ลั่วเสี่ยวซีนั่งบนโซฟา สิบกว่าปีที่ผ่านมาตอนนี้เป็เวลาที่เธอชัดเจนในความคิดของตัวเองมากที่สุด
จู่ๆ ซูอี้เฉิงก็มาบอกว่าเธอกับเขาอาจจะคบกันได้ ถึงจะเป็เื่คาดไม่ถึง แต่วินาทีนั้นความคิดของเธอแจ่มชัดกว่าทุกที
เมื่อแสงแห่งความหวังปรากฏตรงหน้า เธอเคยนึกว่าตัวเองจะดีใจจนวิ่งเข้าไปกอดเขา น้ำตาไหลเป็สายด้วยความซาบซึ้ง แต่สุดท้ายเธอกลับแค่ยืนนิ่งคิดอย่างมีสติ
เธอมั่นใจว่าตัวเองไม่อยากให้ทุกอย่างเริ่มต้นแบบนี้ ถ้าเธอคิดจะเริ่มเมื่อไร มันจะต้องไม่มีคำว่าสิ้นสุด
การที่เธอปฏิเสธซูอี้เฉิงไปนั้น ถึงจะดูน่าเหลือเชื่อ เพราะที่ผ่านมามีแต่เขาที่เป็ฝ่ายเอ่ยคำปฏิเสธ แต่เธอไม่มีทางเสียใจภายหลัง เธอรู้ดีว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว
นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนชั้นวางทีวีบอกเวลาสี่ทุ่มยี่สิบเจ็ดนาที ลั่วเสี่ยวซีถอนหายใจยาวก่อนจะไปอาบน้ำและเข้านอน คืนนี้เป็คืนที่เธอนอนหลับฝันหวานกว่าทุกครั้ง
ซูอี้เฉิงบอกว่าอาจจะคบกันได้ พรุ่งนี้เธอจะได้ถ่ายแบบกับนิตยสารที่ชอบที่สุด ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความหวังและโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามา
แต่ลั่วเสี่ยวซีไม่เคยรู้เลยว่า ในความเป็จริงชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความหวังที่ว่า อีกสองวันข้างหน้าจะพลิกจากหน้ามือเป็หลังมือ
เจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ลั่วเสี่ยวซีตื่นนอนตรงเวลา เธอวิ่งบนเครื่องวิ่งอย่างบ้าคลั่งนานสี่สิบห้านาที จากนั้นจึงหาอะไรกินรองท้องก่อนมือถือจะดังขึ้นมา เป็สายของผู้จัดการของเธอแคนดี้
เธอรีบคว้ากระเป๋าเตรียมออกจากห้อง “พี่แคนดี้ หนูกำลังลงไป รอแป๊บหนึ่งนะ”
ลั่วเสี่ยวซีรีบลงจากตึก ขณะนี้รถของบริษัทกำลังจอดรออยู่ที่ด้านหน้า ซึ่งแคนดี้เปิดประตูรถรออยู่แล้ว
เธอรีบวิ่งขึ้นรถไปก่อนจะพ่นลมหายใจยาว แคนดี้ที่อยู่ในชุดทางการดูทะมัดทะแมงปรายตามองเธอก่อนพูดว่า
“กังวลงั้นเหรอ”
“อื้อ” ลั่วเสี่ยวซีจับผมยาวของตนเล็กน้อย “นิดหน่อยค่ะ”
“เป็เื่ปกติ” แคนดี้พูดขณะอ่านข่าวบันเทิงที่มีเื่ใหม่ๆ ออกมาได้ไม่เว้นแต่ละวัน “แต่เชื่อฉันสิ ถ่ายแบบครั้งนี้เสร็จเมื่อไร คราวหน้าเธอก็ไม่กังวลแล้วละ มีแต่จะตื่นเต้น”
ลั่วเสี่ยวซีแค่คิดถึงครั้งหน้า ครั้งหน้าหน้า เธอก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วจริงๆ
หลังเดินทางมาถึงสตูดิโอ ได้เห็นช่างภาพกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ดูเป็มืออาชีพ รวมถึงทีมสตาฟที่กำลังวุ่นอยู่กับงาน ลั่วเสี่ยวซีก็ไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป
ั้แ่เล็กจนโตเธอเป็พวกทำอะไรตามใจไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไร แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ เธอมักจะสงบเยือกเย็นกว่าคนอื่น
ลั่วเสี่ยวซีเข้าไปแต่งหน้าทำผม สวมชุดที่จัดไว้ให้ ก่อนจะออกมายืนหน้ากล้องโพสต์ท่าต่างๆ
บางครั้งช่างภาพก็เอ่ยปากขอให้เธอโพสต์ท่าตามที่เขาบอก เธอสามารถทำออกมาได้ดีและเป็ธรรมชาติ ช่างภาพรัวกดชัตเตอร์ไม่หยุดอย่างพอใจ ทุกท่าโพสต์ของเธอถูกบันทึกไว้ในแฟลมเรียบร้อย
เธอได้พักสิบนาทีเพื่อเปลี่ยนชุดและเติมหน้า ช่างภาพยิ้มก่อนจะถามเธอว่า
“ถ่ายแบบครั้งแรกจริงๆ เหรอครับเนี่ย”
“จริงค่ะ”
ลั่วเสี่ยวซียักไหล่เล็กน้อย และเดินตามสไตล์ลิสต์เข้าไปเปลี่ยนชุด
ช่างภาพมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความกระตือรือร้น เขาปรับกล้องไปพลางเอ่ยกับแคนดี้ว่า
“ดีเลยคนนี้ อนาคตไปได้ไกลแน่ๆ”
“ไม่งั้นไดเรคเตอร์จะให้ฉันมาดูแลเธอด้วยตัวเองงั้นเหรอ” แคนดี้เอ่ยอย่างเห็นด้วย “ถ่ายภาพเธอให้ดีๆ แต่งภาพให้สวยๆ ล่ะ ฉัน้าให้เธอดังภายในสามเดือน”
ไม่นานลั่วเสี่ยวซีก็เปลี่ยนชุดเสร็จ เธอสวมรองเท้าส้นเข็มสูงกว่าสิบเิเ เดินตรงมาอย่างมั่นคงราวกับสวมรองเท้าแตะก็ไม่ปาน
“พี่คะ หนูขอดูภาพที่ถ่ายไปเมื่อกี้ได้หรือเปล่า”
ใบหน้างดงามได้รูป รอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองเกือบลืมหายใจของเธอนั้น ทำให้ช่างภาพหนุ่มไม่อาจปฏิเสธ
“ได้สิครับ!”
“ขอบคุณค่ะ!”
ภาพได้ถูกถ่ายโอนมายังคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว ลั่วเสี่ยวซีกับแคนดี้จึงเดินเข้าไปดู ผลลัพธ์ออกมาไม่เลวเลย ลั่วเสี่ยวซีสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ทางนิตยสาร้าจะสื่อได้เป็อย่างดี
“แทบจะไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่มเลยล่ะ” ช่างภาพกล่าว
ทว่ามีบางรูปที่ลั่วเสี่ยวซียังไม่พอใจ เธอจึงปรึกษากับแคนดี้ว่าจะแก้ไขอย่างไรดี สุดท้ายช่างภาพก็ได้รับฟังความคิดเห็นของเธอไว้
“ดูไม่ออกเลยนะ” แคนดี้แกล้งแซว “เป็มืออาชีพเหมือนกันนะเราน่ะ”
“แม่อุ้มหนูให้อ่านนิตยสารแฟชั่นมาั้แ่ยังไม่รู้ตัวอักษร” ลั่วเสี่ยวซีเอ่ย “คงไม่ได้ถึงขนาดเป็มืออาชีพ ก็แค่พอรู้เื่อยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ น่ะค่ะ”
“โอเคๆ รีบไปถ่ายต่อเถอะจ้ะ” แคนดี้ตบไหล่เธอเบาๆ “เสี่ยวซี ไม่นานเธอคงดังมากแน่ๆ”
แคนดี้เป็ผู้จัดการมือทองหนึ่งในห้าของ Lu Media นอกจากจะมีเส้นสายที่กว้างขวาง ความสามารถที่ยอดเยี่ยม เธอยังมี ‘วาจาสิทธิ์’ อีกด้วย ดาราคนไหนที่เธอว่าจะดัง ท้ายที่สุดก็ดังเป็พลุแตกกันทุกคน
ครั้งนี้เธอบอกว่าลั่วเสี่ยวซีจะต้องดัง เธอมั่นใจอย่างที่ว่าจริงๆ ถึงลั่วเสี่ยวซีจะเข้าวงการช้าไปหน่อย แต่ในแง่ของความสามารถเธอเหนือกว่าคนอื่นมาก
การถ่ายแบบดำเนินไปจนถึง่บ่ายจึงเสร็จสิ้น หลังลบเครื่องสำอางเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ลั่วเสี่ยวซีก็รู้สึกเพลียสุดๆ แคนดี้จึงมาส่งเธอที่อพาร์ตเมนต์ เธอพักผ่อนอยู่ที่ห้อง พอฟ้าเริ่มมืดฉินเว่ยก็โทรเข้ามา
“ถ่ายแบบเสร็จหรือยัง” ฉินเว่ยถาม
“เสร็จแล้ว อยู่บ้านเนี่ย” ลั่วเสี่ยวซีพลิกตัวอยู่บนเตียงก่อนถาม “ทำไม จะฉลองให้ฉันงั้นเหรอ”
“ฉลาดจริงๆ” ฉินเว่ยยิ้ม “ฉันอยู่ที่ผับที่เราเจอกันครั้งแรก เหมาทั้งร้านแถมยังติดต่อเพื่อนเธอไว้หมดแล้วด้วย เธอจะถึงเมื่อไร”
ลั่วเสี่ยวซีแค่ล้อเล่น นึกไม่ถึงว่าฉินเว่ยจะจัดการทุกอย่างจนเธอไม่กล้าปฏิเสธแบบนี้
“ฉินเว่ย ฉัน...” เธอเพิ่งรับปากซูอี้เฉิงไปว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับพวกฉินเว่ยมากเกินไป
“ทำไม?” ฉินเว่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่สะดวกงั้นเหรอ”
จริงอย่างที่เขาว่า แต่ลั่วเสี่ยวซีไม่รู้จะปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนอย่างไร อีกอย่างเพื่อฉลองให้กับเธอ เพื่อนหลายคนก็ไปถึงกันแล้วด้วย
เธอลุกขึ้นมาเลือกเสื้อผ้า “ไปๆ เดี๋ยวเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วจะตามไป”
“โอเค จะให้ไปรับไหม”
“ไม่เป็ไร” ลั่วเสี่ยวซีหยิบเดรสตัวยาวออกมาทาบดู “ฉันขับรถไปเองได้”
หลังเปลี่ยนชุดเสร็จเธอจึงหยิบกุญแจรถและออกจากบ้าน ก่อนจะลังเลเล็กน้อยว่าจะโทรหาซูอี้เฉิงดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจ
ความสัมพันธ์ของพวกเธอตอนนี้มันแปลกๆ คงไม่จำเป็ต้องโทรไปรายงานว่าเธอจะไปไหนหรอกมั้ง
เมื่อถึงที่ผับ ลั่วเสี่ยวซีก็เห็นป้ายหน้าร้านเขียนไว้ว่า “ฉลองให้กับลั่วเสี่ยวซีในการเข้าสู่วงการบันเทิง” แถมทางร้านยังเขียนป้ายเอาไว้ด้วยว่าวันนี้ปิดร้าน ขออภัยในความไม่สะดวก
สมแล้วที่ฉินเว่ยเป็เ้าพ่อแห่งผับบาร์ เลยสามารถทำเื่โอเวอร์ขนาดนี้ได้
ลั่วเสี่ยวซีเดินเข้าไปด้านใน เสียงโห่เฮดังขึ้นจากหนุ่มๆ สาวๆ ที่ทั้งคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่ก็มีบางคนที่เธอไม่รู้จัก พวกเขาดึงพลุสายรุ้งเป็การต้อนรับ เศษกระดาษหลากสีหล่นลงมาบนหัวเธอเต็มไปหมด
“เสี่ยวซี ยินดีด้วยที่ได้เข้าวงการ!”
“เสี่ยวซี ฉันอยากเห็นรูปที่เธอไปถ่ายแบบกับ Zuishishang เร็วๆ จัง!”
คำพูดสรรเสริญเยินยอที่ทั้งจริงใจและไม่ใช่ดังขึ้นมาเป็ชุด ลั่วเสี่ยวซีเจอเื่พวกนี้มาเยอะ จึงร้องเฮปรบไม้ปรบมือไปกับพวกเขา ก่อนจะขอบคุณที่วันนี้อุตส่าห์มาฉลองให้เธอ
หลังรอให้ลั่วเสี่ยวซีทักทายกับทุกคนเสร็จ ฉินเว่ยก็เดินเข้ามาหา
“ถ่ายแบบวันนี้เป็ไงบ้าง”
“ก็โอเค” เสียงดนตรีดังมากจนลั่วเสี่ยวซีต้องะโเสียงดังขึ้น “ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้โดนพี่ผู้จัดการกับพี่ช่างภาพด่า”
“ยินดีด้วย!” ฉินเว่ยชนแก้วกับเธอ “เฮ้อ ถ้าเป็ดาราดังแล้ว ห้ามลืมพวกเราเป็อันขาดนะ”
“วางใจเถอะน่า” ลั่วเสี่ยวซีจิบค็อกเทลเล็กน้อย “นายจัดงานเลี้ยงฉลองให้ฉันขนาดนี้ ฉันไม่ลืมแน่”
เธอยิ้มตอบเขา โดยลืมกระเป๋าที่ฝากเอาไว้ไปเสียสนิท เธอไม่รู้เลยว่ามือถือของตนดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน ที่หน้าจอปรากฏชื่อของซูอี้เฉิง
ตอนนี้คนที่อยู่ที่บริษัทอย่างซูอี้เฉิงหงุดหงิดจนแทบคลั่ง
เขาเคยชินกับการที่เรียกใครเมื่อไรคนคนนั้นจะรีบมาให้เห็นหน้า แต่ลั่วเสี่ยวซีดันไม่ยอมรับสายเขา ทั้งๆ ที่เขาโทรไปหาเธอเป็สิบๆ รอบ
เขาโทรไปถามเบอร์ผู้จัดการของเธอที่เครือลู่ ผู้จัดการบอกว่าเธอถ่ายแบบเสร็จกลับบ้านไปนานแล้ว
ในเมื่อกลับบ้านแล้ว แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์?
ซูอี้เฉิงลุกพรวดจนเก้าอี้ถูกผลักไปอย่างแรง เขาหยิบกุญแจรถก่อนจะมุ่งหน้าไปที่อพาร์ตเมนต์ของลั่วเสี่ยวซี
หลังกดกริ่งอยู่นานก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู เขาลงไปถามรปภ.ที่ชั้นล่าง จึงได้รู้ว่าเธอออกจากบ้านไปตอน่ค่ำ
ออกไปข้างนอก แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาคืออะไร?
ซูอี้เฉิงเริ่มสังหรณ์ใจ เขาให้คนสืบทันทีว่าลั่วเสี่ยวซีอยู่ที่ไหน ที่แท้เธออยู่ที่ผับ ฉินเว่ยช่วยจัดงานปาร์ตี้เลี้ยงฉลิองให้เธอที่นั่น
เมื่อวานเธอได้ฟังคำพูดเขาบ้างไหม? เขาเพิ่งห้ามไม่ให้เธอออกไปไหนกับพวกฉินเว่ย แต่นี่กลับยอมให้ฉินเว่ยจัดงานปาร์ตี้แบบนี้? ซูอี้เฉิงโกรธจัด เขาเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังผับที่ว่าอย่างรวดเร็ว
ฮึ ฉินเว่ยเข้าใจคิดนะ เลือกสถานที่ที่เจอเธอครั้งแรกเป็ที่จัดงานปาร์ตี้งั้นเหรอ
ซูอี้เฉิงลงจากรถ แต่กลับถูกรปภ.หน้าผับห้ามไม่ให้เข้าไป
นานแค่ไหนแล้วที่มีคนกล้ามาห้ามเขาแบบนี้?
“คุณครับ กรุณาแสดงบัตรเชิญด้วยครับ” ชายหนุ่มตรงหน้าดูน่ากลัวก็จริง แต่รปภ.อย่างเขาคงต้องทำตามหน้าที่
“ผมไม่มี” ซูอี้เฉิงพูดเสียงเย็น
“งั้นต้องขออภัยด้วยครับ คุณคงเข้าไปไม่ได้” รปภ.กล่าว “คุณหนูลั่วสั่งเอาไว้ว่า คนที่มีบัตรเชิญเท่านั้นถึงเข้าไปได้ครับ หากไม่มีแสดงว่าเธอไม่ได้เชิญมา เชิญคุณกลับไปเถอะครับ”
ตอนนั้นเองมือถือของซูอี้เฉิงก็ดังขึ้น ที่โทรเข้ามาเป็เบอร์บ้าน
“สวัสดีค่ะคุณซู” เสียงอ่อนหวานน่าฟังของหญิงคนหนึ่งดังขึ้น “่บ่ายคุณเอด้าเลขาของคุณโทรมาจองที่นั่งไว้ให้ ไม่ทราบว่าจะมาถึงกี่โมงคะ”
“ขอโทษครับ” ซูอี้เฉิงเดินออกห่างผับ “ผมคงไม่ไปแล้ว รบกวนยกเลิกให้ด้วย”
ลูกค้าโทรมาจองก่อนจะยกเลิกแบบนี้เป็เื่ปกติอยู่แล้ว พนักงานสาวจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ได้ค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการนะคะ โอกาสหน้ายินดีต้อนรับค่ะ สวัสดีค่ะ”
ซูอี้เฉิงวางสาย เขาหันกลับไปมองผับที่เสียงเพลงดังจนลอดออกมา และขับรถกลับไป
ด้านในผับ ลั่วเสี่ยวซีไม่รู้สักนิดว่าซูอี้เฉิงมาหา เธอกำลังเต้นรำอยู่กับเพื่อนๆ อย่างเมามัน
‘เพื่อน’ ที่มาในคืนนี้เอาเข้าจริงเธอก็ไม่ได้สนิทเท่าไร บางคนเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็ใครมาจากไหน เธอจึงระมัดระวังไม่ดื่มมากเกินไป ฉินเว่ยเห็นดังนั้นจึงพูดหยอก
“เสี่ยวซี ระวังตัวแบบนี้ ดูไม่เหมือนเธอเลย”
ลั่วเสี่ยวซีเลิกคิ้วพลางยิ้ม “แล้วต้องเป็แบบไหนถึงจะดูเหมือนฉัน”
“เป็แบบสีหน้าเธอตอนนี้ไง” ฉินเว่ยชี้มาที่ใบหน้าของเธอ “เปิดเผย ใจกว้าง ตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย”
ลั่วเสี่ยวซีก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “ฉินเว่ย จะบอกว่านายรู้จักฉันดี หรือไม่รู้จักฉันเลยสักนิดดีเนี่ย”
“ไหนลองอธิบายมาสิ!” ฉินเว่ยทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
“ช่างเถอะ จะพูดเยอะแยะทำไมกัน” ลั่วเสี่ยวซีหยิบแก้วขึ้นมา “ดื่ม!”
ฉินเว่ยเตรียมใจมาเมาอยู่แล้วในวันนี้ ส่วนลั่วเสี่ยวซีเองก็ไม่เคยระวังตัวเวลาอยู่กับคนสนิท เธอเผลอดื่มกับฉินเว่ยไปหลายแก้ว
เธอรู้ลิมิตของตัวเองดี จึงมั่นใจว่าจะสามารถประคองสติจนกลับบ้านได้ แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ ่หลังจู่ๆ ก็มีคนเข้ามาขอชนแก้วกับเธอเยอะมาก เธอปฏิเสธไม่ออก ถึงฉินเว่ยจะช่วยดื่มแทนเธอบ้าง แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง สุดท้ายไม่รู้ว่าใครคนไหนถามขึ้นมา
“เสี่ยวซี เธอกับฉินเว่ยเป็อะไรกัน? เป็แฟนกัน? สนิทกันจนถึงขนาดดื่มแทนกันได้เลยเหรอ”
“ออกไป!” เธอแตะคนที่เอ่ยคำถามบ้าๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะยกซดหมดแก้ว
“ฉันกับฉินเว่ยเป็แค่เพื่อนกัน” เธอผลักฉินเว่ยให้ออกห่าง “ไม่ต้องดื่มแทนฉันแล้ว พวกเขามอมฉันไม่ได้หรอก มาเลย กลัวซะที่ไหน!”
“ดีมาก เสี่ยวซี ต้องแบบนี้สิ!”
เมื่อเป็แบบนี้ หลายคนจึงเริ่มทยอยเข้ามาชนแก้วกะจะมอมเหล้าลั่วเสี่ยวซีไม่ขาดสาย
