานห่างจากตำแหน่งที่วางเครื่องตัดหินหยกไม่ไกลนัก แต่ระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวนี้กลับทำให้หลินเยว่หายใจหอบหนัก มีเหงื่อท่วมตัว
ซุนเสียงที่กำลังดูการพนันหินหยกอยู่รอบๆ เมื่อเห็นสีหน้าหลินเยว่ เขาจึงรีบเดินเข้าไปพยุงหลินเยว่ทันที
“หลินเยว่ คุณไม่ได้พักอยู่ที่โรงพยาบาลหรอกหรือ? ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?” ท่านเฮ่อฉางเหอถามอย่างเป็ห่วง
“ผมไม่ได้เจ็บป่วยอะไรครับ แค่ร่างกายอ่อนเพลียเท่านั้น ผมก็เลยมาที่นี่น่ะครับ” หลินเยว่โบกมือเพื่อให้ซุนเสียงหลบไป หลังจากนั้นเขาจึงเดินแหวกเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ตอนที่หลินเยว่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าที่โรงพยาบาล เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรงและปวดหัวมาก เขาจึงรู้ได้ทันทีว่านี่เป็ผลกระทบจากการที่เขาใช้สายตามากจนเกินไป แต่เมื่อเขารู้สึกดีขึ้นชั่วคราว เขาจึงออกจากโรงพยาบาลทันที เพราะว่าเตียงของโรงพยาบาลนอนพักผ่อนไม่สบายเหมือนเตียงที่บ้านนั่นเอง ตอนแรกเขาจึงคิดจะกลับบ้าน แต่ว่าเขายังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับหินหยกก้อนที่เขาสำรวจเมื่อวานอยู่ ดังนั้น เขาจึงมาที่โรงงานในตอนนี้ และเป็เวลาเดียวกันกับที่ทางโรงงานกำลังจะตัดหินหยกพอดี เมื่อคิดถึงสภาพหินหยกภายในที่เขาเห็นเมื่อวาน เขาจึงได้แต่ะโออกมาอย่างนี้ด้วยความร้อนใจ
“ตอนนี้เหลือแค่หินหยกก้อนสุดท้ายแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก คุณกลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ” ท่านเฮ่อฉางเหอเห็นว่าหลินเยว่มีสีหน้าซีดเซียวดูอ่อนเพลีย เขาจึงแนะนำขึ้น
“ไม่เป็ไรครับ ผมไหวอยู่” หลินเยว่ส่งยิ้มที่ดูอ่อนแรงให้กับท่านเฮ่อฉางเหอ
เฮ่อหลันเยว่ที่อยู่ข้างๆ นั้นก็สังเกตหลินเยว่อย่างสนใจ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้เจอกับหลินเยว่ ปกติเธอรู้จักคนงานในโรงงานแห่งนี้แทบทั้งหมด แต่เธอไม่เคยเจอคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาก่อน และที่ทำให้เธอสนใจอย่างยิ่งก็เป็เพราะท่าทีของคุณปู่ของเธอที่มีต่อคนตรงหน้านี่เอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ” ท่านเฮ่อฉางเหอลังเลไปชั่วขณะและก็พยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นจึงถามขึ้น “ทำไมเมื่อตะกี๊คุณถึงให้พวกเราหยุดล่ะ?”
ณ เวลานี้ นายช่างหลินก็ได้ปิดเครื่องตัดหินหยกเรียบร้อยแล้ว และประโยคนี้ของท่านเฮ่อฉางเหอทำให้สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังหลินเยว่ เพราะทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มที่มีฝีมือการตัดหินหยกไม่ธรรมดาผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่
“เพราะทั้งสองเส้นนี้ลากไม่ถูกต้อง หากตัดลงไปตามนี้จะทำให้หยกชั้นเลิศที่อยู่ด้านในเสียหาย” หลินเยว่พูดตอบ
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ผู้คนรอบๆ ต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นทันที
ทั้งสองเส้นนี้ลากไม่ถูกต้อง? แต่เส้นหนึ่งเป็เส้นที่เฮ่อโย่วจ้างใช้เวลาสี่สิบกว่านาทีถึงจะลากออกมาได้ และอีกเส้นหนึ่งเป็เส้นที่ปรมาจารย์แห่งหยกลากออกมาได้ถูกต้องแม่นยำกว่าของเฮ่อโย่วจ้าง หรือว่ามันจะไม่ถูกต้องเหมือนกันทั้งสองเส้น?
ทุกๆ คนต่างมองหลินเยว่ด้วยสายตาที่แปลกไปทันที เ้าหนูคนนี้ไข้ขึ้นจนสมองเพี้ยนหรือเปล่า? ทำไมเขาถึงกล้าพูดบอกว่าปรมาจารย์แห่งหยกลากเส้นผิดล่ะ? เขาเป็เพียงช่างตัดหินหยกตัวเล็กๆ เท่านั้น หรือว่าเขาคิดว่าตัวเองเก่งกว่าปรมาจารย์แห่งหยกหรืออย่างไร!
หลินเยว่ต้องเผชิญกับสายตาข้องใจของทุกๆ คน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน ณ ที่แห่งนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าสภาพภายในทั้งหมดของหินหยกก้อนนี้เป็อย่างไร เพราะหินหยกก้อนนี้ประหลาดมากจริงๆ ตรงเปลือกผิวมีหยกแบนราบขนาดใหญ่อยู่ ส่วนตรงกลางกลับเป็ชั้นหินหนาๆ ขนาดใหญ่แทรกอยู่ และตรงมุมล่างซ้ายกลับมีหยกชั้นเลิศขนาดสองกำมืออยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหยกตรงกลางของหยกก้อนนี้เป็หยกชั้นเลิศที่หาพบได้ยากมาก ซึ่งแค่จุดเล็กๆ ตรงนี้ก็สามารถนำมาชดเชยเงินทั้งหมดในการซื้อหินหยกก้อนนี้ทั้งก้อนได้แล้ว แต่ทว่าหากตัดพลาดไป ผลลัพธ์ออกมามีเพียงอย่างเดียว... นั่นก็คือ “การตัดเจ๊ง”
ส่วนเส้นที่เฮ่อโย่วจ้างรวมทั้งท่านเฮ่อฉางเหอลากออกมาทั้งสองเส้นนี้เป็การใช้หยกตรงเปลือกผิวเป็ตัวกำหนด หากตัดลงไปตามนี้ หยกชั้นเลิศที่อยู่ด้านในก้อนนั้นจะถูกแบ่งออกเป็สองส่วน ซึ่งเป็ความเสียหายมหาศาล ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาต้องขัดขวางการตัดครั้งนี้ให้ได้ เพราะเขาคิดว่านี่เป็การตอบแทนบุญคุณที่ท่านเฮ่อฉางเหอที่ให้โอกาสเขาได้มาที่นี่ ถึงแม้ว่าอาจจะทำให้ความลับเื่พลังพิเศษของเขาต้องถูกเปิดเผยออกมา แต่ว่าเขาคงไม่สามารถคิดอะไรได้มากไปกว่านี้
ท่านเฮ่อฉางเหอมองหลินเยว่อย่างสนใจพร้อมถามขึ้น “ลากผิดตรงไหนล่ะ?”
ประโยคนี้ของท่านเฮ่อฉางเหอทำให้หลินเยว่เกิดอาการคิดไม่ออกทันที เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร เส้นที่ลากบนหินหยกทั้งสองเส้นนี้เป็การพิจารณาจากภาพรวมของปัจจัยต่างๆ ในทุกๆ ด้าน ส่วนตัวหลินเยว่เองนั้นไม่มีความสามารถพอที่จะพิจารณาภาพรวมเหล่านี้ หรือความจริงก็คือเขาทำไม่เป็!
เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของหลินเยว่ ผู้คนรอบๆ ต่างหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะนี้แฝงไปด้วยการเยาะเย้ย ขณะที่หลินเยว่กำลังพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไรดีนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนรอบๆ ก็ดังขึ้น
“ผมก็ว่าแล้ว ปรมาจารย์แห่งหยกจะพลาดได้อย่างไร ในเมื่อบอกไม่ได้เป็ข้อๆ 1 2 3... ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มตัดหินหยกนี้เถอะ”
“ใช่ เส้นที่ท่านเฮ่อลากนี้มีความถูกต้องแม่นยำ สหายหนุ่ม อย่าขวางอีกเลย รีบตัดหินหยกกันเถอะ ที่นี่ไม่มีใคร้าเสียเวลากับคุณหรอกนะ”
……
เฮ่อโย่วจ้างขมวดคิ้วมองหลินเยว่ เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้กำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าเป็การลากเส้นผิดจริงๆ? แต่มันจะเป็ไปได้อย่างไรล่ะ เพราะตัวเขาเองได้ตัดสินใจลากเส้นจากความน่าจะเป็สูงสุดเท่าที่จะเป็ไปได้
ณ เวลานี้ สายตาของเฮ่อหลันเยว่ที่มองหลินเยว่เต็มไปด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้น คนตรงหน้านี้กล้าพูดว่าคุณปู่และพี่ชายของเธอลากเส้นผิด คุณปู่ของเธอเป็ถึงปรมาจารย์แห่งหยกเลยนะ จะเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร แต่ทว่าทำไมพี่ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ถึงได้มีความมั่นใจมากขนาดนี้เลยล่ะ?
หลินเยว่คิดแล้วคิดอีก ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร แต่เขารู้ว่าควรจะลากอย่างไร! ดังนั้น เขาจึงหยิบปากกาหัวเล็กขึ้นมาและลงมือลากเส้นลงตรงกลางของหินหยกก้อนนี้ออกมายาวๆ เส้นหนึ่ง
ลากตรงกลาง?
เมื่อเห็นเส้นที่หลินเยว่ลากออกมา ผู้คนในที่แห่งนี้ถึงกับนิ่งอึ้ง ตรงกลางเป็ส่วนที่ดอกสนปรากฏขึ้นหนาแน่นที่สุดบนหินหยกก้อนนี้ หากตัดตามนี้ก็จะเป็การตัดหยกที่อาจจะนำมาทำเป็ของชิ้นใหญ่ได้ออกเป็สองส่วน และทำให้มูลค่าของหยกก้อนนี้ลดลงไปไม่น้อย
อีกทั้งเส้นที่ลากเส้นนี้ก็ดูเหมือนเด็กน้อยหัดวาดเกินไปแล้ว! มีการพนันหินหยกครั้งไหนที่จะเริ่มตัดหินหยกจากตรงกลางก่อน ก็มีแต่พวกมือใหม่ที่ไม่รู้ว่าควรจะตัดอย่างไรเท่านั้นแหละถึงจะทำแบบนี้!
เมื่อเห็นเส้นที่หลินเยว่ลากออกมา ในใจของคนรอบๆ จึงเกิดความคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้คงจะป่วยหนักจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขายังแอบคาดหวังในตัวหลินเยว่ หวังว่าเขาอาจจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาโดยการท้าทายปรมาจารย์แห่งหยก แต่ทว่าตอนนี้ความหวังทั้งหลายกลับกลายเป็ฟองอากาศพร้อมละลายหายไปเสียแล้ว
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอเห็นเส้นที่หลินเยว่ลากขึ้นมา สายตาของเขาจึงสะท้อนถึงความผิดหวัง เพราะแม้กระทั่งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วงการนี้ก็ไม่มีทางลากเส้นแบบนี้หรอก แต่หลินเยว่กลับลากเส้นเส้นนี้ออกมา เขามองไปทางหลินเยว่พร้อมถามขึ้น “เหตุผลที่คุณลากเส้นตรงนี้เป็เพราะอะไรหรือ?”
หลินเยว่โน้มตัวลงและชี้ไปที่ลายเส้นงูเหลือมที่มีขนาดเล็กมากเส้นหนึ่ง และเส้นเส้นนี้ก็อยู่ทางด้านล่างของหินหยก ลายเส้นงูเหลือมเส้นนี้มีความเรียวบางและอยู่อย่างโดดเดี่ยว ราวกับคนที่มีรอยบากอยู่บนใบหน้าทำให้ใบหน้าดูน่ากลัวไม่น่ามอง และรอบๆ ลายเส้นงูเหลือมนี้กลับไม่มีดอกสนเลยสักนิดเดียว หากลายเส้นงูเหลือมแบบนี้อยู่บนหินหยกก้อนอื่นก็อาจจะไม่ถูกมองข้ามเช่นนี้ แต่ทว่าหินหยกที่อยู่ตรงหน้าก้อนนี้มีลายเส้นงูเหลือมที่ดูเด่นชัดกว่าเส้นนี้อีกหลายเส้น หากพิจารณาถึงลายเส้นงูเหลือมเส้นนี้ เส้นที่หลินเยว่ลากก็มีเหตุมีผลอยู่เหมือนกัน
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง!
เมื่อเห็นหลินเยว่ชี้ไปยังลายเส้นงูเหลือมเส้นนั้น ผู้คนรอบๆ ต่างเข้าใจได้ทันที ที่แท้แล้วหลินเยว่ตัดสินใจลากเส้นแบบนี้เป็เพราะว่าเขาพิจารณาถึงลายเส้นงูเหลือมเส้นนี้นี่เอง แต่ว่าลายเส้นงูเหลือมเส้นนี้ช่างไม่มีความน่าสนใจเลย ดังนั้น สิ่งที่หลินเยว่ตัดสินใจจึงมีความเป็ไปได้สูงที่จะเกิดความผิดพลาด เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผู้คนรอบๆ จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
การหัวเราะครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการเยาะเย้ย แต่เป็เพราะพวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็เพียงมือใหม่เท่านั้น
เพราะคงมีเพียงมือใหม่ที่มีความรู้เล็กน้อยถึงจะกล้าตัดสินใจแบบนี้อย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว
ท่านเฮ่อฉางเหอเดินเข้ามาหาหลินเยว่ เขาตบบ่าหลินเยว่พร้อมรอยยิ้มและพูดขึ้น “พวกเราก็เห็นลายเส้นงูเหลือมเส้นนี้แล้วเหมือนกัน แต่ว่ามันเล็กเกินไป เมื่อเทียบกับลายเส้นงูเหลือมและดอกสนตรงอื่นๆ แล้วมันก็ไม่มีค่ามากพอให้สนใจ แน่นอน หากการลากเส้นของคุณขึ้นกับลายเส้นงูเหลือมเส้นนี้มันก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน แต่ทว่าการตัดสินใจแบบนี้ยังมีความแม่นยำไม่มากพอ การตัดหินหยกต้องคำนึงถึงความเป็ไปได้เป็หลัก และก็ต้องลงมีดจากตำแหน่งที่มีความเป็ไปได้สูงสุดก่อน ดังนั้น ผมคงไม่สามารถเห็นด้วยกับเส้นที่คุณลากหรอกนะ”
เนื่องจากหลินเยว่ไม่้าให้คนอื่นสงสัยเื่พลังพิเศษของตัวเอง ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ลากตรงตำแหน่งที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด แต่กลับลากออกมาเป็ภาพรวมๆ เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าจะเป็เพียงภาพรวม แต่ก็ทำให้ทุกคนเข้าใจได้
เมื่อได้ยินท่านเฮ่อเอ่ยเช่นนี้ ในใจของหลินเยว่ก็เริ่มร้อนรนมากขึ้น หากตัดหินหยกตามเส้นที่ท่านเฮ่อฉางเหอลากออกมาเส้นนั้นจริงๆ หินหยกก้อนนี้ก็แทบจะไม่เหลือค่าเลยล่ะ!