ผ่านมาครึ่งปีแล้ว นับจากที่หนีเจียเอ๋อร์ได้เริ่มร่ำเรียนวิชาแพทย์และการใช้พิษในสำนักอิ้นเสวี่ย
โจวชิงหวากล่อมให้นางลงจากเขาไปด้วยกันทุกวัน แต่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนกราน ว่าสิ่งที่ตนเรียนรู้ไปทั้งหมดนั้น เป็เพียงเศษเสี้ยวของวิชาที่บรรดาศิษย์ทั่วไปเขาเรียนกัน ซึ่งอย่างน้อยที่สุด นางก็อยากจะมีความรู้เท่ากับศิษย์พี่ใหญ่
ดังนั้น ทั้งสองจึงมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง
วันนี้เป็วันที่แสงอาทิตย์สาดส่อง สายลมอบอุ่น โจวชิงหวาใช้ความพยายามอย่างมาก ในการฝึกสานนก เพื่อทำให้หนีเจียเอ๋อร์กลับมายิ้มให้ตนอีกครั้ง
เมื่อชายหนุ่มขอคืนดีด้วยการมอบนกหญ้าสานให้นาง พวกเขาก็เลิกโกรธกัน
...
ส่วนควงเยวี่ยโหลว ทุกวันนี้ เขากำลังทุ่มเทไปกับการค้นหาวิธีที่จะรักษาดวงตาให้หนีเจียเอ๋อร์ โดยทดลองเพิ่มสมุนไพรตัวอื่นๆ ลงไปในยา และกลั่นออกมานับสิบครั้ง เพื่อสังเกตดูการเปลี่ยนแปลง
สมุนไพรที่ต้องใช้ในคราวนี้ เป็พืชซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปไม่ต่างจากหญ้าธรรมดาๆ ต้องแยกแยะด้วยการถอนมันออกมา เพื่อสังเกตดูหนามเล็กๆ ตามลำต้น มิฉะนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ ว่านั่นเป็หนึ่งในสมุนไพรล้ำค่าหรือไม่ ดังนั้น ควงเยวี่ยโหลวจึงต้องออกไปเก็บมาด้วยตัวเอง
…
เป็สองวันแล้ว ที่ท่านอาจารย์ยังไม่กลับมา หนีเจียเอ๋อร์จึงไปที่ห้องหนังสือเพื่อค้นหาตำราแพทย์ เลยบังเอิญได้พบกับควงเหยา ถึงรู้ว่าวันนี้ชายหนุ่มจะทำการสอนศิษย์น้องเป็การส่วนตัว
หนีเจียเอ๋อร์จึงอาสาไปกับเขาด้วย เพราะอยากจะฟังการสอนของศิษย์พี่ใหญ่ และถือโอกาสเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติม
ระหว่างทาง หนีเจียเอ๋อร์เอ่ยปากถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าอาจารย์ไปเก็บสมุนไพรที่ใด?”
“เ้าคิดถึงอาจารย์หรือ?” ควงเหยาพูดติดตลก “ครั้งก่อน ศิษย์พี่ลงเขาไปเกือบครึ่งเดือน ไม่เห็นเ้าถามถึงเลย อาจารย์หายไปแค่สองวัน เ้าก็เริ่มซักถามศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ทั้งๆ ที่ศิษย์พี่ผู้นี้ลงจากเขาไป ก็นำของฝากดีๆ มาให้เ้าทุกครั้ง ช่างน่าเศร้านัก!”
“มิใช่นะศิษย์พี่ ทุกครั้งที่ท่านลงเขาไป ศิษย์น้องย่อมเป็ห่วง...” หนีเจียเอ๋อร์หยุดเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกทั้งท่านยังนำของฝากมาให้ด้วย ข้าจึงซาบซึ้งเป็อย่างยิ่ง”
ควงเหยาส่ายหน้า พลางคลี่ยิ้ม แล้วจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากของนางเบาๆ
คนทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันไปตลอดทาง จนมาเจอกับโจวชิงหวาและลู่ซี ที่กำลังรออยู่
ทันที่ที่เห็นโจวชิงหวา ควงเหยาก็รีบเปลี่ยนท่าที แล้วยื่นมือของหนีเจียเอ๋อร์ให้อีกฝ่ายต่อ ด้วยเกรงว่าคนผู้นี้จะแผ่รัศมีอันเยียบเย็น และเอ่ยคำพูดมากมายที่เต็มไปด้วยความหึงหวงอีก
แต่ทันทีที่ผละออกมา ลู่ซีก็มายืนเคียงข้างเขาแทน ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายหวานซึ้ง ควงเหยาส่ายหน้าอย่างจนปัญหา พลางกระซิบเตือนตัวเอง ว่าห้ามเผลอไผลไปกับนางเด็ดขาด
...
จากนั้นสามวัน ควงเยวี่ยโหลวก็กลับมาในตอนเย็น
หนีเจียเอ๋อร์และควงเหยาจึงไหว้วานให้ทางห้องครัว ช่วยเตรียมอาหารอย่างดีมาสักสองสามจาน กับสุรารสเลิศอีกหนึ่งไหมาให้อาจารย์
ควงเยวี่ยโหลวมองดูแล้ว ก็คิดว่าตัวเองคงจะกินไม่หมด เลยชวนลูกศิษย์ทั้งสองให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
สามคนศิษย์อาจารย์พากันขยับตะเกียบ ด้านโจวชิงหวาก็ย่อมไม่พลาดที่จะมาร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ นี้ แม้จะไม่มีใครเอ่ยปากชวนก็ตาม
หลังจากกินไปได้สักพัก หนีเจียเอ๋อร์ก็ยกจอกสุราขึ้นมา “อาจารย์บากบั่นตามหาสมุนไพรมาอย่างยากลำบาก ศิษย์ขอดื่มให้ท่านสักจอก”
ควงเยวี่ยโหลวหยิบจอกสุราขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ชนจอกตามธรรมเนียม กลับถูกโจวชิงหวาเข้ามาตัดหน้า ชิงไปชนจอกกับหนีเจียเอ๋อร์ก่อนเสียอย่างนั้น
ควงเหยาถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
แต่ควงเยวี่ยโหลวไม่ถือสาหาความกับมารยาของพี่ชายนาง เพียงเอ่ยเบาๆ “ดื่มแต่พอดีเถอะ”
“สุราของอาจารย์ จะดื่มน้อยได้อย่างไร?” หนีเจียเอ๋อร์มองไม่เห็น จึงคิดว่าคนที่ชนจอกด้วยเป็อาจารย์ของตน หญิงสาวพลันยกจอกสุราขึ้นมาดื่มหมดในรวดเดียว แต่ใช้แขนเสื้อบังเอาไว้ตามประสาสตรี
โจวชิงหวาขมวดคิ้ว พลางเงยหน้าขึ้นซดสุรา
ล่วงเลยมาถึงยามดึก ก็ได้เวลาที่คนทั้งสี่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
...
วันรุ่งขึ้น
หนีเจียเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาั้แ่เช้าตรู่ และไปรอควงเยวี่ยโหลวที่ห้องเรียน พอเห็นว่าอาจารย์ยังไม่มา แต่ในห้องกลับมีกลิ่นแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคย เลยถือโอกาสสูดดมด้วยความสนใจใคร่รู้
จากนั้น มือบางก็คลำไปเจอต้นสมุนไพรต้นหนึ่ง
“นี่เป็สมุนไพรที่อาจารย์ออกไปหาด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
หญิงสาวจึงหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พลางคิดคำถามที่จะไปถามอาจารย์... สมุนไพรต้นนี้มีชื่อว่าอะไร และมีสรรพคุณอย่างไร น่าสนใจยิ่งนัก
นิ้วมือของนางค่อยๆ ไล่ััั้แ่ดอกไปจนถึงโคนต้น
“อ๊ะ!”
หนีเจียเอ๋อร์โดนหนามแทง นางกุมนิ้วด้วยความเ็ป จนไม่ทันได้สังเกต ว่าเืบนนิ้วหยดลงไปบนเกสรดอกไม้
หญิงสาวรีบวางสมุนไพรกลับที่เดิมทันที
ทว่า เืที่หยดลงไปบนเกสรพลันไปกระตุ้น ทำให้ดอกไม้ปล่อยกลิ่นหอมตลบไปทั่วทั้งห้อง และล่องลอยไปในอากาศ จนแผ่กระจายไปทั่วสำนักอิ้นเสวี่ย
ควงเยวี่ยโหลวที่กำลังผูกสายรัดเอวอยู่ ได้กลิ่นหอมอบอวลซึ่งเข้ามาทางหน้าต่าง เดิมที เขายังไม่ใส่ใจอันใดนัก จนกระทั่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็ไปไม่ได้! หรือว่าจะมีคนมาััมัน? แต่เหตุใดถึงส่งกลิ่นรุนแรงเช่นนี้เล่า!”
ควงเยวี่ยโหลวสวมชุดคลุมสีดำ แล้วรีบออกจากห้องหนังสือไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางเขาก็พบว่ามีศิษย์บางคน กำลังออกอาการมึนเมา
หากไม่กำจัดต้นตอ อาการเหล่านี้ก็คงไม่หายไปง่ายๆ
ควงเยวี่ยโหลวเดินตรงไปยังห้องหนังสือ จึงเห็นว่าหนีเจียเอ๋อร์นั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง เขารีบสาวเท้าเข้าไปหา และเอ่ยถามอย่างร้อนรน “เ้าััหญ้าอวี้ซินที่ข้าวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ใช่หรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้า พลางยิ้มเจื่อนๆ “เป็หญ้าอวี้ซินนี่เอง ข้าคิดว่ามันเป็สมุนไพรทำเครื่องหอมเสียอีก”
เมื่อเห็นสีหน้าของนางยังคงปกติดี คิ้วของควงเยวี่ยโหลวก็ขมวดมุ่น “นี่เ้าไม่รู้สึกแปลกๆ เลยหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์งุนงง “รู้สึกแปลกๆ อย่างไรหรือเ้าคะ?”
ควงเยวี่ยโหลวอ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ว่ามันเป็ยาปลุกกำหนัด จึงตอบเสียงอ้อมแอ้ม “มันเป็... อ่า... ร่างกายรู้สึกร้อนขึ้นหรือไม่?”
พูดจบ ความรู้สึกกระสันในช่องท้องส่วนล่างก็เริ่มออกอาการ แรงกระตุ้นอันดิบเถื่อนยากจะระงับนี้ แทบทำให้ควงเยวี่ยโหลวเสียสติ เผลอกระโจนใส่นางประหนึ่งสัตว์ร้าย ความมีเหตุผลเริ่มพร่าเลือน ยิ่งกลิ่นของสมุนไพรรุนแรงเท่าใด ความปรารถนาก็ยิ่งทบทวี จนเขาต้องลุกขึ้นไปยืนให้ห่างจากนางที่สุดเท่าที่จะทำได้
ควงเยวี่ยโหลวหันไปมองหนีเจียเอ๋อร์ “เ้าถูกหญ้าอวี้ซินนี้บาดหรือ?”
หญิงสาวผงกศีรษะ “ศิษย์ไม่อาจซ่อนอะไรจากสายตาของอาจารย์ได้เลยจริงๆ!”
ควงเยวี่ยโหลวเบิกตากว้าง ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก เขาเคยได้ยินมาว่ามีเืกลุ่มพิเศษ ที่สามารถกระตุ้นให้พิษออกฤทธิ์ได้มากขึ้นเป็พันเท่า
แต่ตอนนี้ ควงเยวี่ยโหลวไม่มีเวลาจะมาศึกษาแล้ว เขารีบห่อหญ้าอวี้ซินใส่ไว้ในลิ้นชัก แล้วเอ่ยปากเตือน “ฟังให้ดี อย่าแตะต้องหญ้าอวี้ซินอีก ไม่ว่าเ้าจะได้ยินเสียงอะไร ก็ห้ามก้าวออกจากห้องนี้แม้เพียงครึ่งก้าว”
ควงเยวี่ยโหลวสั่งด้วยเสียงแหบพร่า ก่อนหมุนตัว หมายจะเดินออกจากห้องไป