แสงอรุโณทัยแห่งรุ่งสางเปิดม่านโปร่งแห่งราตรีอันมืดมิดออกไป ปล่อยแสงสีอ่อนระยิบระยับ กลิ่นหอมกรุ่นยามค่ำคืนที่อบอวลไปทั่วสวนจิ้งซินกระจัดกระจายออกไป อากาศ ณ ขณะนี้ทั้งงดงามและสดชื่น มึนเมาคนยิ่งนัก
ตอนที่พวกเขาออกมาจากสวนจิ้งซิน แสงยามเช้าก็สีจางแล้ว ครั้งนี้มู่จื่อหลิงไม่เอะอะโวยวาย ให้ความร่วมมือในการขี่อาชาเปินเหลยแต่โดยดี
การขี่ด้วยกันหนึ่งครั้งก็นับว่าเป็การขี่ การขี่ด้วยกันสองครั้งก็นับว่าเป็การขี่ แม้มู่จื่อหลิงจะไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาหลายวันแล้ว แต่หลงเซี่ยวอวี่ผู้เป็โรครักสะอาดขั้นรุนแรงคนนี้ก็ไม่แยแส แล้วนางจะตั้งแง่ทำไมกัน
ชายหญิงมิอาจใกล้ชิด แต่สำหรับนางผู้เป็แพทย์ยุคปัจจุบันในโลกอันแปลกประหลาดนี้ ได้แต่ใช้คำสี่คำมาอธิบายเท่านั้น เื่ไม่เป็เื่!
ครั้งนี้ความเร็วของอาชาเปินเหลยช้านัก ตลอดทั้งทางหัวใจของมู่จื่อหลิงหนักอึ้ง ต่อให้ไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งคืน นางกลับไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เอาแต่นึกถึงเื่พิษกู่ของหลงเซี่ยวหนาน เื่อาการป่วยของหลี่เอิน
มู่จื่อหลิงไม่รู้ว่าตนเองเผลอนั่งคุดคู้อยู่ในอ้อมอกของหลงเซี่ยวอวี่ พิงหน้าอกกำยำของเขา และฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอย่างทรงพลังั้แ่ตอนไหน
มู่จื่อหลิงไตร่ตรองกับตนเองเงียบๆ ครู่หนึ่งจึงกะพริบตา ถามอย่างไม่รู้อันใดทั้งสิ้น “ท่านอ๋องวางแผนจะสืบเื่องค์ชายห้าถูกพิษกู่อย่างไร?”
สามตุลาการสืบเื่ของหลงเซี่ยวหนานบัดนี้แม้แต่เบาะแสเล็กน้อยก็ยังไม่มี แม้ยามนี้หลี่เอินก็ป่วยหนัก นางก็ไม่มีเวลามานั่งรอความตายอีก หากรู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่คิดจะตรวจสอบด้วยวิธีใด นางจะได้ให้ความร่วมมืออย่างดี!
นางไม่รู้ว่าหลังจากหลงเซี่ยวอวี่พานางออกมา ก็พานางกลับจวนอ๋องไปทันที แล้วยังไปส่งนางดูอาการป่วยของมารดานางถึงสวนจิ้งซินอย่างใจดี ทั้งหมดมีความหมายเช่นใดกันแน่
หลงเซี่ยวอวี่พูดในคุกหลวงว่า้าสอบสวนนาง แต่หลังจากที่เขาพานางออกมาจากคุกหลวง เพียงแค่ถามนางอย่างเดียวว่ากู่ในตัวหลงเซี่ยวหนานคือกู่ชนิดใด เื่อื่นก็ไม่พูดไม่ถามอีก
นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเสียจริง!
หลงเซี่ยวอวี่หลุบตาลงมองมู่จื่อหลิงที่กะพริบดวงตาคู่โตอย่างงงงวยในอ้อมกอด “เปิ่นหวางพูดั้แ่เมื่อใดว่าจะสืบ?”
มู่จื่อหลิงใและงุนงงยิ่งนัก เด้งตัวออกจากอ้อมอกของหลงเซี่ยวอวี่อย่างพรวดพราดแล้วนั่งตัวตรง!
ั์ตางามกระจ่างใสมืดแล้วมืดอีก อารมณ์เสียขึ้นมาในชั่วพริบตา
หมอนี่ไม่สืบ? เช่นนั้นเขาพานางออกมาจากคุกหลวงด้วยเหตุใด มิใช่เพราะเื่ของหลงเซี่ยวหนานหรือ? แต่ตั้งต้นจนจบเขาก็มิได้พูดว่าจะสืบเื่นี้จริงๆ!
ตอนนี้หลงเซี่ยวอวี่ไม่ตรวจสอบแล้วนางควรจะทำอย่างไรดี หากหลงเซี่ยวอวี่ไม่สนใจเื่นี้ แม้แต่ประตูวังเขาก็ไม่เข้าแล้ว ยังจะแก้ไขเื่ของหลงเซี่ยวหนานภายในสามวันได้อย่างไร? และจะไปรักษาโรคให้มารดาของนางได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงก้มศีรษะลงราวกับกำลังคิดสิ่งใดอยู่ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
“ท่านอ๋อง ตอนแรกเป็ท่านที่ให้หม่อมฉันไปรักษาองค์ชายห้า พระองค์พูดแล้วว่าจะปกป้องให้หม่อมฉันอยู่รอดปลอดภัย ฉีอ๋องผู้สูงส่งไม่อาจพูดไม่เป็คำพูด”
มู่จื่อหลิงก้มศีรษะลง ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง ขณะที่พูดในใจนางก็มีความขลาดกลัวเล็กน้อย ประโยคสุดท้ายจึงดูเหมือนจะมีเพียงนางที่ได้ยิน
แม้ว่าเมื่อก่อนนางจะเตือนสติตนเองอย่างหนักแน่น เื่ของตนเองต้องแก้ไขด้วยตนเอง ไม่อาจพึ่งพาผู้อื่น แต่ยามนี้พอคิดดูแล้วก็เหมือนนางจะคิดอย่างไร้เดียงสาเกินไป!
ตอนนี้เื่หลงเซี่ยวหนานโดนพิษกู่นั้นถูกทำให้ใหญ่โตจนเกินไป นางไร้อำนาจไม่มีอิทธิพล มีเหตุผลก็พูดได้ไม่ชัดเจน แค่ประโยคเดียวของฮ่องเต้ก็ทำให้นางตายได้แล้ว ง่ายดายเสียยิ่งกว่าบีบมดให้ตายอีก
นางรับมือไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในยุคสมัยแห่งพลังอำนาจ ไม่มีที่พึ่งพาอันแข็งแกร่ง จะขยับตัวแม้สักก้าวก็ช่างลำบากเหลือเกิน!
หลงเซี่ยวอวี่รั้งมู่จื่อหลิงเข้าไปในอ้อมกอดอย่างเป็ธรรมชาติ ถามกลับอย่างเรียบเฉย “ตอนนั้นเปิ่นหวางพูดว่าอย่างไร?”
มู่จื่อหลิงไม่ได้สังเกตถึงการกระทำของหลงเซี่ยวอวี่เลยแม้แต่น้อย พิงเข้าตามแรงดึง ลูบคางพลางครุ่นคิด ตอบด้วยเสียงแ่เบา “ตอนนั้นท่านอ๋องพูดว่า ขอเพียงรักษาหายก็ไม่มีคนทำอันใดเ้าได้”
“ยามนี้รักษาหายแล้ว?” หลงเซี่ยวอวี่ยังคงไม่เปลี่ยนโทนเสียงเช่นเดิม ถามอย่างราบเรียบ
“รักษา...” มู่จื่อหลิงเพิ่งอ้าปากจะพูดว่ารักษาหายแล้วก็ปิดปากทันที จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับตนเองตกลงไปในหลุมพรางแล้ว
นางรักษาโรคของหลงเซี่ยวหนานหายแล้วจริงๆ แต่เพราะยามนี้เป็เพราะหลงเซี่ยวหนานต้องพิษกู่ โรคทางสมองจึงกำเริบอีกครั้ง สามารถนับว่ารักษาหายได้หรือไม่?
ถ้านางพูดว่ารักษาหายแล้ว นอกจากตัวนางเอง ยังจะมีผู้ใดเชื่ออีก?
อีกอย่างตอนนี้หลงเซี่ยวอวี่ไม่สงสัยว่านางวางพิษกู่ในทันที นางควรจุดธูปหอมบูชาแล้ว ยังหน้าหนาพูดคำที่หลงเซี่ยวอวี่รับปากนางไว้ก่อนหน้าออกไปอีกได้อย่างไร
หลงเซี่ยวอวี่เห็นมู่จื่อหลิงอึกอักไม่กล้าพูด ริมฝีปากเย็นบางเฉียบจึงโค้งขึ้นในองศาที่คลุมเครือกำลังจะพูดสิ่งใด ก็ถูกมู่จื่อหลิงชิงตัดหน้าเสียก่อน
“ท่านอ๋อง ผู้ที่วางพิษกู่มิได้เพียงมุ่งเป้ามาที่องค์ชายห้าและหม่อมฉัน ยังมุ่งเป้าไปที่ท่านอ๋องด้วย ตอนแรกเป็ท่านอ๋องให้หม่อมฉันไปรักษาองค์ชายห้า หม่อมฉันคือฉีหวางเฟย ถ้าเกิดเื่ขึ้นกับหม่อมฉัน จวนฉีอ๋องก็ต้องได้รับการพัวพันเข้าไปด้วย เช่นนี้แล้วท่านอ๋องก็ยังไม่คิดจะสืบหรือ?”
มู่จื่อหลิงพูดด้วยความชอบธรรมอีกครั้ง เพียงแต่ยิ่งพูดท่าทีก็ยิ่งอ่อนลงเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็ขาดความมั่นใจไป ยังไม่พูดถึงที่นางเป็เพียงหวางเฟยในนามด้วย
และบุรุษผู้นี้ฐานะสูงส่ง อยู่ภายใต้คนเพียงหนึ่งคนแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น อำนาจก็แทบจะล้นฟ้า ไม่มีผู้ใดจะมาเทียบได้ เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างก็หวาดกลัว จวนฉีอ๋องจะถูกผลักล้มอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้หากเื่นี้เกี่ยวพันไปถึงจวนฉีอ๋องจริงๆ หลงเซี่ยวอวี่แค่ยื่นเท้ามาถีบหัวหวางเฟยในนามเช่นนางส่ง ให้นางจบชีวิตไปเพียงลำพัง แล้วเขาค่อยโยนความผิดออกไปให้พ้นตัวจนหมดจดไม่ง่ายกว่าหรือ จากนั้นจวนฉีอ๋องก็ไม่เป็อันใดแล้ว
หลังมู่จื่อหลิงพูดคำนี้จบ หลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่เอ่ยปากอยู่นาน ในใจนางจึงเริ่มมีความกังวลเล็กน้อย หลงเซี่ยวอวี่คงไม่คิดถีบหัวนางส่ง ให้ชีวิตนางดับสิ้นเองกระมัง!
หากเป็เช่นนี้จริงนางก็ควรหดหู่ใจ โต้ลมอย่างเงียบงัน น้ำตาไหลนองหน้า
มู่จื่อหลิงลอบแหงนศีรษะขึ้นมองที่ใบหน้าหล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่ด้วยจิตใจที่ไม่สงบ
เดิมทีแค่อยากจะมองว่ารู้สึกเช่นใด จะพูดสิ่งใดหรือไม่ แต่กลับไม่คิดว่าเพียงแค่เหลือบมอง ั์ตากระจ่างใสแวววาวของนางก็ถูกตรึงเอาไว้
ขณะนี้เองนางถึงรับรู้ว่าระหว่างนางและหลงเซี่ยวอวี่ใกล้กันยิ่งนัก อยู่ตรงหน้าไม่ไกลเกินเอื้อม!
เมื่อมองหลงเซี่ยวอวี่จากมุมนี้ ก็เป็รสชาติอันงดงามเหนือธรรมดาสามัญ เขาในขณะนี้ก็ยังคงหล่อเหลาอย่างยากที่จะจัดการได้!
ปลายคางที่ถือดีอย่างทรงอำนาจ ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนอันน่ามอง จมูกโด่งเป็สัน ขนตาหนาที่ทั้งดำและงอนยาว ใบหน้าเ็าหล่อเหลาดั่งรูปแกะสลักที่สมบูรณ์แบบ
หลงเซี่ยวอวี่ราวกับไม่รับรู้ั์ตาคู่งามในอ้อมกอดที่ทอประกายระยิบระยับเสียยิ่งกว่าแสงพริบพราวในระบบสุริยะขณะจับจ้องมาที่เขา สีหน้าของเขายังคงเฉยชาดั่งสายลม ทอดมองไปถนนด้านหน้าอย่างลุ่มลึกไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
หลังจากนั้นเป็เวลานาน หลงเซี่ยวอวี่จึงขยับปากเล็กน้อยเอ่ยด้วยความเฉยเมย “ในเมื่อเกิดเื่กับฉีหวางเฟยจนพัวพันไปถึงจวนฉีอ๋อง เช่นนั้นฉีหวางเฟยก็ควรมีความสามารถไปตรวจสอบด้วยตนเอง!”
เมื่อได้ยินคำพูดเ็าไร้ไมตรีนี้ มู่จื่อหลิงก็บอกอารมณ์ของตนเองออกมาไม่ถูก ทั้งใทั้งยินดี แต่ไม่ผิดหวัง ไม่ได้ไม่พอใจแม้แต่น้อย
แม้เปลือกนอกที่หลงเซี่ยวอวี่พูดนี้จะเฉยเมยไร้ความรู้สึกยิ่งนัก แต่นางกลับได้ยินคำตอบที่นางอยากฟังมากที่สุดแล้ว
แม้ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่สมองนางจะเปลี่ยนเป็ไม่ค่อยฉลาดสักเท่าใด แต่ครั้งนี้นางก็นับว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว
แม้หลงเซี่ยวอวี่พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาไม่คิดจะสืบด้วยตนเอง แต่ซ้ายก็ฉีหวางเฟย ขวาก็ฉีหวางเฟย แล้วให้นางตรวจสอบเอง นี่มิได้บอกว่านางมีที่พึ่งพิงเช่นจวนฉีอ๋องอยู่ สามารถขวัญกล้าไปตรวจสอบได้อย่างวางใจมิใช่หรือ!
ส่วนความสามารถนั้น? นางย่อมมีอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงความมั่นใจของนางที่เต็มเปี่ยม แล้วนางยังมีเสี่ยวไตกูผู้หลงรักกู่อ่อนไหวต่อหนอนอีกด้วย
มีที่พึ่งพิง แล้วยังมีเสี่ยวไตกูเป็ผู้ช่วย จากนี้นางอาศัยความสามารถของตนเองไปตรวจสอบก็ไม่เสียหน้าแล้ว!
มู่จื่อหลิงก้มศีรษะดีใจอย่างเงียบเชียบ ถึงหมอนี่จะเ็าไปหน่อย แต่ก็ยังอบอุ่นเป็บางเวลา
แม้นางจะได้รับความทรมานมาทั้งทาง แต่ถ้าไม่มีหลงเซี่ยวอวี่ นางก็ไม่รู้ว่าต้องกลุ้มอกกลุ้มใจไปอีกนานแค่ไหน
หากเวลานี้มู่จื่อหลิงสามารถเงยศีรษะไปมองหลงเซี่ยวอวี่ได้ นางจะต้องเห็นหลงเซี่ยวอวี่กำลังหลุบตาลงมามองนาง มุมปากของเขาโค้งเป็รอยยิ้มบางๆ ดังสายลมแ่ไร้ร่องรอย เป็ภาพที่สุนทรีย์ชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม!
น่าเสียดายที่นางสนใจเพียงความยินดีของตนเท่านั้น!
“ท่านอ๋อง ระยะนี้เล่อเทียนมีเวลาว่างหรือไม่?” ทันทีที่มู่จื่อหลิงอารมณ์ดีก็คิดจะตีเหล็กตอนที่ยังร้อน ถามออกไปทันที
แม้นางจะรู้ว่าได้คืบคิดจะเอาศอกเช่นนี้มิใช่สิ่งดี แต่อาการป่วยของหลี่เอินต้องให้เล่อเทียนช่วยเหลือ ตอนนี้จึงต้องถามแต่หลงเซี่ยวอวี่แล้ว มิเช่นนั้นนางจะไปหาเองที่ใดเล่า
คราที่ได้พบกับเล่อเทียน เล่อเทียนปั่นหัวนางไปเสียครึ่งวัน ทำให้นางถูกหลงเซี่ยวอวี่ตักเตือนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ถ้าครั้งนี้เล่อเทียนรับปากนางได้แล้วล่ะก็ นางก็จะไม่ถือสาหาความผู้น้อย ละเว้นเขาสักหนหนึ่ง
ถ้าเล่อเทียนที่กำลังรำไทเก๊กอยู่ไกลถึงอุทยานจื่อจู๋ในตอนนี้ รู้ว่าฉีหวางเฟยกำลังคิดละเว้นเขาด้วยความใจกว้าง เขาคงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เพียงแค่มู่จื่อหลิงถามไปโดยไม่ทันคิด ก็รู้สึกรอบกายหนาวเย็นขึ้นมาในทันใด!
มู่จื่อหลิงมิได้ใส่ใจสักเท่าใด แต่หลงเซี่ยวอวี่กลับไม่ตอบคำถามของนาง
มู่จื่อหลิงคิดว่านางพูดเสียงเบาเกินไป จึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีก “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเื่อยากขอความช่วยเหลือจากเล่อเทียน ่นี้เขา...”
คำพูดของมู่จื่อหลิงยังไม่ทันจบก็ถูกเสียงเย็นจากเหนือศีรษะตัดบทเสียก่อน
“เ้าจะพบเขาไปทำไม?” หลงเซี่ยวอวี่เลิกเรียวคิ้วขึ้น สีหน้าเย็นเยียบ และน้ำเสียงนั้นเ็ายิ่งขึ้นไปอีก
เขาไม่ลืมว่าหลายๆ ครั้งที่หญิงผู้นี้ได้พบกับเล่อเทียน ทุกครั้งล้วน ‘พูดคุยกันอย่างถูกคอ’!
ถ้าเป็มู่จื่อหลิงในยามปกติจะต้องรู้สึกตัวว่า ฉีอ๋องในตอนนี้กำลังจะ โม โห แล้ว!
แต่ตอนนี้นางคิดถึงเพียงโรคของหลี่เอินเท่านั้น ไม่ได้คิดไปมากมายเพียงนั้นแม้แต่น้อย ต่อให้ถูกพูดตัดบทนางก็ไม่คิดมาก
“อาการป่วยของท่านแม่หม่อมฉัน ต้องหาผู้ที่มีทักษะการแพทย์มาช่วยรักษา หม่อมฉันรู้ว่าฝีมือการรักษาของเล่อเทียนสูงส่ง จึงคิดเชิญเขามาช่วยเหลือ” มู่จื่อหลิงตอบอย่างเป็ธรรมชาตินัก
แต่มู่จื่อหลิงกลับไม่ทราบเลยว่า นางควรยินดีที่นางพูดคำว่า ‘ผู้มีทักษะการแพทย์’ ได้อย่างเป็ธรรมชาตินัก
ผ่านไปครู่ใหญ่
“จัดการเื่ในวังเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน!” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยปากอย่างเฉยเมย
เมื่อคืนนี้เขาย่อมเข้าใจโรคของหลี่เอินแล้ว จากที่สตรีผู้นี้ให้ความสำคัญกับอาการป่วยของมารดานาง ประกอบกับท่าทางสงบเยือกเย็นยามที่นางทำการรักษาแล้ว
หากเื่ในวังไม่จัดการให้เรียบร้อย คาดว่าสตรีผู้นี้คงมิอาจวางใจไปรักษามารดานางได้แล้ว
ในเมื่อหลงเซี่ยวอวี่กล่าวเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงมิได้พูดสิ่งใดอีก อย่างไรเสียนางก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องคลี่คลายเื่ของหลงเซี่ยวหนานเสียก่อน จากนั้นค่อยไปรักษาหลี่เอินที่สวนจิ้งซินอย่างวางใจ
-
ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงจวนอ๋อง หลงเซี่ยวอวี่ก็ถูกฮ่องเต้เหวินอิ้นเรียกตัวเข้าวัง มู่จื่อหลิงรู้ว่าที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นเรียกหาหลงเซี่ยวอวี่ในครั้งนี้ คงจะเป็เพราะเื่เมื่อวานที่หลงเซี่ยวอวี่พานางออกมาจากคุกหลวง
แต่ปัจจุบันฮ่องเต้เหวินอิ้นเพียงเรียกตัวหลงเซี่ยวอวี่เท่านั้น ยังไม่ได้ทำอันใดกับนางเพิ่ม คงไม่ส่งนางเข้าไปนั่งในคุกอีก
นางในตอนนี้ได้แต่นั่งรอหลงเซี่ยวอวี่กลับมาอย่างเชื่อฟังอยู่ที่จวนฉีอ๋องเท่านั้น จึงจะรู้ว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นคิดอันใดอยู่ จากนั้นนางถึงสามารถเข้าไปสืบคดีนี้ได้อย่างเปิดเผย