พ่อบ้านหวังก้มศีรษะพร้อมกับเหงื่อซึมและคุกเข่ากับพื้น “บรรพบุรุษน้อย ข้าน้อยทำผิดตรงไหนหรือขอรับ? ข้าน้อยก็ทำตามจดหมายที่ส่งมา ของกำนัลมอบให้บ้านใดก็น่าจะเหมือนกันนะขอรับ”
ซูจื่อเยี่ยมองเขาอย่างเ็าและไม่ส่งเสียง
จนกระทั่งรถม้าเลี้ยวออกจากปากทางหมู่บ้าน เขาอิงบนหมอนอิงข้างหน้าต่าง มองเห็นตรงทางขึ้นหลังูเาจากหมู่บ้าน มีร่างผอมบางยืนอยู่ตรงกลางถนน
เงาของร่างบางบนถนนดินโคลนสีเหลือง พร้อมกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ข้างทาง
ทันใดนั้นร่างเล็กก็ขยับตัวโบกมืออย่างสุดแรงมาทางรถม้า เหมือนเป็การบอกลาเขา
ฮึ แม่สาวน้อย อย่างน้อยก็นับว่าเ้ายังพอมีหัวใจอยู่บ้าง
ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของซูจื่อเยี่ยถึงรู้สึกอยากร้องไห้ ขณะเดียวกันภาพนี้ก็ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขาเป็ที่เรียบร้อย
ร่างเล็กลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ววิ่งเหยาะๆ ตามหลังรถม้า แต่รถม้าก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลัก เหลือไว้เพียงฝุ่นคละคลุ้งที่บดบังร่างนั้น
เด็กโง่ ตั้งใจมีชีวิตให้ดี!
ซูจื่อเยี่ยลดม่านรถลงอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันไปมองทางพ่อบ้านหวัง “คนที่ช่วยข้า คือผู้อื่น”
เมื่อพ่อบ้านหวังได้ยินคําพูดนั้น เขาก็ใจนิญญาทั้งเจ็ดสะดุ้ง เื่ใหญ่นักหรือ?
“แต่ก็ไม่ถือว่ามอบของตอบแทนผิดคน” เสียงของเขาไม่เ็าเหมือนก่อนหน้านี้
พ่อบ้านหวังกำลังจะถามว่าคนที่ช่วยชีวิตเขาคือผู้ใด
เสียงของซูจื่อเยี่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แม่สาวน้อยที่โบกมือเล็กๆ เมื่อครู่”
ใครนะ?
พ่อบ้านหวังอยากร้องไห้ มีสาวน้อยมาโบกมือั้แ่เมื่อใด? เขามองไม่เห็นจริงๆ ห้องโดยสารนั้นปิดทึบ นอกนั้นก็มีเพียงหน้าต่างสองบาน บานหนึ่งถูกซูจื่อเยี่ย ส่วนอีกบานมีม่านบังไว้
อืม ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อครู่เขาได้ก้มศีรษะระลึกว่าไปทำให้บรรพบุรุษน้อยเคืองโกรธตรงไหน
ตามคาด ช้าเร็วเขาคงต้องถูกเล่นงานตายเสียก่อน
“หลิวซานกุ้ยมีลูกสาวสามคน” เสียงเฉยเมยของซูจื่อเยี่ยดังขึ้นอีกครั้ง
สมองของพ่อบ้านหวังถึงกับสับสน คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าให้น้อยเกินไป บรรพบุรุษตัวน้อย ได้โปรดชี้แนะ!
ดูเหมือนว่าซูจื่อเยี่ยจะได้ยินหัวใจของเขา “ครั้งต่อไปให้ครอบครัวนั้นมากขึ้นเป็สามเท่า”
อ้อ ที่แท้ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่ของกำนัลแด่บุตรสาวทั้งสามคนนั้นหรอกหรือ? พ่อบ้านหวังรู้ตัวได้ในทันที เขาได้ยินมาว่าหลิวซานกุ้ยมีบุตรสาวคนหนึ่งที่คอยดูแลทำหน้าที่เป็แม่ครัวน้อยให้กับนายน้อย จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
หรือว่าตนเองนั้นให้ความสำคัญผิดประเด็นไปเช่นนั้นหรือ?
ดังนั้นจึงส่งผลให้บรรพบุรุษตัวน้อยไม่พอใจก่อนหน้านี้
พ่อบ้านหวังหลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆ อยากจะบอกกับนายท่านผู้นี้ว่า ขอไม่เล่นเกมการคาดเดาได้หรือไม่?
ซูจื่อเยี่ยี้เีใส่ใจเขา จึงหลับตาลงแล้วเอนกายลงบนหมอนนุ่มๆ เพื่อพักฟื้น
หมู่บ้านสามสิบลี้อยู่ห่างจากตำบลเหลียนซานเพียงหกลี้ การนั่งรถม้าลากก็ใช้เวลาเพียงแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น
รถม้าหยุดอยู่ตรงสี่แยกที่ไม่ไกลจากปากทางเข้าตำบลนัก
พ่อบ้านหวังยกม่านขึ้นและถามคนบังคับรถม้าว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินคำตอบ เขาก็ลดม่านลงแล้วมุดตัวกลับเข้ามา
เมื่อหันไปมองก็พบว่าซูจื่อเยี่ยกำลังพิงหมอนและหลับอย่างสบาย พลันเกิดความลังเลว่าจะปลุกบรรพบุรุษน้อยให้ตื่นดีหรือไม่
“อะแฮ่ม!”
เสียงเ็าดังขึ้น
พ่อบ้านหวังรู้สึกว่าความหนาวเย็นจู่โจมร่างกาย จริงตามคาด บรรพบุรุษตัวน้อยบทจะตื่นก็ตื่นขึ้นทันใด
เขารีบโน้มตัวไปกระซิบว่า “นายน้อย เกาจิ่วมาขอรับ”
“หืม?!” เขายกคิ้วขึ้นเบาๆ ก่อนแล้วจึงลากหางเสียงยาว สุดท้ายจึงค่อยๆ ลืมตาคู่ที่ดูดิญญาคู่นั้นขึ้น
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตรงและแปรงผมที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย พ่อบ้านหวังรอจนเขาจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ถึงเคาะที่ห้องโดยสารสองที
ไม่นานนัก ตรงหน้าต่างฝั่งขวาก็มีคนมา เมื่อมองผ่านหน้าต่างโปร่งบางก็เห็นได้รางๆ ว่าคนผู้นั้นทำความเคารพเขา
“ข้าน้อยเกาจิ่ว คำนับนายน้อย”
ซูจื่อเยี่ยเหยียดนิ้วชี้ขาวผุดผ่อง เลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ แล้วมองไปทางเขา “เ้ามาแล้วหรือ!”
เสียงนั้นราบเรียบราวกับคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเขาจะมา
ซูจื่อเยี่ยไม่รอให้เขาเอ่ยปากและถามอีกครั้ง “งานเสร็จแล้วหรือ?”
“เรียบร้อยขอรับ หลิวเหรินกุ้ยนั้นเป็คนมือเท้าไม่สะอาดจริงๆ หลายปีมานี้เขามักจะเอาของดีในโรงเตี๊ยมกลับไปใช้ที่บ้าน” อันที่จริงหัวใจของเกาจิ่วราวกับตีกลองรัว น้ำที่ใสเกินไปมักจะไม่มีปลา ก่อนหน้านี้ซูจื่อเยี่ยเองก็ทราบเื่นี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลิวเหรินกุ้ยไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้า ถึงกับต้องบีบบังคับให้เขาคืนของที่อมไปทั้งหมดกลับมา
ซูจื่อเยี่ยคิดสักพักแล้วเอ่ยถาม “เท่าไร?”
เกาจิ่วคิดในใจว่าไม่ผิดคาด “ราวหนึ่งร้อยตำลึงขอรับ ข้าน้อยจึงใช้บ้านเอ้อร์จิ้นย่วน [1] หลังใหม่ของเขามาค้ำไว้”
หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ล้วงเอาโฉนดที่ดินออกมาจากทรวงอกหนึ่งใบ ทว่าชื่อของโฉนดหลังนี้ระบุชื่อของเกาจิ่วเป็การชั่วคราว นี่คือวิธีการที่ทำกันเป็ปกติ
เกาจิ่วรู้ชัดเจนในใจ บ้านหลังนี้คงไม่อยู่ในสายตาของบรรพบุรุษตัวน้อยแน่นอน แต่ก็ไม่รู้จะจัดการเช่นไร
“เอ้อร์จิ้นย่วน?!” เมื่อใดก็ตามที่ซูจื่อเยี่ยคิด เขามักเคยชินกับการใช้นิ้วเคาะกาน้ำชา ขณะนี้ก็กำลังเคาะเป็จังหวะ เสียงนี้ทำให้หัวใจของเกาจิ่วกับพ่อบ้านหวังเองเต้นคล้อยตามกับจังหวะเคาะนั้น ราวกับถูกโยนขึ้นกลางอากาศแล้วก็ร่วงหล่นวูบลงมา
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคาดคะเนว่าบรรพบุรุษตัวน้อยกำลังจะมาไม้ไหน
เสียงราบเรียบของซูจื่อเยี่ยก็ดังขึ้น “พ่อบ้านหวังไปเอาลูกชิ้นปลาที่เหลือ...”
ขณะที่เขาพูด ใบหน้าอันหล่อเหลาที่เ็าเป็ปกติก็ปรากฏความลังเลเล็กน้อย
เฮ้อ ลูกชิ้นปลาที่แม่สาวน้อยทำให้เขามีไม่มากนัก น่าเสียดายหากต้องแบ่งมันให้กับผู้อื่น
พ่อบ้านหวังรออยู่นานครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้คำตอบจากนายน้อยว่าจะจัดการอย่างไรกับลูกชิ้นปลาที่เหลือ
“นายน้อย?”
“ตักลูกชิ้นปลาที่เหลือมาให้เขาชิมสองลูก” ซูจื่อเยี่ยจงใจเน้นเสียงหนักตรงที่คำว่า ‘สองลูก’ เขาหมายความตามที่กล่าว ซึ่งจำกัดแค่เพียงสองลูก
พ่อบ้านหวังได้ยินดังนั้นถึงกับน้ำหูน้ำตาไหล นายน้อยของตนกลายเป็คนตระหนี่เช่นนี้ั้แ่เมื่อไร แล้วประเด็นสำคัญคือให้เพียงแค่สองลูก จะให้เขาทำได้อย่างไร
ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าใบหน้าชราของตนถึงกับร้อนผ่าว แล้วนึกว่าตนเองหูฝาดไป จึงหยั่งเชิงถามอีกรอบ “นายน้อย ให้ตักตามจำนวนนี้หรือขอรับ?” เขาชูมือขึ้นเป็สัญลักษณ์เลขสอง
ซูจื่อเยี่ยยังรู้สึกว่าการที่เขาทำเช่นนี้ถือเป็การเสียภาพลักษณ์ แต่ลูกชิ้นปลาที่แม่สาวน้อยทำนั้นก็อร่อยเกินไป
“สาวน้อยเต้าเซียงเป็ผู้ทำมัน เ้าลองเอาไปชิม หากรู้สึกว่าสามารถใช้ในโรงเตี๊ยมได้ ก็ให้ไปพูดคุยกับนาง บ้านหลังนี้เ้าต้องหาทางโอนให้กับนาง” ซูจื่อเยี่ยสั่งงานเรียบร้อย เมื่อคิดอีกทีก็กลัวว่าเกาจิ่วจะเข้าใจความหมายของเขาผิด จึงเอ่ย “จำไว้ว่าต้องคิดเงิน”
เมื่อเขาพูดจบก็เม้มริมฝีปากไว้แน่นไม่ยอมเอ่ยคำใดอีก ในความเป็จริงใบหูของตนนั้นแดงด้วยความเขินอาย
แม่สาวน้อยตัวดี จำบุญคุณของข้าไว้ด้วย
หลิวเต้าเซียงซึ่งอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้จามอย่างแรง
หลี่ชุ่ยฮัวกำลังปักลายดอกเก๊กฮวยเสร็จเรียบร้อย ได้ยินนางจาม จึงหัวเราะแล้วถาม “เต้าเซียง คงไม่ได้มีใครกำลังบ่นถึงเ้าหรอกนะ?”
หลิวเต้าเซียงพิงตัวไปทางเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งอย่างเกียจคร้าน เอื้อมมือไปเกาจมูกเล็กที่เกิดอาการคัน แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ชุ่ยฮัว เหตุใดเ้าจึงมีความอดทนเช่นนี้ ดอกเก๊กฮวยที่เ้าปักสวยกว่าของข้าเยอะเชียว”
นางชื่นชมงานปักของหลี่ชุ่ยฮัวที่เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ
ใบหน้าเล็กอันขาวผุดผ่องและกลมกลึงของหลี่ชุ่ยฮัวปรากฏรอยยิ้ม นางหยิบดอกไม้ที่เพิ่งปักเสร็จขึ้นมา แล้วมองดูอย่างภาคภูมิใจ
“เต้าเซียง แม่ของข้าบอกว่าการเย็บปักถักร้อยต้องมีจิตใจที่สงบ นิสัยมุทะลุของเ้าน่ะ ต้องเย็บปักถักร้อยให้มากถึงจะดี”
หลิวเต้าเซียงใจร้อนกับงานเย็บปักถักร้อย จากที่ฟังดูเหมือนว่าแม่นางชุ่ยฮัวตัวน้อยจะไม่ยอมตายใจและรั้นจะให้นางฝึกงานเย็บปักด้วยให้ได้ จึงปัดมือแล้วเอ่ย “เ้าเองก็เห็นแล้ว คราวก่อนที่เ้าสอนให้ข้าปักดอกเก๊กฮวย แล้วปักออกมาเป็เช่นใด ข้าเอากลับไปให้พี่สาวดู นางหัวเราะจนกลิ้งลงคั่งไป แล้วบอกให้แม่ข้ามาดูว่าข้าปักตูดไก่ได้”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลิวเต้าเซียงก็จุกอกเมื่อมองดูหลี่ชุ่ยฮัวสามารถปักดอกเก๊กฮวยสวยงามออกมาอย่างง่ายดาย แต่พอมาอยู่ในมือของนางกลับกลายเป็ดอกเก๊กฮวยที่กระจุกกันอยู่เป็วง มองจากที่ไกลๆ นั้นเหมือนกับตูดไก่จริงๆ
แล้วนางก็คิดอย่างเ็ปใจ โชคดีที่นางโยนผ้าผืนนั้นทิ้งไปแล้ว
แต่กลับไม่รู้ว่า ตอนนั้นหลิวชิวเซียงเห็นแล้วเสียดาย นางคิดอยู่ว่านี่คืองานเย็บปักชิ้นแรกที่เป็ฝีมือของน้องสาวตนเองไม่ใช่หรือ?
นางรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าจดจํา ดังนั้นจึงเก็บมันไว้และวางไว้บนคั่ง จากนั้นก็ไปทำงานอย่างอื่นต่อ จนลืมเื่นี้ไปหมดสิ้น
บังเอิญจางกุ้ยฮัวรู้ว่าหลิวเต้าเซียงมีเงินอยู่หลายตำลึง จึงคิดอยากทำกระเป๋าเงินให้แก่นาง เมื่อเดินเข้าห้องก็เห็นผ้าผืนนี้พอดี คิดอยู่ว่าไหนๆ นี่ก็เป็งานปักชิ้นแรกของบุตรสาว เพื่อย้ำเตือนให้หลิวเต้าเซียงรู้ตัวว่าควรฝึกการเย็บปักอย่างมีความอดทน
กระนั้นแม่ผู้แสนดีจึงตัดสินใจใช้ผ้าผืนนี้ทำกระเป๋าเงิน แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอย่างไร ให้วันไหนไม่ให้ ดันเลือกคืนก่อนหน้าที่ซูจื่อเยี่ยจะจากไปแล้วให้กระเป๋าเงินแก่นาง แต่เนื่องจากไฟค่อนข้างมืด และไม่รู้ว่าเพราะลืมไปหรืออะไร จึงลืมบอกแก่บุตรสาวคนรองว่านั่นคือ ‘ของขวัญ’ เพื่อให้นางตื่นตาตื่นใจ ท้ายสุดก็ไม่ได้เอ่ยเื่นี้ไป
หลิวเต้าเซียงได้ยินว่าเป็กระเป๋าเงินที่แม่ของตนทำเองกับมือ ย่อมรับไว้ด้วยความดีใจ ต่อมาเนื่องจากต้องแบ่งเงินให้แก่ซูจื่อเยี่ยและไม่มีที่ใส่ นางไม่ได้สังเกตมันนัก จึงเอากระเป๋าเงินหนึ่งเดียวที่มีส่วนแบ่งเงินสี่ตำลึงให้แก่ซูจื่อเยี่ย จากนั้นก็ยื่นผ่านหน้าต่างให้เขาไป
หลิวเต้าเซียงไม่ได้ทราบเลยว่า ขณะนี้กระเป๋าเงินที่พี่สาวของนางเรียกว่า ‘ตูดไก่’ นั้นได้อยู่ในอ้อมอกของซูจื่อเยี่ยเป็ที่เรียบร้อย
มิฉะนั้น นางคงแทบอยากร้องไห้ ไหนเลยจะเป็เหมือนเช่นตอนนี้ที่หัวเราะอย่างเบิกบานใจ
“เต้าเซียง ข้าได้ยินมาว่าแขกของเ้ากลับไปแล้วหรือ?” หลี่ชุ่ยฮัวถามนาง ขณะใช้กรรไกรตัดเส้นด้ายให้เรียบร้อย
หลิวเต้าเซียงทำใจไม่ได้เล็กน้อยกับการจากไปของซูจื่อเยี่ย หากว่าเขาพักต่ออีกหลายวัน ตนเองคงสามารถอู้งานได้มากกว่านี้แล้วยังได้เงินมากกว่านี้
“ใช่ กลับไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปเ้าก็สามารถมาเล่นกับข้าได้น่ะสิ เราไปหลังูเากันเถอะ ไปเก็บพวกเห็ดหูหนู เห็ดหอมต่างๆ”
นับั้แ่หลี่ชุ่ยฮัวฝึกการเย็บดอกไม้ได้ นางก็เฝ้านึกถึงแต่การไปเล่นบนูเา
หลิวเต้าเซียงคิดดู จึงเอ่ย “พ่อข้าไม่อนุญาตให้ข้าขึ้นเขาแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้หญ้าขึ้นสูงมีงูเยอะ จะถูกกัดได้ง่าย อย่างมากที่สุดเขาก็ให้ข้าเก็บแค่ฟืนอยู่ตีนเขา หรือไม่ก็ช่วยพี่ใหญ่ตัดหญ้าอาหารหมู”
หลี่ชุ่ยฮัวกัดนิ้วพร้อมกับเอียงศีรษะถาม “จริงหรือ? เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย เห็นทีคงต้องรอจนฤดูใบไม้ร่วงและงานไร่นาเริ่มว่าง ถึงจะได้ไปเล่นบนเขากับทุกคน”
“ข้าจะโกหกเ้าทำไมกัน?” หลิวเต้าเซียงพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วไปปล่อยไก่ออกมา จากนั้นก็โยนหญ้าที่ตากจนน้ำค้างแห้งเข้าไปในเล้าไก่
“เฮ้อ ข้าว่าเต้าเซียง เมื่อแขกผู้นั้นจากไป เ้าคงต้องถูกย่าของเ้าใช้งานอีกแล้วน่ะสิ?” หลี่ชุ่ยฮัวมีความคิดบางอย่าง จึงเอ่ยต่อ “หรือไม่อย่างนั้นเ้าฝึกเย็บปักถักร้อยกับข้า เราสองคนช่วยกันทำ ถึงเวลาเ้าจะสามารถมีผ้าเช็ดหน้า แล้วข้าจะช่วยเ้าเอาไปแลกเงินมา”
-----
เชิงอรรถ
[1] เอ้อร์จิ้นย่วน 二进院 คือบ้านที่ประกอบเป็สี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ดังรูป

