ในที่สุดรถม้าก็มาจอดลงหน้าบ้านพักของชาร์ลส์ โจเซฟอาสาไปส่งถึงหน้าประตู เมื่อชาร์ลส์กำลังจะเปิดประตูรถม้าลงไป คุณนายวิลสัน เพื่อนบ้านของเขาก็เดินออกมาจากบ้านพอดี เธอสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนตัดขอบด้วยผ้าลูกไม้สีขาว คลุมทับด้วยผ้ากันเปื้อนปักลายดอกไม้หลากสี ผมหงอกขาวถูกรวบเป็มวยไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ใบหน้าฉายยิ้มอ่อนโยนเป็มิตรเมื่อเห็นชาร์ลส์กับโจเซฟ
"โอ้! คุณโจเซฟ" คุณนายวิลสันทักทายร่าเริง เธอเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งสอง "มาส่งคุณชาร์ลส์หรือจ๊ะ?"
โจเซฟทักทายอย่างสุภาพ "สวัสดีครับ คุณนายวิลสัน คุณสบายดีนะครับ ก่อนหน้านี้ผมกับเขาคุยธุระด้วยกันนิดหน่อย ก็เลยถือโอกาสมาส่งเขาด้วย"
คุณนายวิลสันพยักหน้าเข้าใจ เธอหันไปยิ้มให้ชาร์ลส์อย่างเอ็นดู
"คุณชาร์ลส์นี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนดีๆ อย่างคุณโจเซฟนะ ไม่ใช่เ้าของบ้านทุกคนหรอกที่จะใจดีและเอาใจใส่ผู้เช่าได้ขนาดนี้ ฉันเองก็ประทับใจในน้ำใจของคุณโจเซฟไม่น้อยเลย"
ชาร์ลส์ยิ้มรับกับคำชม เขาพยักหน้าเห็นด้วย "ครับ ผมเองก็รู้สึกเช่นกันว่าโชคดีที่มีเพื่อนเช่นเขา เป็คนที่ไว้วางใจได้เสมอ"
แสงสลัวจากโคมไฟถนนทอประกายวูบไหวบนใบหน้าของทั้งสาม ขณะที่คุณนายวิลสันยิ้มกว้างขึ้น มือล้วงลงในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน หยิบซองจดหมายสีครีมออกมายื่นให้โจเซฟ
"คุณโจเซฟ นี่ค่าเช่าของเดือนนี้ค่ะ จะได้ไม่ต้องให้ใครเดินทางมาเก็บ เหนื่อยเปล่าๆ" เธอบอกอย่างเป็กันเอง
"คุณไม่ต้องลำบากหรอกครับ" โจเซฟยกมือปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็รับซองมา "ผมเองก็ไม่ลำบากอะไร แต่ก็ขอบคุณมากนะครับ ที่กรุณานำมาให้ถึงที่เช่นนี้"
"เื่เล็กน้อยเท่านั้นเอง" คุณนายวิลสันโบกมือปัด ก่อนจะหันกลับมาหาชาร์ลส์ "ว่าแต่ ฉันจะไม่รบกวนสองหนุ่มคุยกันดีกว่านะ ดูเหมือนจะมีเื่สำคัญคุยกันอยู่ งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่"
เธอยิ้มให้ทั้งคู่อีกครั้ง ก่อนโบกมือลาและเดินจากไป โจเซฟกับชาร์ลส์มองตามหลังคุณนายวิลสันไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางคิดชื่นชมในความใจดีของเธอ
"คุณนายวิลสันช่างมีน้ำใจจริงๆ นายนี่ได้เพื่อนบ้านดีจังเลยนะ" โจเซฟพูดขึ้นเมื่อหันกลับมา
"ฉันเองก็รู้สึกเช่นนั้น" ชาร์ลส์เห็นด้วย ทว่าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
โจเซฟสังเกตเห็นความกังวลของเพื่อน "มีอะไรหรือเปล่า?"
"แค่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี… ความฝันและเบาะแสเื่ที่ฉันอาจมาจากซาร์เนียเป็สิ่งเดียวที่มีในตอนนี้ แต่อย่างแรกก็ยังคลุมเครือ ส่วนอย่างที่สองก็้าเงินอีกมากถึงจะทำได้" ชาร์ลส์ระบายความในใจออกมาด้วยเสียงหนักอึ้ง
"เื่เงินไปซาร์เนียน่ะ ฉันให้ยืมไปก่อนก็ได้นะ" โจเซฟเสนอ
แต่นักสืบหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ "นายช่วยฉันมามากพอแล้ว ทั้งให้เช่าบ้านในราคาถูก ทั้งคอยดูแลตอนที่เพิ่งเสียความทรงจำใหม่ๆ ..."
"แต่ว่า..."
"ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันขอปฏิเสธจริงๆ" ชาร์ลส์เอ่ยเสียงหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเห็นความตั้งใจมั่นของเพื่อน โจเซฟจึงไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่วางมือบนไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เป็การปลอบโยน
"ถ้าเช่นนั้นฉันก็ได้แต่พูดให้กำลังใจ บางทีอาจจะมีเบาะแสอื่นที่พวกเรามองข้ามไปก็ได้ อย่าเพิ่งท้อนะ"
นักสืบหนุ่มรู้สึกอุ่นใจกับคำพูดของโจเซฟเป็อย่างมาก เขายิ้มตอบกลับอย่างซาบซึ้ง "ขอบคุณมากนะ"
ทั้งคู่ทักทายลากันอย่างอบอุ่น ก่อนโจเซฟจะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วโบกมือลาครั้งสุดท้ายผ่านหน้าต่าง รถม้าเคลื่อนห่างออกไปในความมืด ชาร์ลส์มองตามจนลับสายตา
นักสืบหนุ่มยืนมองรถของเพื่อนแล่นห่างออกไป แสงตะเกียงนำทางค่อยๆ ลับลี้หายไปในความมืด เขาถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าบ้านพัก ในหัวยังเต็มไปด้วยความสับสนกับเื่ราวทั้งหมด แต่ร่างกายที่อ่อนล้าก็ทำให้คิดอะไรไม่ออก หวังว่าคืนนี้จะได้นอนหลับสบาย ขณะที่ชาร์ลส์ทิ้งร่างลงบนเตียงนอน ปล่อยให้ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะค่อยๆ ลอยหายไป
ณ อีกฟากของเมืองหลวง โจเซฟก็กำลังดำดิ่งสู่ห้วงคิดลึก ในรถม้าระหว่างเดินทางกลับคฤหาสน์ เขาหลับตาลงครุ่นคิด ใคร่ครวญถึงเื่ราวมากมายที่ชาร์ลส์ได้เล่ามา และแล้วโจเซฟก็สะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด
"พาผมแวะที่ทำงานก่อนได้ไหม มีเื่สำคัญต้องไปจัดการก่อน" เขาบอกคนขับรถม้าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"ได้เลยครับ คุณโจเซฟ" คนขับรถตอบรับทันควัน บังคับพาหนะเลี้ยวไปทางอื่น มุ่งหน้าสู่จุดหมาย
รถม้าจอดเทียบหน้าอาคารหินอ่อนสูงสองชั้น ป้ายประดับด้วยตัวอักษรสลักชื่อหน่วยงานเอาไว้อย่างโดดเด่น ตรงกลางมีสัญลักษณ์รูปดาบไขว้กับโล่พื้นหลังสีดำ สื่อถึงภารกิจในการปกป้องอาณาจักรจากเงามืด
โจเซฟก้าวลงจากรถ เงยหน้ามองตึกตระหง่านเบื้องหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านใน บานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มเปิดออกด้วยเสียงแหลม เผยให้เห็นโถงทางเดินที่ถูกห่อหุ้มด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่ดังก้องกับพื้น แสงจากตะเกียงน้ำมันริมผนังส่องเลือนรางให้มองเห็นเค้าโครงทางเดิน
ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปตามเส้นทางคุ้นเคย ผ่านห้องทำงานที่มืดสนิท ผู้คนคงกลับไปพักผ่อนยามวิกาลกันหมดแล้ว เหลือเพียงเขาที่ยังจำต้องทำงานต่อในยามดึกเช่นนี้
เมื่อเดินมาถึงห้องชั้นสอง โจเซฟหยุดยืนอยู่หน้าประตู มือหนึ่งชูตะเกียง อีกมือเคาะประตูเบา ๆ สามครั้ง
"ใครน่ะ?" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากในห้องน้ำเสียงเข้มงวดแต่ไม่ได้ห้วนหรือไม่เป็มิตร
"ผมเองครับ โจเซฟ" เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงฟังชัด เคารพ แต่เป็กันเอง
"เข้ามาได้" น้ำเสียงดังกล่าวอนุญาต
โจเซฟผลักประตูเข้าไปในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงตะเกียง โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง มีกองเอกสารระเกะระกะวางเรียงราย ชั้นหนังสือสูงเสียดเพดานเรียงรายอยู่ตามผนัง ตรงกลางห้องมีโซฟานั่งเล่นหนังสีแดงเข้ม หมอนอิงสีเข้มเช่นเดียวกันจัดวางอยู่อย่างมีระเบียบ
ที่โต๊ะทำงานมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ เขามีผมสีน้ำตาลอมเทา บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของวัยกลางคน แต่ดวงตาสีฟ้าเข้มยังเป็ประกายแห่งสติปัญญาและความเด็ดเดี่ยว ร่างสูงใหญ่แข็งแรงแม้จะไม่หนุ่มแน่นแล้ว แต่ก็ยังมีภูมิฐาน ไว้หนวดเคราตัดแต่งอย่างเป็ระเบียบ บนใบหน้ามีแผลเป็จางๆ คงเป็มรดกจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา
"หัวหน้าครับ ผมมีเื่สำคัญจะมารายงานด่วน" โจเซฟกล่าวขึ้น น้ำเสียงจริงจัง
ชายวัยกลางคนพยักหน้า ชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้าม เชื้อเชิญให้นั่ง ระหว่างที่โจเซฟทำตาม เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็กันเอง
"ตอนนี้มีแค่เรา ไม่ต้องเรียกหัวหน้าหัวก็ได้" เขาขยับตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ว่ามาเถอะ มีเื่อะไรล่ะ?"
"ผมได้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเื่ที่คุณอาให้ผมตามสืบมาครับ" โจเซฟกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แม้จะเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม แต่น้ำเสียงยังคงเคารพนบนอบ
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือ เอ็ดเวิร์ด คาเว็นดิช หัวหน้าหน่วยที่โจเซฟกำลังทำงานอยู่
เอ็ดเวิร์ดขมวดคิ้วนิดหน่อยด้วยความสนใจ เขาประสานมือเข้าด้วยกัน ค่อยๆ เอนตัวเข้าหาโจเซฟ ดวงตาแน่นิ่งอย่างสนใจ
"ข้อมูลที่ว่า เล่ามาโดยละเอียดที"
โจเซฟพยักหน้า รวบรวมสมาธิครู่หนึ่ง จึงเริ่มเล่าถึงสิ่งที่ได้ฟังมาจากชาร์ลส์ ไม่ว่าจะเป็ความผิดปกติของคดีล่าสุด เกี่ยวกับการแก้แค้นของหญิงรับใช้คนหนึ่ง แต่ละข้อมูลยิ่งลงลึกก็ยิ่งพบว่ามีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด
โจเซฟเล่าข้อมูลที่รู้มาอย่างละเอียด แต่เขาตัดสินใจไม่ยอมบอกเกี่ยวกับเื่ชาวบ้านที่ป่วยประหลาดจากสารพิษเชื้อราและฝันหรือเหตุการณ์ประหลาดในท้องทะเลแม้แต่คำเดียว เพราะเขาคิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดให้สืบหา
ตลอดเวลาที่ฟังโจเซฟเล่า ใบหน้าของเอ็ดเวิร์ดเรียบเฉย ราวกับจงใจปิดบังอารมณ์เอาไว้ เมื่อจบบทสนทนา ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงาน จนกระทั่งเสียงทุ้มนุ่มของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้นอีกครั้ง
"มันเป็เื่ที่บังเอิญมาก..."
"ผมก็คิดเหมือนกันครับ ยิ่งเมื่อโยงเข้ากับความจริงที่ว่าชาร์ลส์เป็สาเหตุที่ทำให้ทหารพิทักษ์เมืองหลายนายไปปรากฏตัวอยู่แถวนั้นด้วย" โจเซฟเห็นด้วย สีหน้าแฝงความคิดหนัก
เอ็ดเวิร์ดพยักหน้าเชื่องช้า จมกับความคิดของตนเอง ั์ตาเหม่อลอยไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาสบตาโจเซฟอีกครั้ง
"เหตุบังเอิญชวนสงสัยขนาดนี้ เราต้องคิดกันให้ละเอียด"
"ข้อมูลจากเธอน่าสนใจมาก เราต้องเตรียมประชุมกันพรุ่งนี้เช้า"
"ได้ครับคุณอา ผมจะไปเตรียมการสำหรับการประชุมทันที รวบรวมข้อมูลที่เหลืออีกครั้ง และเรียกทุกคนให้มาพร้อมกัน" โจเซฟขานรับอย่างกระตือรือร้น
ทั้งสองใช้เวลาอีกพักใหญ่ วางแผนรายละเอียดของการสืบสวนและร่วมกันคาดเดาเหตุการณ์เื้ัอย่างถี่ถ้วน แม้จะยังปะติดปะต่อข้อมูลได้ไม่ครบถ้วน แต่ก็มั่นใจว่า พวกเขากำลังสืบเื่บางอย่างที่ไม่ธรรมดาเป็แน่
ในที่สุด เอ็ดเวิร์ดก็สลัดความคิดออกจากหัว ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ดึกแล้ว เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงมาขบคิดต่อ" เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืดขาที่ชาเล็กน้อยจากการนั่งนาน "เจอกันใหม่ที่การประชุม อย่ามาสายล่ะ"
โจเซฟยิ้มรับ ขณะขยับตัวออกจากเก้าอี้ เขาสังเกตว่าแม้ใบหน้าเอ็ดเวิร์ดจะยังคงเคร่งขรึม แต่มุมปากก็เผยรอยยิ้มจางๆ เป็เชิงให้กำลังใจ ภาพนี้ทำให้โจเซฟอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
โจเซฟค้อมศีรษะให้อาเล็กน้อยเป็เชิงอำลา ก่อนจะหันหลังกลับ เดินออกไปนอกห้องทำงาน เสียงฝีเท้าดังก้องในโถงทางเดินเงียบสงัดเช่นเดียวกับตอนมา เมื่อถึงด้านนอก เขาสูดอากาศยามค่ำคืนเข้าปอดเต็มที่ ความเย็นของสายลมช่วยคลายความตึงเครียดลงได้มาก
รถม้ายังคงจอดรออยู่ โจเซฟจึงรีบขึ้นไปประจำที่ สั่งให้ออกเดินทางไปยังคฤหาสน์ของตระกูลเขาในเขตราชอำนาจชั้นใน ขณะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ภาพเมืองหลวงยามราตรีช่างเงียบเหงา มีแสงไฟส่องสว่างน้อยมากเมื่อเทียบกับตอนกลางวัน ประชาชนพากันหลบเข้าบ้านไปจนเกือบหมด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้