บทที่ 8
แม้ว่าคำพูดที่ดังขึ้นมาจะแสดงให้ถึงความประหลาดใจ แต่สีหน้าของผู้ที่พูดนั้นกลับไม่ได้แสดงความรู้สึกแบบนั้นแม้แต่น้อย กลับกันบนใบหน้าของผู้ที่มาเยือนนั้นกำลังแสดงออกถึงการมีเื่เสียมากกว่า
“นี่แหละน่า ! ที่คนแก่บ้านฉันมักบอกไว้เสมอ คนเราถ้ามีเส้นสายหรือคนหนุนหลังดี ๆ ต่อให้ทำตัวแย่บัดซบยังไง สุดท้ายก็ไม่ได้รับผลอะไรมาเลย ฉันละอิจฉานายจริง ๆ ”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความนับถือแต่ความหมายในประโยคกลับส่อไปทางเสียดสีต่อภูมิหลังของหลินห่าวซวน ทำให้ผู้คนในร้านหันมามองที่โต๊ะที่กำลังเกิดเื่ในตอนนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ! รุ่นพี่พูดอะไรแบบนั้นละครับ ถ้าเื้ัผมดีจริงอย่างที่รุ่นพี่ว่าจริง ๆ ผมคงไม่ถูกส่งทำงานสัมภาษณ์พวกนั้นหรอก ผมคงอยู่กินกาแฟอยู่ที่ออฟฟิศเหมือนรุ่นพี่ดีกว่า ”
หลินห่าวซวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดที่เสียดสีของผู้ที่เข้ามาหา ก่อนที่จะเงยหน้ามองแล้วกล่าวต่อว่า
“อีกอย่างคำพูดพวกนี้ก็ไม่ใช่รุ่นพี่ที่พูดออกมานะ ใคร ๆ ในสำนักพิมพ์ต่างก็รู้ว่าตัวของรุ่นพี่กับรองบก.สงมีความสัมพันธ์กันยังไง? ตัวผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว แต่รุ่นพี่แน่ใจจริง ๆ เหรอว่าจะแลกกับผมจริง ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวน ใบหน้าของผู้ที่เข้ามาก็แข็งค้างไปชั่วครู่พร้อมทั้งความแปลกใจได้ปรากฏขึ้นมาเพราะการตอบโต้ของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ในความทรงจำของเขานั้น คนเสเพลอย่างหลินห่าวซวน ไม่ได้มีนิสัยที่จะตอบโต้ใครแบบนี้ กลับกันหากเป็เมื่อก่อน ด้วยคำพูดที่เขาพูดไปแบบนี้ เ้าหมอนี่คงลุกขึ้นมามีเื่กับเขาไปแล้ว
แต่นี้มันอะไรกัน !เ้าคนเสเพลคนนี้นอกจากจะไม่ลุกขึ้นมาเอาเื่เขาแล้ว ก็กล้าที่จะใช้คำพูดข่มขู่เขา ด้วยคำพูดที่พูดออกมาเมื่อครู่แถมบนใบหน้าก็ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมไม่เหมือนที่ผ่านมาแม้แต่น้อย ราวกับว่าอีกฝ่ายได้รู้ความลับของเขาทุกอย่าง ทำให้ตัวเขาไม่อยากที่จะเสี่ยงมีเื่ในตอนนี้
แน่นอนว่าหลินห่าวซวนเองก็ไม่ได้รับรู้ความคิดของคนตรงหน้า แต่ว่าในความทรงจำของหลินห่าวซวนคนเก่า ตัวของเขาก็พอรู้ได้ว่าคนตรงหน้าเป็คนของสงเหว่ย รองบก.ฝ่ายวรรณกรรมของสำนักพิมพ์ที่เสนอให้ตัวเขามาทำงานในที่ประชุมเมื่อวานนี้และลูกไล่ของเซียวตง นักเขียนดาวรุ่งของฝ่ายวรรณกรรมและมีความสัมพันธ์ทางสายเืกับสงเหว่ย แถมเซียวตงคนนี้ก็ยังเป็คู่แข่งโดยตรงของหลินห่าวซวนด้วยเช่นกัน
ด้วยความสัมพันธ์ไม่ได้ดีเลิศระหว่างตัวเขากับกลุ่มของสงเหว่ย การที่อีกฝ่ายพูดจาหาเื่เช่นนี้ก็คงหนีไม่พ้นฝีมือของคนกลุ่มนั้น เพียงแต่ว่าตัวของหลินห่าวซวนไม่รู้ว่าคำสั่งนี้ออกมาจากคนที่เป็หลานหรือคนที่เป็ลุงกันแน่
ส่วนเื่ความลับของคนตรงหน้ากับกลุ่มของเซียวตงนั้น หลินห่าวซวนพูดขึ้นมาลอย ๆ เท่านั้น ในความเป็จริงแล้วในความทรงจำของร่างเก่าก็ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน
“นี่ ! คนพวกนี้เป็ใครเหรอ ดูเหมือนว่าพวกเขาตั้งใจจะมาหาเื่คุณนะ คุณรู้จักกับพวกเขาด้วยงั้นเหรอ? หรือคุณไปทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ ”
เมื่อเห็นกลุ่มคนที่เข้ามาหาเื่ถอยออกไปนั่งโต๊ะใกล้ ๆ ซ่งหยูเยียนที่นั่งฟังเงียบ ๆ ได้ดึงแขนเสื้อของหลินห่าวซวนพร้อมกับกล่าวถามออกมาเบา ๆ ในใจของเธอคิดว่าผู้ที่เข้ามานั้นมีเจตนาที่ไม่ดีอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าสามีในนามของเธอเองก็คงรู้จักคนกลุ่มนี้ไม่น้อย
แม้ว่าในยุคสมัยนี้จะไปใช่ยุคสมัยศักดินาที่ปกครองด้วยขุนนาง แต่ด้วยชื่อเสียงของหลินห่าวซวนที่โด่งดังในเื่ของความเสเพล ซ่งหยูเยียนเกรงว่าสามีในนามของเธอคนนี้ไปล่วงเกินใครที่ไม่เกรงกลัวอำนาจของกฎหมายเข้า ถ้าเป็แบบที่เธอคิดจริง วันข้างหน้าที่ต้องใช้ชีวิตด้วยกันคงจะต้องมีเื่ยากลำบากไม่น้อย
“อ๋อ ! ทำให้คุณใแล้ว พวกเขาเป็คนที่สำนักพิมพ์นะแล้วก็เป็เพื่อนร่วมงานใหม่ของผม แต่ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ค่อยลงรอยกัน คุณไม่ต้องไปใส่ใจพวกเขามากหรอก ”
หลินห่าวซวนที่ได้ยินคำถามของซ่งหยูเยียนก็กล่าวตอบกลับมาทันที และเมื่อสีหน้าที่ดูไม่ดีของหญิงสาว หลินห่าวซวนก็รับรู้ได้ทันทีว่าในหัวของซ่งหยูเยียนกำลังคิดอะไรอยู่
“คนพวกนี้เป็คนที่สำนักพิมพ์จริง ๆ ไม่ใช่พวกอันธพาลตามไนต์คลับที่ไหน คุณวางใจได้ เมื่อก่อนผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มนักเลงอย่างไร วันข้างหน้าผมก็จะไม่ยุ่งอย่างนั้น ”
แน่นอนว่าคำพูดนี้หลินห่าวซวนกล่าวออกมาอย่างใจจริง เพราะตัวของเขารู้ว่าจุดเริ่มต้นของหายนะของตัวละครหลินห่าวซวนในนิยายนั้นมันมาจากความสัมพันธ์กับกลุ่มคนสีเทาพวกนี้ ดังนั้นในฐานะที่เป็คนที่รู้เนื้อเื่ในส่วนต้นของนิยายและมีแผนที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตที่ต้องตายแน่นอน การยุติความสัมพันธ์ที่ไม่ดีก็ถือเป็หนึ่งในแผนการของเขาเช่นกัน
ซ่งหยูเยียนที่ได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวนที่ยืนยันว่าคนที่เข้ามาหาเื่เมื่อครู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง ส่วนเื่ประโยคหลังที่เป็คำมั่นสัญญาที่หลินห่าวซวนให้ไว้นั้นเธอี้เีที่จะใส่ใจ
แม้ว่าหลินห่าวซวนจะกล่าวคำหวาน กินน้ำผึ้ง (1) แต่การที่คนเสเพลที่แทบจะออกไปเที่ยวราตรีทุกคืน อยู่ ๆ มาบอกว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดี ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกยังน่าเชื่อมากกว่า
หลังจากจบเื่วุ่นวายที่เกิดขึ้นไปเมื่อครู่ ภายในร้านก็กลับมาสงบอีกครั้ง เหล่าสายตาของแขกที่หวังแทะเม็ดแตงรอดูเื่สนุกต่างก็แสดงออกถึงความผิดหวังที่ไม่มีละครฉากใหญ่ให้ดู ต่างก็กลับไปให้ความสนใจบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองพร้อมทั้งพูดคุยกับสหายของตัวเอง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แน่นอนว่าหลินห่าวซวนเองก็ทำเหมือนแขกโต๊ะอื่น ๆ เช่นกันที่หาเื่มาพูดคุยกับซ่งหยูเยียนที่อยู่ตรงหน้า ส่วนหนึ่งก็เป็เพราะไม่อยากให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอึดอัด อีกส่วนก็เป็เพราะอยากจะรู้จักตัวตนของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าแบบจริงจัง
แม้ว่าตัวของเขาจะรู้จักตัวละครที่มีชื่อว่าซ่งหยูเยียนจากการอ่านนิยาย แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับตัวละครในนิยายแบบนี้ อีกทั้งยังเป็ตัวละครที่มีผลโดยตรงกับตัวละครที่มีคนชื่นชอบเป็อันดับต้น ๆ ของเื่อีกต่างหาก นับเป็เื่ที่หากพูดไปแล้วก็อยากที่จะมีคนเชื่อ
ในฐานะคนที่ต้องใช้ชีวิตในโลกใบนี้แล้ว ตัวของหลินห่าวซวนไม่อยากใช้ความคิดที่อ่านจากนิยายมาตัดสิน เพราะซ่งหยูเยียนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ไม่ใช่ตัวละครจากนิยายออนไลน์ที่เคยอ่านในชาติก่อน แต่เป็ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีตัวตนอยู่ในโลกจริง ๆ ดังนั้นจุดประสงค์ที่หลินห่าวซวนพยายามชวนอีกฝ่ายคุยอย่างเอาเป็เอาตายนั้น ก็เป็เพราะอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนที่อยู่ตรงหน้า
ไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายสวยพอ ๆ กับตี๋ลี่เร่อปา (2) จริง ๆ นะ สาบานได้ !
น่าเสียดายที่การสนทนาของหลินห่าวซวนกับซ่งหยูเยียนนั้นเป็เหมือนการพูดอยู่คนของฝ่ายชาย ไม่ว่าจะถามอะไรไป ซ่งหยูเยียนก็ตอบด้วยคำพูดสั้น ๆ เสมอ
“เฮ้อ ! บะหมี่ที่ร้านนี้ก็อร่อยดีนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมหูฉันได้ยินเสียงเหมือนคนเป่าลมเข้าโคมไฟ (3) อยู่ตลอดเลยนะ ”
ขณะที่หลินห่าวซวนพยายามหาเื่คุยกับซ่งหยูเยียนอยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความกระแนะกระแหนได้ดังขึ้นมา เมื่อหลินห่าวซวนหันไปมองตามต้นเสียงก็พบว่าผู้ที่พูดนั้นก็เป็กลุ่มลูกไล่ของเซียวตงที่พูดขึ้นมาและมองมาที่โต๊ะของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามเหมือนเดิม
“เหล่าเถี่ย ! ไม่ใช่นายคนเดียวที่ได้ยิน ฉันเองก็ได้ยินเหมือนกัน แถมโคมไฟที่ว่าไม่ใช่โคมไฟธรรมดาด้วยนะ แต่เป็โคมไฟหงส์ที่ดูสวยจนฉันไม่กล้าคิดที่เอื้อมเลยว่ะ ”
ชายร่างผอมที่อยู่ในกลุ่มได้กล่าวตอบรับทันที เมื่อคำพูดของคนที่ถูกเรียกวาเหล่าเถี่ยได้จบลง พร้อมกับเสียงหัวเราะขึ้นมา ก่อนที่เหล่าเถี่ยจะกล่าวต่อว่า
“เฮ้อ ! เหล่าจู อย่าว่าแต่นายเลย แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่กล้าเหมือนกันว่ะ แต่ดูเหมือนว่าในที่นี้มีบางคนไม่คิดที่จะเจียมตัวคิดที่เอื้อมหยิบโคมไฟหงส์ ไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะสมไหม คนโบราณเลยมีคำพูดที่ว่าหมาไม่คู่ควรกินข้าวกับหงส์ ”
เมื่อเหล่าเถี่ยพูดจบ เสียงหัวเราะของคนทั้งกลุ่มก็ดังขึ้มาอีกครั้งพร้อมมองมาที่หลินห่าวซวนอย่างไม่ปิดบัง ราวกับว่าคำพูดเมื่อครู่พวกเขาตั้งใจพูดให้อีกฝ่ายได้ยินและรอให้มาเอาเื่พวกเขาอยู่
“คุณฉันว่าเราไปกันเถอะ อย่าไปมี… ”
“น้องชาย คิดเงินโต๊ะนี่ด้วย ”
แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่หลินห่าวซวนที่ได้ยิน ซ่งหยูเยียนที่นั่งอยู่ก็ได้ยินเช่นกันและเข้าใจว่าคนพวกนั้นไม่ได้มีเจตนาที่ดีต่อคนที่อยู่ตรงหน้า เพียงแต่เธอก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นทำไปทำไม ดังนั้นเธอคิดที่จะพาหลินห่าวซวนออกห่าง เพื่อหลีกหนีปัญหาที่จะเกิดขึ้น
เพียงแต่คำพูดของเธอไม่ทันจบประโยค หลินห่าวซวนก็ยกมือขึ้นแล้วะโเรียกบริกรของร้านแล้วจ่ายเงินในทันที
เมื่อเห็นการกระทำของหลินห่าวซวน กลุ่มของเหล่าเถี่ยก็เกิดความงุนงงอีกครั้ง เพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าหลินห่าวซวนจะอยู่ปล่อยผ่านคำพูดของพวกเขาอีกครั้ง และคิดจากไปโดยไม่คิดที่จะทำอะไรพวกเขาแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ว่าเ้าหมอนี่จะโดนบก.ถานด่าจนสมองกลับจนเลี่ยนนิสัยไปแล้วหรอกนะ?
ในขณะที่ความคิดของพวกเขากำลังไหลผ่านหัวอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ หลินห่าวซวนที่กำลังจะก้าวออกจากร้านก็หยุดลงแล้วหันมากล่าวกับทั้งสามคน ซึ่งคำพูดนี้ก็แทบทำพวกเขาแทบจะกระอักเืออกมา
“รุ่นพี่ ! ั้แ่รู้จักกันมาคำพูดในครั้งนี้ของรุ่นพี่ ผมรู้สึกว่าถูกต้องที่สุดเลย ในเมื่อรุ่นพี่บอกว่าหมาไม่คู่ควรกินข้าวกับหงส์ แบบนั้นแล้วผมก็ขอตัวบินไปหาอะไรกินที่อื่นก่อนนะครับ ”
เมื่อพูดจบหลินห่าวซวนก็พาซ่งหยูเยียนออกจากร้านไปในทันที เหลือไว้เพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าของชาย 3 คนที่นั่งมองไปที่ประตู ก่อนที่จะถูกเสียงหัวเราะของแขกในร้านเรียกสติขึ้นมา จากนั้นก็รู้ความหมายของคำพูดของหลินห่าวซวนที่ทิ้งเอาไว้
บัดซบ ! ไอ้คนแซ่หลิน แกว่าใครเป็หมากันวะ
ฝากไว้ก่อนเถอะ ! ครั้งหน้าฉันจะฉีกหน้าแกให้อับอายเลยคอยดู
.................................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้