อันที่จริง ถ้านับดูดีๆ เฉิงเย่ถานรู้จักกับเวินรื่อโอวนานกว่ารู้จักกับกู้เฟิงเสียอีก!
เวินรื่อโอวและเย่ถานเรียนในโรงเรียนมัธยมเดียวกัน เป็โรงเรียนชั้นสูง เวินรื่อโอวเป็รุ่นพี่ของเย่ถาน และเป็ที่รู้จักในโรงเรียน แต่เหตุผลที่เวินรื่อโอวมีชื่อเสียงไม่ได้เป็เพราะสิ่งอื่นใด แต่เป็เพราะขึ้นชื่อเื่ความอ่อนโยนนั่นเอง
่วัยสิบหกสิบเจ็ด เป็วัยแห่งความคึกคะนอง บวกกับมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี ร่ำรวย เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ของโรงเรียนนี้จึงมีนิสัยหยิ่งผยองไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะชายหรือหญิง พวกเขาทั้งหมดน่าจะอยู่บนจุดสูงสุดของมนุษย์ แต่เมื่ออยู่รวมกัน พวกเขากลับกลายเป็ฝูงห่านป่าที่ไม่มีใครโดดเด่นกว่าใคร บวกกับความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ระหว่างครอบครัว เหล่านักเรียนทั้งหลายจึงรวมตัวกันเป็กลุ่มก้อนเล็กๆ ยากนักที่จะได้เห็นความสมัครสมานสามัคคีระหว่างชั้นเรียน หรือมิตรภาพในหมู่นักเรียน ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หัวหน้าห้องจึงเป็หน้าที่ที่ไม่มีคนเห็นคุณค่า และเวินรื่อโอวก็เป็หัวหน้าห้อง ว่ากันว่าที่เขาได้เป็หัวหน้าห้องเพราะไม่มีใครอยากเป็ ภาระจึงตกมาที่เขา
นอกจากนี้ เวินรื่อโอวยังเป็คณะกรรมการนักเรียน และมักจะถูกส่งไปตรวจตราเครื่องแบบและเหรียญตราของนักเรียนที่หน้าโรงเรียนเป็ประจำ แม้ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บหรือฤดูร้อนที่แผดเผา ว่ากันว่าตำแหน่งกรรมการนักเรียนนี้หัวหน้าห้องควรจะผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาทำหน้าที่ แต่เมื่อถึงตาเขา เขาก็ไม่ได้ลงจากตำแหน่งอีกเลย แรกๆ ทุกคนก็หาสารพัดเหตุผลมาขอให้เขาทำหน้าที่แทน แต่พอนานวันเข้า ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย
แถมเวินรื่อโอวยังรับตำแหน่งรองประธานสภานักเรียน ว่ากันว่าเขาเป็คนทำงานทุกอย่างของสภานักเรียน แต่ผลงานและรางวัลตอบแทนทั้งหมดกลับเป็ชื่อของประธานสภานักเรียน เพราะว่าประธานสภาเป็หลานของผู้อำนวยการโรงเรียน
ว่าแต่ทำไมเวินรื่อโอวถึงได้ขึ้นชื่อเื่ความอ่อนโยน ไม่ใช่คนที่อ่อนแอที่ถูกรังแกง่ายๆ ล่ะ? เพราะเขายังเป็ประธานชมรมเคนโด้ด้วย ตราบใดมีดาบไม้ไผ่เอาในมือ เขาก็ไร้เทียมทาน ว่ากันว่าพลังดาบไม้ไผ่ของเขา แม้ประธานชมรมยูโดที่ขึ้นชื่อเื่เป็พวกเผด็จการ นิสัยอันธพาลยังสู้ไม่ได้
ตามหลักแล้วคนที่ยุ่งขนาดนี้ น่าจะไม่มีเวลาเรียน แต่ผลการเรียนของเวินรื่อโอวกลับยอดเยี่ยม เขาไม่เคยหลุดจากอันดับท็อปเทนของโรงเรียนเลยสักครั้ง
ในฐานะที่เป็คนที่อายุอ่อนกว่าเวินรื่อโอวเพียงหนึ่งปี เย่ถานรู้ว่ามีคนประเภทนี้อยู่ในโรงเรียนมาโดยตลอด แต่เขาไม่เคยคิดอยากจะไปผูกมิตรเหมือนกับคนอื่นๆ สักครั้ง เพราะตอนนั้นเขารู้ตัวเื่รสนิยมทางเพศของตนเอง เขากลัวว่าจะหลบหน้าผู้คนไม่ทันด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับคนคนนั้นแล้ว นอกจากหน้าตา เขาก็เป็แค่คนสามัญทั่วไป ในที่ที่ผู้คนถูกตัดสินกันจากความมั่งคั่งและพลังอำนาจของพวกเขา รูปร่างหน้าตาถือเป็สิ่งที่ไม่มีคุณค่าให้พูดถึงด้วยซ้ำ และการเป็ผู้ชายที่หน้าตาสวยเกินไป ก็ไม่ใช่เื่ดีเสมอไป อย่างน้อยใน่เทอมแรกที่เข้าเรียนเขาก็เคยโดนหากลั่นแกล้งเพราะเื่นี้อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นสองปีหลังจากนั้น เย่ถานจึงไว้ผมหน้าม้าจนยาวปรกขนตา และลงทุนสวมแว่นตาใหญ่เทอะทะมาโรงเรียน เพื่อปิดบังใบหน้าของเขา ต่อให้จะทำให้ดูจืดชืดก็ตาม
ชีวิตที่จงใจทำตัวให้ขี้เหร่ของเย่ถานดำเนินไปได้ไม่ถึงสองปี เพราะเมื่อถึงครึ่งเทอมหลังของปีที่สอง บริษัทของพ่อเย่ถานต้องปิดตัวลง ครอบครัวของเขาไม่มีแรงส่งเสียให้เขาอยู่ในโรงเรียนชนชั้นสูงอีกต่อไป มิหน้ำซ้ำยังมีหนี้สินท้วมหัว แล้วก็เป็่เวลานี้เองที่เย่ถานได้รู้ว่าทำไมพ่อต้องยืนกรานส่งเขาไปเรียนในโรงเรียนชนชั้นสูงให้ได้ แท้จริงแล้วคือ้าให้เขาผูกมิตรกับลูกๆ ชนชั้นสูงเอาไว้ เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือธุรกิจครอบครัวได้ แต่เห็นได้ชัดว่านิสัยที่ปลีกตัวจนแทบจะรักสันโดษของเย่ถานทำให้พ่อผิดหวัง หลังจากที่พยายามยื้ออยู่นานสองปี ในที่สุดบริษัทของครอบครัวก็ไปต่อไม่ไหว เฉกเช่นบริษัทของพ่อ สุขภาพของพ่อเองก็ทรุดลง การทำงานหนักและตรากตรำอุตสาหะมาหลายปีนั้นไร้ผลตอบแทน พ่อของเขาจากโลกนี้ไปอย่างรวดเร็วด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
แม่ที่ได้รับการประคบประหงมจากสามีมาโดยตลอด เป็ดั่งดอกไม้บอบบางในเรือนกระจก เธอแทบไม่เคยทำงานมาก่อนในชีวิต และไม่เคยเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ใดๆ ทันทีที่สามีเสียชีวิต เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร นอกจากร้องไห้ จนถึงขั้นที่สติหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลังจากจมอยู่กับน้ำตาอยู่หลายวัน ไม่ถึงครึ่งเดือนเธอก็ตรอมใจตามสามีของเธอไป
เย่ถานพร้อมด้วยน้องสาวในวัยไม่ถึงแปดขวบดี รู้สึกในทันใดว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ แต่กลับไร้ซึ่งที่พักพิงแก่เขา
เฉิงเย่ถานในตอนนั้นยังเป็แค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็เด็กผู้ชาย แต่ก็ได้รับการดูแลประคบประหงมอย่างดีั้แ่เล็ก จู่ๆ พ่อแม่ที่คอยคุ้มกะลาหัวมาด่วนจากไป แม้แต่หลังคาที่กันฝนกันลมให้กับเขาก็ไม่มีอีกต่อไป ตัวเขาหนึ่งปากท้องกับน้องสาวที่ตามหลังเขาต้อยๆ อีกหนึ่งปาก เธอรู้จักกิน รู้จักหิว บวกกับภาระหนี้สินที่หนักอึ้งอยู่บนบ่า กดดันให้เย่ถานอยากร้องไห้ตลอดเวลา
เขารู้ว่าเขาไม่ได้ฉลาด อย่างน้อยก็ไม่ได้ฉลาดเป็กรดอย่างเวินรื่อโอว เขาไม่มีทางหาเงินก้อนใหญ่ได้ในคราวเดียว และไม่มีทางรักษาสมดุลระหว่างหาเงินใช้หนี้กับการเรียนได้ นอกจากนั้น หลังจากที่ครอบครัวของเขาประสบกับความพลิกผันครั้งใหญ่ ญาติๆ ก็ตีตัวออกห่างครอบครัวเขาราวกับหลีกหนีจากโรคระบาด ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีไม่อนุญาตให้เขาแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ในความคิดของเย่ถาน ตอนนั้นวิธีที่จะหาเงินให้ได้เร็วที่สุดมีอยู่วิธีเดียว นั่นคือการขายตัว! ขายเรือนร่างของตัวเอง! แต่ถึงจะบอกว่าทำเพื่อน้องสาว ทำเพื่อหนี้สินของครอบครัว และเพื่อศักดิ์ศรีอันน่าสมเพชของตน เย่ถานรู้อยู่แก่ใจว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นมันสกปรก ต่ำต้อย และไร้ศักดิ์ศรีเพียงใด
ดังนั้นเย่ถานจึงร้องไห้ออกมาจริงๆ กลางดึกคืนหนึ่ง หลังจากที่น้องสาวผล็อยหลับไปแล้ว เขาเจอกับร้านค้าแผงลอยข้างถนนร้านหนึ่งที่ยังไม่ปิด เร้นกายอยู่ในมุมมืด สั่งเบียร์ที่ถูกที่สุดในร้านมาหนึ่งโหล ดื่มไปครึ่ง ทำหกราดหน้าตัวเองไปครึ่ง เพื่อซ่อนน้ำตาอันเงียบงัน
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาก็จำไม่ถนัดนัก เพราะถึงมันจะเป็เบียร์ราคาเรี่ยดินรสชาติห่วยแตก แต่เขาก็ดื่มไปไม่น้อยจนมึนไปหมด ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงได้มีคนท่าทางเหมือนอันธพาลสองคนมาแตะสีข้างของเขา กระทั่งลูบไล้ใบหน้าของเขา ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เวินรื่อโอวถึงโผล่มาได้ ทั้งหมดที่เขารู้ก็คือว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตัวเขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเกือบครึ่งตัว ตามิัมีรอยฟกช้ำเล็กๆ น้อยๆ ส่วนเวินรื่อโอวกำลังยืนขวางหน้าเขา และกำลังต่อสู้กับคนประมาณสี่ถึงห้าคน
ทีแรกเวินรื่อโอวดูจะเสียเปรียบด้วยซ้ำ แม้ว่าเขาจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ฝ่ายตรงข้ามก็มีจำนวนคนเยอะกว่า แต่เมื่อเวินรื่อโอวหยิบขาโต๊ะหักๆ ขึ้นมาได้ การต่อสู้ก็กลายเป็การโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว เวินรื่อโอวใช้ขาโต๊ะต่างดาบทุบตีอันธพาลพวกนั้นจนจมูกหัก หน้าเขียวช้ำ ร้องไห้หาพ่อแม่แทบไม่ทัน แต่่เวลาดีๆ นั้นอยู่ไม่นาน หลังจากนั้นที่หนึ่งในนั้นหนีไปได้ ก็กลับไปเรียกพวกมาเพิ่มอีกสิบกว่าคน คราวนี้ทั้งเวินรื่อโอวและเย่ถานก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็อันธพาลตัวจริง เป็เ้าถิ่นของที่นี่ ถึงอยากจะหนีก็สายไปเสียแล้ว คนที่เป็หัวหน้าของอีกฝ่าย ถือมีดมาเชเต้ตรงเข้ามา ตั้งใจจะฟันมือขอเวินรื่อโอวซะ
ตอนนี้เย่ถานไม่เพียงแต่สร่างเมา แต่ใบหน้ายังซีดเผือด แม้แต่เวินรื่อโอวก็ยังหน้าถอดสีไปด้วย แต่ยังคงกัดริมฝีปากแน่น ยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้าเย่ถานเช่นเดิม
หลังจากการต่อสู้อย่างจริงจัง ไม่นานนักเวินรื่อโอวก็ถูกฟันเข้าที่แขนสองแผล แม้ว่าาแจะไม่ลึกมาก แต่เืกลับไหลออกมาจนน่ากลัว ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น เพียงลงมือครั้งเดียวก็จัดการล้มฝั่งตรงข้ามได้ถึงสองคน เมื่อคนคนนี้เข้ามาใกล้ เย่ถานถึงมองเห็นชัดเจน ที่แท้คนคนนี้ก็คือพนักงานเสิร์ฟของแผงลอยร้านนี้ เมื่อครู่เพิ่งจะเสิร์ฟเบียร์ให้เขาอยู่เลย! สิ่งที่เขาใช้ฟาดคนพวกนั้นคือผ้ากันเปื้อนที่เขาสวมใส่เมื่อครู่ แต่ตอนนี้กลับถูกบิดจนกลายเป็เชือกเส้นหนา
คำพูดที่คนคนนี้พึมพำกับตัวเอง บังเอิญลอยเข้าหูเฉิงเย่ถานด้วย "ถ้าแม่รู้ว่าเรามีเื่อีกละก็ ได้โดนด่าเปิงอีกแน่" ผมของคนคนนี้ยาวยิ่งกว่าผมเย่ถาน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตัดผมมานานหลายเดือนแล้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงปรกใบหน้า ปิดบังดวงตาและใบหน้าเกือบครึ่งหนึ่ง
ยากที่จะจินตนาการว่าสถานการณ์การต่อสู้จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพียงเพราะคนคนเดียว คนคนนี้ส่งสัญญาณลับกับเวินรื่อโอวสองคน เมื่อเขาแย่งอาวุธมาจากมือของฝ่ายตรงข้ามได้ เวินรื่อโอวก็จะใช้ขาโต๊ะฟาดตามทันที พวกเขาไม่ได้ทำร้ายอีกฝ่ายจนถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต แค่ทำให้หมดสภาพ ต่อสู้ไม่ได้ไปชั่วคราวก็เท่านั้น แต่ผลลัพธ์เท่านี้ก็น่าใมากพอแล้ว ภายในเวลาสั้นๆ เกือบครึ่งหนึ่งของคนจำนวนสิบกว่าชีวิตถูกพวกเขาทั้งสองคนเล่นงานจนหมดสภาพ ไม่ต้องพูดถึงพวกที่ได้รับาเ็สาหัส และพวกที่หมดสติ
ก่อนที่เ้าพวกนี้จะจากไป พวกมันทิ้งท้ายเอาไว้ว่า "รอก่อนเถอะมึง แน่จริงอย่าหนีไปไหนล่ะ" เดาว่าคงจะไปเรียกพวกมาเพิ่มอีก
"ไม่หนีก็โง่ดิ" เวินรื่อโอวดึงเย่ถานและเ้าหนุ่มที่ช่วยพวกเขาในภายหลังให้วิ่งหนี
"เดี๋ยวก่อน" ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกลับหันหลังเดินไปหาเถ้าแก่ของแผงขายของ
"แกจะทำอะไร? กู้เฟิง แกอย่าคิดว่าฉันจะจ่ายเงินเดือนเดือนนี้ให้แกเชียวนะ แล้วร้านฉันก็ไม่จ้างแกอีกแล้ว ไสหัวไปเลย" เถ้าแก่ดึงกระเป๋าคาดเอวไปซ่อนที่ด้านหนึ่ง แม้แต่คนโง่ยังดูออกว่าเงินอยู่ที่ไหน
คนที่ถูกเรียกว่ากู้เฟิงแค่เม้มปาก "ผมแค่จะเอาของของผม" จากนั้นก็โน้มตัวลงไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งจากกล่องกระดาษ แล้วเดินกลับไปหาพวกเวินรื่อโอวสองคน "ไปกันเถอะ!" พูดจบ เขาก็ออกตัวนำไปก่อน ราวกับว่าคำพูดของเถ้าแก่ไม่มีค่ามากไปกว่าลมที่โกรกข้างหู
"จะไปไหนล่ะ?" เมื่อหนีพ้นจากสายตาของผู้คนแล้ว เวินรื่อโอวจึงเอ่ยถามขึ้น
"ไปหาที่ห้ามเืให้นายก่อน!" กู้เฟิงหันมาพยักพเยิดมาทางาแบนท่อนแขนของเวินรื่อโอว
"งั้นไปบ้านฉันดีกว่า อยู่ใกล้ๆ นี่เอง" เวินรื่อโอวเสนอให้ไปที่บ้านของเขา
"ฉัน..." เย่ถานเอ่ยปาก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร สายตาสงสัยและกล่าวโทษของทั้งสองคนก็หันมาเสียก่อน ราวกับจะบอกว่า เื่ทั้งหมดนี่มันเริ่มขึ้นจากเขา แต่ดันคิดจะชิ่งหนีไปก่อนงั้นเหรอ?
เวินรื่อโอวน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะเป็คนอ่อนโยน ต่อให้เมื่อครู่เพิ่งจะผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมา สายตาของเขาแทบจะไม่ฉายแววโเี้ ยังคงสงบนิ่ง ใสแจ๋วราวกับผิวน้ำ แต่คนที่ชื่อกู้เฟิงไม่เป็เช่นนั้น ผมยาวรุงรังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จึงทำให้เขาต้องเสยผมขึ้น เผยสันจมูกโด่งคมและหน้าผากเอิบอิ่ม ในขณะเดียวกันก็เผยดวงตาที่ค่อนข้างคมกริบคู่หนึ่ง การถูกสายตาเ็านั้นกวาดมอง เหมือนกับถูกมีดทิ่มแทง! เย่ถานที่ถูกสายตานั้นจับจ้อง กลั้นใจกลืนคำที่ตั้งใจจะพูดในตอนแรกลงคอ แล้วเปลี่ยนคำพูดเป็ "ฉันแค่จะบอกว่าอุดปากแผลไว้ก่อนดีไหม เืไหลไม่หยุดแบบนี้ น่ากลัวจะตายชัก"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้