กงจื้อิเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่ได้เตรียมคัดค้านอะไร หญิงสาวคนหนึ่งที่เรียนการแพทย์นั้นไม่จำเป็ต้องเปิดเผยใบหน้าและออกไปเป็หมอที่ด้านนอก ต่อให้นางดูแลที่เรือนหลัง ทั้งยังคอยปรับสมดุลร่างกายให้เขาอยู่เป็ระยะๆ สายเืของนางจะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน และก็ยังสามารถป้องกันการโจมตีที่เปิดเผยรับมือง่าย ซึ่งตามปกติแล้วสตรีชั้นสูงในตระกูลใหญ่อย่างหลานเอ๋อร์เองก็เคยเรียนเื่สมุนไพรมาบ้าง
หลานเอ๋อร์?
เมื่อนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัวและสีหน้าของเขาก็มืดหม่นลง
ผู้าุโเหว่ยเองก็มองคนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาสังเกตสีหน้าของกงจื้อิจากหางตา เมื่อเห็นดังนั้นก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย จึงรีบพูดเพิ่มเติมอีกหลายประโยคว่า
“สารพิษในผงฉือฮว่าเฟินมีไว้เพื่อทำลายกล้ามเนื้อและหลอดเืดำ หนำซ้ำเ้ายังถูกวางยาพิษมาสองปีแล้วทำให้สารพิษได้เข้าสู่ไขกระดูกของเ้าแล้ว การจะล้างพิษไม่ใช่เื่ง่าย ต่อให้มีหญ้านิรันดร์ก็ยังคงต้องฝังเข็มและครอบแก้วควบคู่ไปด้วยอยู่ดี เื่เหล่านี้ข้าทำคนเดียวไม่ไหว เดิมทีเ้าหนุ่มซานอีพอจะช่วยได้ แต่ดูจากวันนี้เขาคงต้องพักรักษาตัวกว่าครึ่งเดือน ต่อให้ข้ารอได้เ้าก็คงรอไม่ได้ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าชายชราอย่างข้าชอบปากมาก แต่เมื่อก่อนก็เคยได้ยินว่าซีจิงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ไม่แน่ว่าบางทีหากล่าช้าไปอีกครึ่งเดือน ซีเฮ่าอาจสูญเสียแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ไปอีกหลายต่อหลายคน”
ผู้าุโพูดอย่างคล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็หยิบชาขึ้นมาดื่มช้าๆ
กงจื้อิเดาว่าชายชราอาจเข้าใจผิด แต่เขาก็ไม่ได้เตรียมจะอธิบายอะไร ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด นายน้อยฟางกลับหันข้างมากระซิบถามเบาๆ ว่า “เทียนเป่า เ้ามีเื่ลำบากใจตรงไหนกัน? ข้ามาได้สองวันก็เห็นแม่นางติงเป็คนปากแข็งแต่ใจอ่อน หากเ้าพูดกับนางอย่างชัดเจนว่าจะมีประโยชน์มากมายมหาศาล นางก็ไม่อาจไม่เห็นด้วย ยังไงเื่นี้สำหรับนางแล้วก็มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสียอะไร”
และแน่นอนว่านายน้องฟางยังมีประโยคที่ไม่ได้พูดออกไปว่าต่อให้ติงเหว่ยจะช่วยกงจื้อิมากมายสักเท่าไร แต่นางก็เป็บ่าวที่ลงนามในสัญญากับสกุลอวิ๋นแล้ว ดังนั้นหากเ้านายสั่งให้ทำอะไร นางก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งไม่ใช่หรือ?
กงจื้อิยิ้มออกมาอย่างแกนๆ หญิงสาวคนนี้ตอนที่เจอกันครั้งแรกก็กล้าตำหนิเขาที่ไม่รู้คุณค่าของอาหาร ต่อมาเมื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ถึงแม้นางจะประพฤติตนด้วยความเคารพและสุภาพ ทว่าทุกคนในจวนสกุลอวิ๋นมีใครบ้างที่กล้าปฏิบัติต่อนางในฐานะบ่าวรับใช้ ไม่ต้องพูดถึงว่าทุกคนที่เรือนนอกต่างก็สนิทสนมกับนาง มองและนับถือนางเป็ลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา แม้แต่ซานอีตอนที่ยังไม่รู้ความจริง เวลาที่เขามีปัญหาอะไรก็มักจะไปขอคำแนะนำจากนางอยู่เสมอ
หากเขา้าบังคับให้นางทำสิ่งที่นางไม่้าทำ เกรงว่านางก็คงจะปฏิเสธอย่างไม่คิดชีวิตและก็ไม่ยอมทำตามอีกด้วย
นายน้อยฟางเห็นเพื่อนของเขาส่ายหน้าก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น แต่เขาเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเป็ผู้ชมเท่านั้น
ติงเหว่ยที่ยุ่งอยู่กับการรินชาและเอาขนมให้ทุกคน ไม่ใช่เพราะว่านางขยันมาก แต่ความจริงแล้วนางเห็นว่าหลินอีและคนอื่นๆ เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล เกรงว่าพวกเขาจะหิวและกระหายแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างชัดเจน นางทำแบบนี้เพื่อให้พวกเขารองท้องไปก่อน อย่างไรก็คงสบายขึ้นมาสักหน่อย
แต่ในขณะที่นางกำลังยื่นถ้วยชาไปให้ หลายคนนอกจากพยักหน้าอย่างสุภาพแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูแปลกประหลาดนิดหน่อย
ติงเหว่ยเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ อย่างสงสัย และในที่สุดนางก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
นางถามออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “เกิดอะไรขึ้น มีเื่อะไรอย่างนั้นหรือ?”
ผู้าุโเหว่ยจ้องไปที่กงจื้อิอย่างดุเดือด เขาโกรธเล็กน้อยแต่ก็ปฏิเสธที่จะพูดออกมา ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะนับถือเขาอยู่บ้างที่แม้จะอยากแก้พิษให้ตนเองแต่ก็ไม่คิดที่จะบังคับนาง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยพูดออกมาว่า “แม่นางติง ชายชราอย่างข้าอยากรับเ้าเป็ศิษย์ เ้าเต็มใจหรือไม่?”
“ลูกศิษย์งั้นหรือ?” ติงเหว่ยใมาก ในความคิดของนางคนที่มีฝีมือเก่งกาจเวลาจะหาลูกศิษย์สักคนต้องใช้ความพยายามเป็อย่างมาก ทั้งยังต้องทดสอบจิตใจอีก ต้องอดทนต่อความยากลำบาก แล้วเหตุใดตัวนางเองจู่ๆ ถึงได้ถูกเลือกล่ะ หากรู้ว่าในชาติที่แล้วนางก็แค่เปิดร้านอาหารเช้า มีเคล็ดลับที่สืบทอดต่อกันมาสักสามถึงห้าอย่าง และพ่อของนางจะเป็ตายร้ายดีอย่างไรก็จะถ่ายทอดให้แก่ลูกชายเท่านั้น หรือว่าในยุคสมัยนี้มีคนที่มีฝีมือเก่งกาจเต็มไปหมด แต่ทักษะแย่กว่าสุนัขอีกอย่างนั้นหรือ?
ผู้าุโเหว่ยเห็นว่านางยังไม่ตอบรับ จึงเข้าใจผิดไปว่านางเคยได้ยินชื่อเสียงอันเลวร้ายของเขาก็เลยถือเป็เื่ต้องห้าม ทำให้นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเกลียดตนเองตอนหนุ่มที่ทำตัวประหลาดๆ เหตุใดจึงไม่สร้างชื่อเสียงด้านความเป็คนดีและมีน้ำใจกันนะ? ทุกวันนี้คงไม่ต้องทำหน้าไร้ยางอายเช่นนี้
“อะแฮ่ม แม่นางติง เรี่องนั้น ชายชราอย่างข้ายามนั้นยังเด็ก จึงเคยทำเื่ผิดพลาดไปบ้าง และยังเป็ที่รู้จักในเื่การวางยาพิษอีกด้วย แต่ความจริงแล้วข้าช่วยเหลือคนมากกว่า ผู้คนกว่าครึ่งในยุทธภพต่างก็พากันลือออกไป เ้าเองก็คงไม่อยากจะเชื่อล่ะสิ”
เป็เื่ยากที่ลุงอวิ๋นจะเห็นชายชราผู้เย่อหยิ่งคนนี้ยอมถ่อมตน แต่เขาเองก็ไม่ลืมที่จะซ้ำเติมเข้าไปอีก เขาค่อยๆ เดินไปอยู่ข้างๆ ติงเหว่ย และพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงกระซิบที่ดังจนทุกคนได้ยินว่า “แม่นางติง เ้าต้องคิดให้ดีๆ นะ บางคนรู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนมีชื่อเสียงที่ดีแต่ลับหลังกลับลักพาตัวเด็ก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบางคนที่ถนัดเื่การใช้พิษอีก เ้าเป็ผู้หญิงคนเดียว ทั้งยังต้องดูแลอันเกอเอ๋อร์ เ้าต้องระมัดระวังให้มากนะ”
ก่อนที่ติงเหว่ยจะได้ทันพูดอะไร ผู้าุโเหว่ยก็ลุกขึ้นมาและพูดด้วยความโมโหว่า “เ้าแก่กะโหลกกะลา ทำไมถึงไม่มีใครตัดลิ้นของเ้าไปเสีย ข้าเหว่ยเทียนหยางท่องอยู่ในยุทธภพมามากกว่าหกสิบปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยโกหก วันนี้เพื่อจะช่วยเ้านายของเ้าแก้พิษถึงได้คิดจะหาผู้ช่วย หนำซ้ำเ้ายังมาขัดขวางข้าอีก ดี งั้นเื่แก้พิษก็ช่างมัน ยังไงก็ไม่ใช่ข้าที่ต้องกลายเป็คนตายทั้งเป็อยู่แล้ว!”
ลุงอวิ๋นเมื่อครู่นี้แค่ใช้อารมณ์เป็เด็ก เขาลืมคิดเื่แก้พิษไปโดยสิ้นเชิง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาเองก็ใและหวาดกลัว แต่คำพูดที่พูดออกไปแล้วก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไป ถึงอยากเก็บกลับมาก็ยากแล้ว ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงทำได้เพียงจ้องไปยังติงเหว่ยอย่างใจจดใจจ่อและหวังว่านางจะกอบกู้สถานการณ์นี้เอาไว้ได้
ในตอนนี้ติงเหว่ยก็เข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดแล้ว นางยอมรับว่าตนเองไม่ใช่คนฉลาดเฉลียว แต่หลังจากที่ใช้เวลาร่วมกันมานางกลับชอบนิสัยของผู้าุโเหว่ย หากจะพูดขึ้นมาผู้าุโเหว่ยก็เหมือนกับนักวิชาการในยุคก่อนของนางไม่มีผิด เป็คนเรียบง่ายแต่ดื้อรั้น อาจจะทำเื่แปลกประหลาดไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร ทั้งยังสามารถเข้ากันได้อย่างง่ายดายและรู้สึกผ่อนคลาย
ปกติแล้วปากของเขาชอบพูดว่าตนเองเป็หมอเทวดา หากไม่จ่ายเงินจำนวนมหาศาลมาก็จะไม่รักษาให้ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ท่านพ่อของนางป่วยหนัก เขาเองก็ยังรีบไปที่นั่นอยู่ดี สุดท้ายยังให้ยาอันล้ำค่าแก่พ่อของนางอีกด้วย
ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่น แค่เื่นี้นางก็ควรเคารพเขาในฐานะผู้าุโ อีกอย่างเมื่อก่อนที่อันเกอเอ๋อร์ชอบร้องไห้กลางดึกและวิตกกังวล และยังมีตอนนี้ที่เตรียมอาหารเพื่อรักษาอาการให้กับกงจื้อิ นางเองก็มักจะรู้สึกว่าตนเองรู้เื่การรักษาน้อยเกินไป วันนี้โอกาสที่จะได้เรียนกับหมอชื่อดังมาวางอยู่ตรงหน้านางแล้ว หากนางไม่คว้าเอาไว้นางก็คงจะโง่เขลามาก
“ในเมื่อท่านลุงเหว่ยเห็นว่าข้ามีความสามารถ ข้าเองก็ยินดีจะเรียนรู้การรักษากับท่านลุงเหว่ย ขอเพียงท่านลุงเหว่ยไม่รังเกียจที่ข้าโง่เขลาก็พอ”
“ฮะ?” ผู้าุโเหว่ยเดิมทีโกรธเป็อย่างมาก รู้สึกว่าตนเองไม่มีที่ให้พึ่งพิง เขาคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ติงเหว่ยจะเอ่ยปากและตอบตกลงในทันที
เขากลับรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย “เอ่อ แม่นางน้อย เ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนนะ ชายชราอย่างข้าก็มีชื่อเสียงไม่ดีอยู่บ้าง บางทีในอนาคตจะมีศัตรูไปหาถึงหน้าบ้าน ถึงต่อให้ไม่มีศัตรู ข้าเองก็อายุหกสิบปีกว่าแล้ว ในอนาคต…”
“เป็อาจารย์หนึ่งวัน เปรียบดังเป็พ่อชั่วชีวิต” ติงเหว่ยก้าวไปข้างหน้าและตบที่หลังของชายชราเพราะเกรงว่าเขาจะตื่นเต้นจนเป็ลมล้มลงไป นางพูดปลอบประโลมเขาว่า “ท่านไม่รู้ว่าข้ายังมีอีกชื่อหนึ่งว่าลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา อย่างอื่นไม่กล้าพูด แต่เมื่อท่านแก่แล้ว อาหารและชาสามมื้อทุกวันของท่านเป็เื่ง่ายมากสำหรับข้า”
“ข้า...ข้า...” ในที่สุดความปรารถนาของเขาก็เป็จริง ผู้าุโเหว่ยไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ ในทางกลับกันลุงอวิ๋นที่เห็นก็รู้สึกเศร้าและอิจฉา เขารู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบให้ศัตรูเก่า เขาจึงพูดเสียงดังออกมาว่า “เ้าจะทำอะไร มีลูกศิษย์ดีขนาดนี้เ้าเองก็แค่เพลิดเพลินไปก็พอ แม่นางติงของพวกเราไม่ใช่สตรีทั่วไป เ้าจะพูดออกมาง่ายๆ ว่ารับนางเป็ศิษย์ไม่ได้! พรุ่งนี้พวกเราจะจัดโต๊ะเลี้ยงสุรา เชิญครอบครัวสกุลติงมาเป็พยานด้วย”
“ตกลง ตกลง ตกลง!” ผู้าุโเหว่ยหัวเราะอย่างมีความสุข เขาโบกมืออย่างไม่เกรงกลัว “ไม่ต้องพูดถึงโต๊ะไม่กี่โต๊ะ ข้าหมอปีศาจหัตถ์เทวดาจะรับลูกศิษย์ทั้งที ต่อให้หลายร้อยโต๊ะก็ยังไม่ถือว่าเยอะไป”
ติงเหว่ยรีบหยุดผู้าุโที่กำลังเริงร่าเอาไว้ “ท่านลุงเหว่ย ตอนนี้เกรงว่าจะไม่สะดวก ข้าว่าสนุกกันแค่พวกเราก่อน รอจนข้าปีกกล้าขาแข็ง และท่านผู้าุโคิดว่าไม่เสียหน้าต่อสหายในแวดวงการแพทย์ของท่านแล้วค่อยจัดงานเลี้ยงใหญ่โตก็ยังไม่สาย”
“ตกลง ทุกอย่างเอาตามที่เ้าว่าทั้งหมด” ตอนนี้ท่านผู้าุโเหว่ยกำลังมีความสุขกับการรับลูกศิษย์ ไหนเลยจะไม่ตกลง
กงจื้อิที่นิ่งเงียบมาจนถึงตอนนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางติงเหว่ยแล้วพูดเบาๆ ว่า “พยุงข้ากลับไปที่ห้อง”
ติงเหว่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปกตินางเองก็ปรนนิบัติใกล้ชิดอยู่แล้ว ทุกคนก็เลยไม่ได้รู้สึกผิดแปลกแต่อย่างใดและพวกเขาจึงแยกย้ายกัน ใครจะไปพักผ่อนก็ไปพักผ่อน ใครที่มีเื่ให้จัดการก็ไปจัดการต่อ ทว่านายน้อยฟางกับผู้าุโเหว่ยรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ไม่นานหลินลิ่วก็เข้ามานำทางท่านผู้าุโไปห้องเก็บสมุนไพร ส่วนลุงอวิ๋นเองก็ลากนายน้อยฟางไปถามถึงสหายเก่าแก่ของเขาในอู่โฮ่วฟูว่า่นี้เป็อย่างไรบ้าง…
ในอีกฝากหนึ่ง ติงเหว่ยกำลังพยุงกงจื้อิเข้าไปในห้อง ในขณะที่นางกำลังยุ่งอยู่กับการใช้ผ้าเช็ดมือและใบหน้าของเขา กงจื้อิกลับยื่นแขนออกมาและใช้แรงเพื่อดึงนางให้นั่งลงข้างๆ
ติงเหว่ยหน้าแดงเล็กน้อย นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นายน้อย ท่านมีเื่อยากจะพูดอย่างนั้นหรือ?”
กงจื้อิพยักหน้าและชำเลืองมองชุดตุ้ยจินเชิ่นจื่อสีดอกบัว กระโปรงจีบสีขาวนวลราวกับพระจันทร์ มวยผมที่ถูกมัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย ปิ่นปักผมสีแดงที่ห้อยอยู่ด้านหลังศีรษะ และยังมีใบหน้าที่ขาวนวลสวยงามของนางที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอๆ จมูกโด่งเป็สันและปากสีแดงอวบอิ่ม…
ลำคอของเขาขยับเล็กน้อย และพูดว่า “หากว่าเ้ากังวลเื่แก้พิษอยู่ อันที่จริงเ้าไม่จำเป็ต้องฝืนตนเอง ลุงเหว่ยกับปู่ของข้ามีความสัมพันธ์เก่าๆ ยังไงเขาก็ไม่ยอมเห็นข้าตายด้วยพิษหรอก เขาก็แค่จะเรียกร้องเพิ่มสักหน่อยก็เท่านั้น”
รอยยิ้มในดวงตาของติงเหว่ยยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก นางโบกมือแล้วพูดว่า “นายน้อยท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้ายินดีที่จะเป็ลูกศิษย์ด้วยความเต็มใจ ดังคำกล่าวที่ว่าการมีทักษะมากเกินไปไม่ใช่ภาระ ข้ายังต้องเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมอีกมาก บางทีในเวลาที่ยากลำบากข้าอาจจะต้องพึ่งพามันเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวก็เป็ได้ ต่อให้อันเกอเอ๋อร์จะปวดหัวหรือมีไข้ข้าเองก็ไม่ต้องกังวลจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีก ยิ่งไปกว่านั้น เอ่อ…ต่อให้ท่านจะแก้พิษแล้วแต่พลังชีวิตของท่านก็อ่อนแอลงไปมาก ยังไงก็ยังต้องบำรุงสุขภาพด้วยอาหารสมุนไพรอยู่ดี…”
ยิ่งติงเหว่ยพูดมากเท่าไรใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงขึ้นมากเท่านั้น และหัวใจของนางก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากปาก นี่ถือเป็คำสารภาพรักหรือไม่ นางแสดงเจตนาออกไปชัดเจนเกินไปหรือเปล่า?
เมื่อกงจื้อิเห็นติงเหว่ยเขินอายจนแทบจะซุกศีรษะเข้าไปในอกของนางอยู่แล้ว ดวงตาสีเข้มของเขาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรัก เขายื่นมือออกไปจับมือเรียวเล็กที่คิดถึงตั้งหลายครั้ง มันช่างนุ่มนวลและอบอุ่นจริงๆ อย่างที่เขาคิดเอาไว้เลย
“ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ข้ายังอยู่ข้าจะไม่ยอมให้เ้าต้องมีวันที่ยากลำบากแม้แต่วันเดียว”
ติงเหว่ยยิ่งหน้าแดงมากขึ้นไปอีก และในขณะที่นางยังอยากจะพูดอะไรต่อ เสียงร้องไห้ของอันเกอเอ๋อร์ก็ดังขึ้นมาจากห้องด้านข้าง ทันใดนั้นติงเหว่ยก็ะโขึ้นมาราวกับว่านางถูกไฟฟ้าช็อต และพูดลวกๆ ว่า “อันเกอเอ๋อร์ร้องไห้อยู่ ข้าจะกลับไปดูสักหน่อย”
เมื่อพูดจบ นางก็หนีเตลิดออกไปทันที ปล่อยให้กงจื้อิจ้องมองฝ่ามือที่ว่างเปล่าและขมวดคิ้วเล็กน้อย
เฉิงเหนียงจื่อกำลังอุ้มอันเกอเอ๋อร์เอาไว้และให้นมไปด้วย เมื่อนางเห็นนายหญิงวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบจึงรีบพูดออกมาว่า “แม่นางอย่าได้กังวลไปเลย อันเกอเอ๋อร์แค่หิวก็เท่านั้น ให้นมไปก็ดีขึ้นเยอะแล้ว”