กลางดึกลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านโรงเกลากระบี่ปลาเค็มที่ตากอยู่ก็ปลิวไปตามแรงลมเหมือนกระดิ่งที่สวยงามจนยากจะบรรยาย
…
ปลาหลีฮื้อหลงหลิงและเนื้อัจำนวนหนึ่งรวมไปถึงฝักอ่อนของถั่วเหลืองและเครื่องปรุงอื่นๆถูกตุ๋นรวมกันในหม้อ ทั้งยังส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายออกมา
จ้าวห้าวเปิดขวดเหล้าที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหนจากนั้นพวกเราทั้งสามก็นั่งล้อมวงโดยมีหม้ออยู่ตรงกลางทั้งกินข้าวและทั้งดื่มเหล้าในเวลาเดียวกัน
“พี่เชวียน ท่านไปฝึกที่หุบเขาหลิงหยุนมาเป็อย่างไรบ้าง?” ซ้งเชียนถามไถ่ด้วยความใคร่รู้
“ตอนนี้ข้าบรรลุแล้วนี่ไง” ข้าว่าแล้วกำหมัดเบาๆพลังิญญาในร่างกายก็ไหลเวียนอย่างแข็งแกร่ง“ข้าเข้าขั้น์ั้แ่ตอนบ่ายแล้วล่ะ แต่ก็ได้าเ็ด้วยเช่นกันยังโชคดีที่สังหารเ้าัดินหลังเหล็กตัวนั้นได้”
จ้าวห้าวขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้น“ัดินหลังเหล็กข้าก็เคยเจอมาเหมือนกันมันเป็าาของสัตว์ิญญาระดับห้าที่มักอยู่ในห้าหุบเข้าชั้นนอกหรืออาจจะอยู่ชั้นหกบ้างประปราย นึกไปถึงว่าจะไปโผล่ที่ชั้นเจ็ดได้”
“น่าจะเพราะหลงทางมั้ง”
“ในตอนนั้นกลุ่มของพวกเราล้วนอยู่ในขั้นเทวิญญาทั้งสามคนช่วยกันสังหารัดินที่โตเต็มที่แต่ทำได้เพียงทำร้ายให้าเ็เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าพวกเ้า...นึกไม่ถึงเลยจริงๆ”
จ้าวห้าวที่พูดอยู่สายตาบ่งบอกถึงความนับถือ
ข้ายิ้มบางๆก่อนจะพูดไป “มันก็ต้องมีกลยุทธ์ในการลงมือนิดๆ หน่อยๆไม่อย่างนั้นพวกข้าคงสังหารมันไม่สำเร็จ” ข้าว่าแล้วหันไปถามซ้งเชียน “เสี่ยวเชียนเ้ามีแววว่าจะบรรลุขั้นเบิกิญญาหรือยัง?”
“เหมือนจะมี แต่ก็ไม่มี” ซ้งเชียนว่าพลางลูบหัว
ข้าได้ยินแบบนั้นก็พูดขึ้น“ยังไงวันนี้เ้าก็กลับไปไม่ได้แล้ว งั้นก็อย่าเพิ่งหลับแล้วกันอยู่เป็เพื่อนข้าฝึกฝนก่อนข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าเ้าจะบรรลุขั้นแรกอย่างการเบิกิญญาไม่ได้!”
จ้าวห้าวที่ได้ยินก็พูดสมทบ“ถ้าอย่างนั้นข้าฝึกด้วยแล้วกัน!”
ซ้งเชียนถามขึ้นด้วยความสงสัย“ข้าจะบรรลุได้จริงๆ เหรอ?”
“แน่นอนสิ!”
ข้าบอกก่อนจะพูดต่ออย่างจริงจัง“มีเพียงแค่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เ้าถึงจะไม่โดนรังแก!”
“ได้ ข้าจะอยู่!”
…
หลังจากดื่มเหล้าขาวหมดไปหนึ่งขวดกับเนื้อจนอิ่มข้าจึงอาศัย่ที่ยังกรึ่มๆ ลุกขึ้นฝึกฝนเมื่อเริ่มใช้พลังจนมันแผ่ซ่านออกมาจากร่างก็ทำให้ซ้งเชียนถึงกับตะลึงไปพักหนึ่งเหมือนกัน
การฝึกฝนของจ้าวห้าวยิ่งแปลกและป่าเถื่อนเพราะเขาชกหมัดไปข้างหน้าด้วยเพลงหมัดที่ไร้รูปแบบ ทว่าทุกๆหมัดที่พุ่งออกไปก็จะก่อตัวเป็พลังิญญาที่แข็งแกร่งซึ่งเป็การฝึกฝนของคนที่มีพละกำลังอันแก่กล้ามาแต่กำเนิดเพราะการฝึกฝนไม่จำเป็ต้องใช้จิตใจที่แน่วแน่แค่อาศัยเพียงเหวี่ยงหมัดออกไปเพื่อฝึกฝนแทน
พอเทียบกับพลังของจ้าวห้าวพลังของข้านั้นดูจะหนักแน่นกว่าเล็กน้อยเมื่อตั้งพลังพื้นฐานเรียบร้อยทั้งร่างก็มีพลังของเคล็ดวิชาาอย่างพลังแปดกระบี่ร้างแผ่ออกมาทั้งที่ตอนแรกกลับนิ่งไร้การเคลื่อนไหว แต่ในความเป็จริงภายในกลับมีพลังิญญาที่ไหลวนเวียนอย่างอิสระ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรจู่ๆ เสียง ‘อ๊าก!’ ก็ดังขึ้นมาจากซ้งเชียนที่กำลังตั้งท่าอยู่ดูเหมือนว่าเข้ามาถึงจุดสำคัญแต่ยังไม่สามารถบรรลุได้
“ฝืนกัดฟันหน่อย แล้วเดี๋ยวก็จะบรรลุเอง”
ข้าหันไปวางมือบนบ่าก่อนจะปล่อยให้พลังของแปดกระบี่ร้างไหลผ่านมือไปยังร่างกายของเขาจึงได้รู้ว่ามีกำแพงสูงปิดกั้นเอาไว้ มิน่าล่ะ!ทำไมหลายปีมานี้เขาถึงไม่บรรลุสักทีที่แท้แม้แต่เส้นลมปราณระดับมนุษย์ก็ยังไม่ถูกทะลวงเลยด้วยซ้ำ
หากเป็เมื่อก่อนตอนที่ข้ายังไม่มีพลังการสังเกตจากวิชาลมหายใจัคงจะมองไม่เห็นแต่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่
ข้าส่งพลังผ่านฝ่ามือเข้าไปด้วยพลังของแปดกระบี่ร้างเพื่อทะลวงข้อจำกัดของซ้งเชียนเพียงไม่นานเขาก็ส่งเสียงร้องอีกครั้ง “ให้ตายเถอะ!มันช่างเป็ความรู้สึกที่พิเศษ...เป็ความรู้สึกที่ทำให้ข้ารู้สึกดีมากจริงๆ”
จ้าวห้าวที่ได้ยินพูดขึ้นอย่างยินดี“ดีใจด้วยนะเ้าอ้วน ในที่สุดก็บรรลุขั้นเบิกิญญาและเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสักที!”
ซ้งเชียนสูดหายใจเข้าลึกและไม่ได้สนใจที่มีคนเรียกตัวเองว่าเ้าอ้วนแต่กลับพูดขึ้นมาอย่างมีความสุข“ขอบคุณมาก พี่เชวียน”
ข้าส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา“คนกันเองทั้งนั้น เ้าจะมัวแต่ขอบคุณอะไรกันเป็เพราะข้ายังไม่แข็งแกร่งพอจึงไม่รู้ว่าเ้าไม่ได้ทะลวงปราณิญญา”
ซ้งเชียนพยักหน้า“ถ้าอย่างนั้นข้าฝึกต่อเลยนะ”
“อืม”
ขณะที่ซ้งเชียนฝึกฝนข้าก็กลับมาสนใจเคล็ดวิชาาต่อเช่นกันผ่านไปไม่นานก็รู้สึกถึงพลังในเส้นลมปราณที่กำลังจะะเิออกมาดูเหมือนว่าข้าก็กำลังจะบรรลุไปอีกขั้นแล้ว!
เปรี๊ยะ!เปรี๊ยะ! ...
แขนทั้งสองข้างถูกปกคลุมด้วยไอเย็นคล้ายกำลังจะจับตัวเป็น้ำแข็งพร้อมกับพลังิญญาที่เพิ่มขึ้นและในจังหวะที่ข้าจะปล่อยพลังออกไป พลังิญญาก็เกิดเป็ประกายสีเขียวมรกตอ่อนๆพุ่งทะยานไปบนฟ้า เกิดเป็เสียงกระบี่ที่กำลังแหวกว่ายผ่านอากาศเป็สัญญาณให้รู้ว่าความสามารถในการควบคุมพลังได้เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว
การที่เก่งกาจแต่ไม่ได้อวดเก่งต่างหากถึงจะเป็อาวุธที่ดีที่สุด
และสิ่งที่พูดมาทั้งหมดคือ‘พลังซ่อนกระบี่เทพ’ พลังที่เกิดจากการฝึกฝนระดับกลางในเคล็ดวิชาาสำเร็จ
หลังจากลมปราณลดลงไปมากข้าจึงผ่อนลมหายใจออกยาวๆ แล้วหยุดการพักชั่วขณะเพราะข้อเสียของการฝึกเคล็ดวิชานี้คือการสูญเสียพลังจำนวนมากฉะนั้นข้าจึงทำได้เพียงกัดโสมโลหิตสามร้อยปีเข้าไปคำใหญ่ และกลับไปฝึกฝนต่อ
…
แสงของวันใหม่สาดส่องเข้ามาอีกครั้งข้าลุกขึ้นไปต้มซุปปลาหลีฮื้อหลงหลิงกับเนื้อัอีกรอบ หลังจากกินเสร็จจึงก็แยกย้ายกันไปโดยสองคนนั้นไปเรียนส่วนข้าที่ไม่มีอะไรทำก็อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะไปให้อาหารไก่แล้วพักผ่อนร่างกาย
ตื่นมาแบบสดชื่นอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาถึงบ่ายสามโมงแล้ว
พอเห็นแบบนั้นจึงรีบม้วนเอ็นัที่ยาวกว่าสามเมตรใส่ถุงและมุ่งหน้าไปยังถนนปู้สิงนอกสำนัก
ระหว่างทางก็ทำการสอบถามพ่อค้าที่ขายพวกวัตถุดิบได้ความว่าเอ็นัขายอยู่ที่ขีดละประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันเหรียญหลงหลิงและน่าจะเป็ราคาที่สูงที่สุดในตอนนี้ซึ่งข้ามีเอ็นัอยู่ประมาณห้ากิโลขึ้นไปคาดว่าจะขายได้เงินมากโขทีเดียว
“มาแล้วเหรอพ่อหนุ่ม เชิญๆๆ”
เถ้าแก่อ้วนรีบออกมาต้อนรับเหมือนข้าเป็เทพเทวดาก่อนจะยิ้มพลางพูดขึ้น“ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ เพราะครั้งก่อนที่ท่านเอาจินตานมาขายที่ร้านเราขายได้ตั้งสองหมื่นเหรียญเชียวนะ ไม่ทราบว่าครั้งนี้ท่านเอาของดีอะไรมาอีกล่ะ?”
ข้ายกยิ้มขึ้นบางๆและรับชาที่พนักงานขายนำมาเสิร์ฟ แล้วจึงหยิบของออกมาวางบนแท่นไม้ที่สะอาดหมดจดก่อนจะเข้าเื่ “ข้า้าขายเ้านี่...”
“นี่คือ?...” เถ้าแก่ถามสีหน้าตื่นใ“นี่คือสิ่งที่ถูกเล่าขานต่อกันมาอย่างเส้นเอ็นของัอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง มันคือเอ็นัดินหลังเหล็กาาแห่งสัตว์ิญญา”ของปกติที่มีคำว่า ‘ราคา’ เข้าไปมันย่อมมีราคาที่สูงขึ้นตามเพราะผู้ฝึกฝนในนั้นเทวิญญาต้องยอมเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลกแบบนี้ราคาก็ต้องสูงกว่าเป็ธรรมดา
“พ่อหนุ่ม...ท่านคิดจะขายเ้าเอ็นัเส้นนี้อย่างนั้นหรือ?” เขาถามเพื่อความแน่ใจ
“อืม เ้าเสนอราคามาสิ” ข้าพูดขึ้น
เถ้าแก่สีหน้าหน้าครุ่นคิด“ท่านเป็ลูกค้าประจำ ทั้งยังสนใจร้านเล็กๆ ของเราอีกเอาแบบนี้แล้วกัน...ทางร้านจะรับซื้อเอ็นัดินระดับาาในราคาขีดละหนึ่งหมื่นสามพันเหรียญเ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
“หนึ่งหมื่นสามพันเหรียญ?” ข้าพยายามเก็บซ่อนความดีใจที่กำลังจะล้นทะลักออกมา
“หรือจะต่ำเกินไป?...” เขาไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะเสนอราคาต่อ“อย่างนั้นก็...ขีดละหนึ่งหมื่นสี่พันเหรียญ เ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ตกลง!”
“อย่างนั้นก็ดี...” เขาบอกก่อนจะหันไปหาพนักงาน “อาเฟย เอาไปชั่ง!”
พนักงานรับเอ็นัที่ยังมีความร้อนอยู่ขึ้นชั่งไม่นานก็แสดงตัวเลขออกมา “เถ้าแก่ 5.3 กิโลกรัมขอรับ!”
“อืม ทั้งหมดก็เจ็ดแสนสี่หมื่นสองพันเหรียญหลงหลิงท่านพอใจกับราคาไหมพ่อหนุ่ม?” เขาถามขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนถูกเลาะเนื้อ
“ข้าต้องพอใจอยู่แล้ว”
“ข้าจะโอนเงินให้ท่านเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังจากนั้นไม่นานพอมีเงินอยู่ในมือข้าก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็คนรวยขึ้นมาทันทีในเมื่อมีเงินก็ควรจะไปเดินเล่นดูของล้ำค่าที่ถนนปู้สิงนี้สักหน่อย!
…
เมื่อเดินเข้าไปในร้านขายอาวุธหลังใหญ่ก็พบว่ามีคนราวๆ ยี่สิบคนซึ่งเป็พวกองครักษ์ที่มีพลังอันแข็งแกร่งและบางคนก็อยู่ในนั้นเทวิญญา พอเห็นแบบนี้ก็รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องไม่ใช่ร้านธรรมดาทั่วไปจึงเงยหน้าขึ้นมองคำว่า ‘หอเจ็ดเทพ’ ที่ห้อยอยู่้าซึ่งองครักษ์ระดับสูงมักจะมาเลือกหาสินค้ากันเป็เื่ปกติ
พนักงานสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม“ไม่ทราบว่าท่าน้าอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าว่าจะมาดูอาวุธิญญาสักหน่อย”
“ได้สิ เชิญท่านตามข้ามาเลย”
ข้าเดินตามนางเข้ามายังชั้นวางที่มีอาวุธิญญาั้แ่ระดับเทาไปจนถึงระดับเงินวางเรียงรายละลานตาที่สำคัญยังมีอาวุธิญญาระดับทองที่วางอยู่ใจกลางของร้านด้วยต้องเป็คนมีเงินถึงจะสามารถมาดูอะไรแบบนี้ได้สินะข้าเดินดูมันไปทีละอย่างแบบเงียบๆ
“ไม่ทราบว่าท่านอยากจะได้อาวุธิญญาระดับไหนกัน?” นางถามพลางยิ้ม
“ข้าขอดูก่อนแล้วกัน” ข้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงด้านในสุดของร้านขณะนั้นมีองครักษ์สี่คนกำลังยืนล้อมตู้กระจกซึ่งภายในมีกระบี่เล่มยาววางอยู่แม้จะอยู่ในปลอกแต่ก็ััได้ถึงพลังอันที่แผ่ซ่านออกมานึกไม่ถึงว่าในร้านจะมีอาวุธิญญาระดับดาวที่มีเพียงไม่กี่อันในแผ่นดินใหญ่หลงหลิงแห่งนี้
นางที่เหมือนจะเห็นว่าข้ากำลังตกตะลึงจึงเริ่มอธิบาย“กระบี่อัญมณีสัตตะ เป็อาวุธที่หลงเหลือจากาของเจ็ดเทพ และนี่เป็ที่มาของชื่อร้านว่าหอเจ็ดเทพ”
ข้าถอนหายใจออกมายาวๆก่อนจะพูดขึ้น “ดูเหมือนว่ากระบี่เล่มนี้จะไม่ได้มีไว้ขายสินะ”
นางหัวเราะออกมาเล็กน้อย“ก็ใช่ แต่ว่า...ถ้าท่านพ่อคิดจะขายกระบี่เล่มนี้จริงๆก็คงจะต้องขายหอเจ็ดเทพนี้ด้วย”
“หา?”
ข้าถึงกับชะงักแล้วมองนางอย่างมึนงงจริงๆ แล้วนางไม่ใช่พนักงานของร้านหรอกเหรอ
นางยิ้มก่อนจะยื่นมือออกมา“ข้ามีนามว่าหยางเซี้ยน เป็ลูกสาวเ้าของหอเจ็ดเทพแห่งนี้ แล้วท่านมีนามว่า?...”
ข้ายื่นมือออกไปจับตามมารยาทและกล่าวแนะนำตัว “ปู้อี้เชวียน”
“ฮะ?” นางถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินชื่อนี้“ท่านเองหรอกเหรอที่ชื่อปู้อี้เชวียน?”
“ทำไม ข้าโด่งดังขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แฮ่ๆ ก็ไม่ขนาดนั้น” นางเม้มปาก แล้วปรายตามองอย่างมีเลศนัย“เพราะทางร้านให้บริการศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาโดยเฉพาะจึงพอจะรู้เื่ในนั้นอยู่บ้าง ส่วนเื่าอึกับสามปราชญ์แห่งจวี๋ฉีของเ้า...จริงๆก็ไม่เท่าไร แต่เื่ที่ทำให้ข้ารู้จักเ้าจริงๆเพราะเ้าเป็น้องชายของปู้เสวียนยิน ข้าจึงคิดว่าเ้าต้องฝีมือไม่ธรรมดา...”
ข้าพูดขึ้นอย่างไม่ชอบใจเล็กๆ“มันดูเหมือนไม่ใช่คำชมเลยสักนิด...ถ้าอย่างนั้นเ้าช่วยพาข้าไปดูอาวุธของผู้ฝึกฝนิญญาประเภทซัพพอร์ตจะได้หรือเปล่า?”
“ได้สิ อยู่ทางนี้”
นางพาข้าเดินไปอีกทางก่อนจะอธิบายอาวุธแต่ละชิ้นอย่างคุ้นเคย“ปลอกแขนเมฆเจ็ดสีเป็อาวุธิญญาระดับทองที่สามารถรักษาพลังไม่ให้เล็ดลอดออกสู่ภายนอกอันนี้เป็สร้อยจันทร์บริสุทธิ์อาวุธิญญาระดับเงินที่ทำให้พลังของผู้ฝึกฝนิญญาเพิ่มขึ้นและอันนี้คือสร้อยหินกระจกเมฆา เป็อาวุธิญญาระดับเงินเมื่อห้อยมันไว้ที่หน้าอกจะทำให้ผู้นั้นจิตใจแน่วแน่และสามารถฝึกฝนได้เร็วขึ้นและก็อันนี้...”
“เดี๋ยวก่อน...”
ข้าว่าพลางเดินเข้าไปใกล้แล้วหยิบสร้อยหินกระจกเมฆาขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้