เยี่ยหานได้รับแจ้งจากคนของทังฝานแต่แรกแล้วว่าผู้ชนะการประลองปีนี้คือหลินเซียว
หลินเซียวนั้นชนะอันดับหนึ่งซ้อนมาห้าปีแล้ว นี่คือครั้งที่ห้า แม้ว่าแต่ก่อนไม่รู้จัก แต่ตอนนี้ก็ถือว่าคุ้นเคยกันแล้ว เพียงแต่ว่าปีก่อนๆ นั้นหลินเซียวมาคนเดียวตลอด แต่คราวนี้กลับมีนักหลอมโอสถตัวผอมแห้งตามมาด้วย นอกเหนือความคาดหมายทีเดียว
“อาจารย์อาเยี่ย ข้ามารับรางวัลของปีนี้ขอรับ” หลิงเซียวเห็นเยี่ยหานจึงเอ่ยจุดประสงค์ที่มา
เยี่ยหานเอะใจมองหลิงเซียวที่บุคลิกเปลี่ยนไปจากที่จำได้ แต่ก่อนหลินเซียวไม่เคยใช้วาจาชื่นมื่นแบบนี้คุยกับตนมาก่อน ทั้งยังไม่สุภาพเช่นนี้ ไม่เคาะประตูก็เดินเข้ามาแล้ว แต่ถ้าพูดถึง เขาชอบ ‘หลินเซียว’ ในตอนนี้มากกว่า
หลินเซียวแต่ก่อนนั้น แม้จะเป็ศิษย์อันดับหนึ่งแขนงการต่อสู้ แต่พื้นฐานเป็คนเงียบขรึม สำรวมเรียบร้อย พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกกิริยาท่าทางล้วนดูเป็ระเบียบทุกฝีก้าว กับผู้คนก็ไม่ได้เป็กันเอง แต่ก็ไม่ได้ห่างเหิน ความพอดิบพอดีเช่นนี้ราวกับถูกปั้นแต่งออกมา ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเยี่ยหานจึงไม่ได้รู้สึกดีมากมายกับหลินเซียวคนก่อน
แต่หลินเซียวตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เหมือนปรุงแต่งออกมา
เยี่ยหานไม่วายเลื่อนสายตามาที่เด็กหนุ่มด้านข้าง แววตาสดใสบริสุทธิ์ หน้าตาดูดีน่าคบหา เป็เด็กหนุ่มที่ดูมีพลัง ดูท่าคนที่ทำให้หลินเซียวเปลี่ยนไปคงเป็เขา เมื่อไตร่ตรองเช่นนี้ ก็รู้ถึงจุดประสงค์ที่เขาพามาด้วยแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาเดินมา มือไม้ไปไม่ถูก รีบโค้งคำนับทักทาย “อาจารย์อาเยี่ย!”
เยี่ยหานหน้าไร้ความรู้สึกเผยรอยยิ้มบางๆ พยักหน้าให้เขาแล้วเอ่ยกับหลิงเซียว “ข้าได้ยินข่าวแล้ว ยินดีกับเ้าด้วยนะที่ได้อันดับหนึ่งอีกแล้ว รางวัลปีนี้เป็หญ้าเซียนขั้นหกสามต้น เ้าไปเลือกเองได้เลย เลือกเสร็จมาบอกข้านะ”
“ถ้างั้นก็ ขอบคุณอาจารย์อาเยี่ยขอรับ”
หลิงเซียวยกมือคำนับ เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
……
เมื่อพ้นจากสายตาเยี่ยหาน โหยวเสี่ยวโม่โล่งอก แม้ว่าอาจารย์อาเยี่ยจะเป็แค่นักหลอมโอสถ แต่พลังนั้นกล้าแกร่งเหลือเกิน นักหลอมโอสถระดับสูงนี่ไม่ธรรมดาเลย
หลิงเซียวหัวเราะท่าทีแปลกประหลาดของเขา “กลัวอะไรกัน อีกหน่อยเ้าก็ต้องได้เป็นักหลอมโอสถผู้มีเกียรติ”
โหยวเสี่ยวโม่คิดเสียว่าคำพูดนี้เพียงเพื่อปลอบใจเขา เพราะเขารู้อยู่แก่ใจ คุณสมบัติอ่อนด้อยเช่นเขา ชาตินี้อย่างมากก็คงเป็ได้แค่นักหลอมโอสถระดับกลาง นักหลอมโอสถระดับสูงใช่ว่าเขา้าแล้วจะเป็ได้
หญ้าเซียนขั้นหกนั้นอยู่ใจกลางไร่แปลง ถือเป็จุดที่เพาะปลูกหญ้าเซียนเยอะที่สุด
โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้ว่าเขาจัดแปลงเช่นนี้เพื่ออะไรกัน ทว่าคงดีต่อหญ้าเซียน พลางคิดว่า หากเขากลับไปก็จะลองใช้วิธีนี้ปลูกในห้วงมิติดีหรือไม่?
เมื่อเจอแปลงหญ้าเซียน หลิงเซียวให้เขาไปเลือก หญ้าเซียนขั้นหกของสำนักเทียนซินเพาะปลูกอย่างครบถ้วน หญ้าเซียนขั้นหกทุกชนิดถูกปลูกไว้ที่นี่หมด
โหยวเสี่ยวโม่เห็นหลิงเซียวยืนดูอยู่ด้านข้าง จึงเดินเข้าไปอย่างวางใจ
พอดูใกล้ๆ ชัดเจนกว่ามองจากที่ไกลๆ เยอะเลย แต่เพราะว่าขั้นสูง ดังนั้นที่สุงเต็มที่จึงมีไม่เยอะ เจ็ดแปดส่วนล้วนยังเป็ต้นกล้าอ่อนๆ อยู่เลย บางต้นถึงขั้นพึ่งงอก
จดจ้องหญ้าเซียนอย่างไม่วางตา โหยวเสี่ยวโม่เดินเชยชมแปลงนั้นรอบหนึ่งแล้วกลับมาที่เดิม จำไว้ในใจคร่าวๆ เขาพบว่าหญ้าเซียนขั้นหกนี้ มีห้าชนิดที่เหมือนกับที่เขาเก็บได้จากถ้ำน้ำแข็ง เพราะว่าหญ้าเซียนขั้นหกที่สุกเต็มที่นั้นพอมีบ้าง ดังนั้นเขาจึงลองเทียบกันดู
เมื่อตัดชนิดที่เขามีอยู่แล้วออก โหยวเสี่ยวโม่เลือกหญ้าเซียนที่โตเต็มที่มาสามต้น ชื่อนั้นยังเรียกไม่ถูก
ทีแรกเขาตั้งใจเลือกต้นที่พึ่งโตเป็ต้นกล้า แต่ถ้าเลือกไป แล้วจะเอาไปปลูกที่ไหน?
อย่างที่รู้กัน เขาเป็เพียงนักหลอมโอสถขั้นหนึ่งตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีแปลงที่เป็ของตัวเอง ดังนั้นเขาไม่อาจเอาไปเพาะในห้วงมิติได้ หากคนอื่นต้องถามขึ้น อาจารย์กับศิษย์พี่ทั้งหลายก็ต้องตำหนิเขา หญ้าเซียนที่สุกแล้วไม่เอา กลับไปเอาต้นกล้ามาแทน มันเป็การกระทำของคนเขลาเบาปัญญาชัดๆ!
ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงอดทนไว้ แม้ในใจอยากทดลองปลูกหญ้าเซียนขั้นหกมากเพียงใดก็ตาม
เมื่อเลือกทั้งสามต้นได้แล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็หยิบพลั่วเล็กๆ จากถุงเก็บของออกมา ส่งพลังปราณเข้าสู่พลั่วแล้วจากนั้นเริ่มขุดต้นหญ้าเซียน
นี่เป็ผลลัพธ์จากที่เขาทดลองมาหลายครั้ง!
เพราะรากของหญ้าเซียนก็เปรียบเสมือนเส้นเอ็นและชีพจรของมนุษย์ หากถูกทำลาย พลังปราณของหญ้าเซียนก็จะหลุดซึมออกไป และส่งผลต่อคุณภาพของหญ้าเซียน เขาเคยค้นพบเื่ลักษณะนี้ตอนที่เก็บเกี่ยวหญ้าเซียนในห้วงมิติ หญ้าเซียนคุณภาพสูงสิบกว่าต้น ถูกเขาทำให้กลายเป็คุณภาพที่ลดลงเหลือระดับกลาง
โชคดีที่มีอยู่เยอะ ไม่เช่นนั้นเขาคงร้องไห้ตาย
จากนั้นเป็ต้นมาโหยวเสี่ยวโม่จึงระมัดระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเดิมขึ้น ทั้งยังเคยหาข้อมูลจากตำรา จนท้ายสุดมั่นใจแล้วว่าพลังปราณิญญาสามารถหยุดยั้งการรั่วซึมของพลังปราณในต้นหญ้าเซียนได้ ั้แ่นั้นก็ไม่เคยทำต้นหญ้าเซียนเสียหายแม้แต่ต้นเดียว
เพราะเคยฝึกขุดตอนอยู่ที่ถ้ำน้ำแข็ง ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงขุดหญ้าเซียนได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ขุดเรียบร้อย หญ้าเซียนสามต้นสมบูรณ์สวยงามอยู่บนมือเขา ส่วนรากไม่มีความเสียหายใดๆ มีเพียงเศษดินที่เกาะอยู่
หญ้าเซียนทั้งสามต้นเป็คุณภาพระดับกลาง เขาก็อยากเลือกแบบคุณภาพสูง แต่เดินวนรอบหนึ่งกลับไม่เห็นแบบคุณภาพสูงแม้แต่ต้นเดียว จึงได้แต่ถอดใจ
หญ้าเซียนในอุ้งมือ โหยวเสี่ยวโม่ดีอกดีใจวิ่งไปหาหลิงเซียว
แต่พอจ้องดีๆ ก็เห็นเยี่ยหานที่อยู่ข้างกันซึ่งไม่รู้ว่ามาั้แ่ตอนไหน และยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรแล้ว ยืนมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจปนทึ่ง
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้สังเกต พลันยื่นหญ้าเซียนที่ขุดออกมาให้เขาดู “อาจารย์อาเยี่ย หญ้าเซียนสามต้นข้าเลือกได้แล้ว”
เยี่ยหานที่ยืนอยู่ห่างๆ เห็นหญ้าเซียนในมือเขาแต่แรก แต่พอดูใกล้ๆ ก็ยิ่งตะลึง หญ้าเซียนสามต้นนั้นไม่มีส่วนไหนเสียหายเลย โดยเฉพาะส่วนราก ทำได้ถึงขั้นไม่มีเศษดินเกาะอยู่มากนักอีกทั้งยังสมบูรณ์ไม่สึกหรอ ที่สำคัญที่สุดคือ หญ้าเซียนทั้งสามต้นในมือเขานั้นล้วนเป็ขั้นหกทั้งสามต้น
ต้องรู้ก่อนว่า หญ้าเซียนยิ่งขั้นสูงยิ่งต้องระวัง หากพลั้งมือ หญ้าเซียนขั้นสูงก็เสียหายได้ง่าย
ก่อนหน้านี้ที่เขาหมายถึงคือ ให้พวกเราเลือกกันก่อน ถึงเวลาเดี๋ยวเขามาช่วยขุดให้เอง เพราะกลัวว่าพวกเขาจะทำความเสียหายกับส่วนราก แต่ดูจากตอนนี้ ความกังวลของเขานั้นไม่มีความหมาย
“เ้าเคยช่วยอาจารย์เ้าดูแลหญ้าเซียนมาก่อนหรือ?” จู่ๆ เยี่ยหานก็ถามขึ้น
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก ได้สติถึงรู้ว่าเขากำลังพูดกับตัวเองอยู่ พลันส่ายหัว “ไม่เคยขอรับ ข้าไม่เคยช่วยใครดูแลหญ้าเซียนมาก่อน”
เยี่ยหานกระตุกคิ้ว “แล้วเ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้พลังปราณิญญาในการขุดหญ้าเซียนขึ้นมา?”
โหยวเสี่ยวโม่ไม่อาจบอกความจริงกับเขาได้ จึงเอ่ย “ข้าเคยอ่านในตำรา ในตำราบอกว่าส่วนรากนั้นสำคัญมาก แต่ก็อ่อนแอมากเช่นกัน ดังนั้นตอนขุดหญ้าเซียนต้องระวังใช้พลังปราณิญญามาห่อหุ้ม ข้าเลยลองดู ปรากฏว่าขุดออกมาได้ อาจารย์อาเยี่ย มันมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
เื่ที่เขาชอบอ่านตำราคนส่วนมากก็รู้ ดังนั้นจึงไม่กลัวถูกจับได้
เยี่ยหานเห็นท่าทีระวังของเขา จึงใจอ่อน ปากนั้นเผยรอยยิ้มออกมาบาง “ไม่มี เ้าทำได้เยี่ยมมาก เป็คนที่ฉลาดที่สุดที่ข้าเคยเจอมา ดูท่าเ้านั้นมีพร์ทางด้านนี้พอสมควร”
โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดง เป็ครั้งแรกที่มีคนชมเขาว่าฉลาด ั้แ่เกิดมาจนถึงตอนนี้ ที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือหลิงเซียวบอกว่าเขาซื่อบื้อ แต่ก็รู้สึกละอายใจ อ่านตำราแค่ส่วนหนึ่ง เคยทำแล้วต่างหากคือเื่จริง!
หลิงเซียวได้ยินเช่นนี้ ยิ้มพลางจ้องโหยวเสี่ยวโม่สายตาลึกล้ำ
โหยวเสี่ยวโม่เองก็รู้สึกถึงสายตาของหลิงเซียว อายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี หากเยี่ยหานชมตอนไม่มีเขาอยู่ เขาคงพอยอมรับคำชมไว้ได้บ้าง แต่พอมาชมต่อหน้าเขาเช่นนี้ แถมเขาคนนี้ยังรู้ความจริงด้วย ความรู้สึกแบบนี้ รับก็ไม่ได้ จะไม่รับก็ไม่ได้อีก ช่างเลือกยากเสียจริง!
เยี่ยหานเข้าใจว่าเขาเขินอาย จึงรีบเอ่ยเชื้อเชิญ “ไม่รู้ว่า เ้าจะสนใจมาเรียนรู้ที่นี่หรือเปล่า?”
เอ๊ะ? โหยวเสี่ยวโม่ตะลึงเงยหน้าขึ้นมอง
หลิงเซียวที่อยู่ข้างกันก็ประหลาดใจ ในความจำนั้นเยี่ยหานไม่เคยรับศิษย์คนใดมาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่รับ และไม่ใช่เพราะเขาหัวสูง แต่เพราะนิสัยเขาแปลกประหลาด ดังนั้นจึงไม่มีใครที่เข้าตาเขามาก่อน
ฉะนั้นศิษย์แขนงโอสถไม่น้อยที่อยากแย่งชิงเป็ศิษย์ของเขา เพราะการเป็ศิษย์ของเขาก็เท่ากับว่าสามารถเข้ามาเขานทีเมฆาได้ ได้คลุกคลีกับหญ้าเซียนขั้นสูง มีแต่จะส่งผลดีต่ออนาคตของนักหลอมโอสถ
“แต่ แต่ว่า…ข้ามีอาจารย์แล้ว” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยติดขัด แต่ในใจก็สับสนมาก แน่นอนว่าเขาอยากอยู่ที่นี่ ที่นี่มีหญ้าเซียนมากมาย คิดเช่นนี้ ใบหน้าเขาก็มีความเศร้าเสียดาย
เยี่ยหานเห็นท่าทีเขาที่ไม่อยากปฏิเสธแต่ก็ต้องปฏิเสธเช่นนี้ ทนไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา “เอ่อ เ้าเข้าใจความหมายข้าผิดแล้ว ความหมายของข้าคือให้เ้ามาเป็ผู้ช่วยข้า ไม่เสียเวลาเ้ามากนักหรอก อีกทั้งเ้ายังสามารถมาเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากข้าได้ แน่นอน ข้าจะให้คะแนนทำความดีแก่เ้าวันละห้าสิบแต้ม เป็ไง จะเก็บไว้พิจารณาหน่อยมั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่มึน เขาถูกบุญหล่นทับใส่หัวจนมึนไปแล้ว
ตอนที่จากมา หลิงเซียวเป็คนอุ้มเขาออกมาเอง
