หลังจากที่ชิงอีออกมาจากวังเฟิ่งเทียน ทุกสายตาก็ต่างจับจ้องมาที่นาง และพยายามจะคาดเดาเหตุการณ์จากใบหน้าของนาง หลังจากฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา คนที่้าสนทนาด้วยกลับไม่ใช่องค์รัชทายาท แล้วก็ไม่ใช่องค์ชายจือหลิง ทว่ากลับกลายเป็องค์หญิงใหญ่ผู้ที่ไม่เป็ที่โปรดปรานงั้นหรือ?
หรือว่าจะพูดถึงการอภิเษกสมรสกับเซ่อเจิ้งอ๋องกันนะ?
“เขาบอกให้ท่านเข้าไป” เมื่อชิงอีเดินมาอยู่ข้างๆ เซียวเจวี๋ยก็พูดด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินไป
สีหน้าของเหล่าขุนนางด้านนอกเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดถึงการอภิเษกสมรสกันจริงๆ!
สีหน้าของฮองเฮาตู้ดูไม่ดีขึ้นมาทันใด หากฮ่องเต้เหยียนกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม อิทธิพลตระกูลตู้ของนางในราชสำนักจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน และถ้าชิงอีกับเซียวเจวี๋ยแต่งงานกัน ตระกูลตู้ของนางก็จะใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันได้อย่างยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังมีเื่คนชั่วที่สร้างความโกลาหลและยังหาตัวร้ายไม่พบอีก!
ฮองเฮาตู้รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย จึงมองหาตู้หรู่ฮุ่ยโดยไม่รู้ตัว ทว่า กลับเห็นว่าพี่ชายของตนก้มหน้าอยู่ตลอด ไม่แม้แต่จะมองนาง ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
เมื่อฉู่จื่ออวี้เห็นชิงอีหันหลังเดินกลับไป เขาอยากที่จะตามไปให้ทัน ทว่า ก็ยังกังวลอาการป่วยของเสด็จพ่อ จึงทำได้แค่เพียงยืนรออยู่ที่เดิมต่อไป
ผ่านไปไม่นาน เซียวเจวี๋ยก็ออกมา
“พระวรกายของฝ่าายังไม่แข็งแรงดี เหล่าขุนนางทั้งหลายกลับไปก่อนเถิด” เซียวเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เหล่าขุนนางทำได้เพียงก้มคำนับ ทว่า ในตอนที่แต่ละคนเดินออกไปก็รู้สึกมีชีวิตชีวากันขึ้นมา ตอนนี้ฮ่องเต้ก็ทรงฟื้นแล้ว สถานการณ์ในราชสำนักก็น่าจะกลับมาสงบดั่งเดิมอีกครั้ง
“ฮองเฮาก็โปรดเสด็จกลับไปก่อนเถิด”
ฮองเฮาตู้ที่้าเข้าไปดู เมื่อได้ยินคำพูดนี้จึงทำได้แค่เพียงออกไปเท่านั้น ทว่า ในตอนที่ฉู่จือหลิงเดินออกไป เขาก็จงใจเดินเข้ามาคารวะต่อหน้าเซียวเจวี๋ย
“เซ่อเจิ้งอ๋องมียุทธวิธีในการทำาที่ยอดเยี่ยม หากท่านพอมีเวลา ช่วยชี้แนะข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
เซียวเจวี๋ยมองเขาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “องค์ชายหลิงก็กล่าวเกินไป หากมีเวลาแน่นอนว่าย่อมได้อยู่แล้ว”
ฉู่จือหลิงพยักหน้าแล้วเดินออกไปอย่างพึงพอใจ
ฮองเฮาตู้ที่รออยู่ไม่ไกล หลังจากที่เขาเดินไปถึงก็พูดขึ้นมาว่า “เซียวเจวี๋ยนั่นเป็คนของวังฝั่งตะวันออก เ้าไปขอคำแนะนำจากเขา เ้าจะไปได้อะไรล่ะ!”
“เสด็จแม่ แม้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะสนิทสนมกับองค์รัชทายาท ทว่า เขาก็เป็คนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง หากลูกได้สนิทใกล้ชิดกับเขา มันก็ไม่ใช่เื่เลวร้ายอะไร” ฉู่จือหลิงยิ้ม
ฮองเฮาตู้มองลูกชายของนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสารและความรัก เมื่อนึกถึงความลำเอียงของฮ่องเต้เหยียนแล้ว ก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง
“ลูกที่น่าสงสารของแม่ เ้าไม่ต้องห่วงนะ แม่จะเอาทุกอย่างที่เป็ของเ้ามาให้เ้าเอง!”
ฉู่จือหลิงยิ้ม “เสด็จแม่ ข้าไม่สนใจเื่พวกนั้นแล้ว”
“เ้านี่ มันไร้เดียงสาเกินไปแล้ว” ฮองเฮาตู้ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ
ฉู่จือหลิงที่ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่า เมื่อหลุบตาลงก็มีความทุกข์พาดผ่านในแววตาของเขา
“พี่ใหญ่เซียว ที่เสด็จพ่อเรียกท่านกับฉู่ชิงอีเข้าไป สรุปแล้วพวกท่านคุยเื่อะไรกันแน่?” ฉู่จื่ออวี้ที่เดินตามเซียวเจวี๋ยอยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาด้วยความกังวล
เซียวเจวี๋ยเหลือบมองไปที่เขาและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ไม่เรียกนางว่าพี่หญิงแล้วหรือไร?”
ฉู่จื่ออวี้พูดด้วยความรู้สึกเขินอายและหงุดหงิดเล็กน้อย “ท่านนี่เหมือนหญิงสาวคนนั้นจริงๆ ชอบล้อเลียนคนอื่น”
แววตาของเซียวเจวี๋ยที่มองไปยังเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย ฉู่จื่ออวี้ก็รีบจริงจังขึ้นในทันที และเปลี่ยนคำพูดของเขา “สรุปคุยเื่อะไรกันแน่ ใช่เื่การอภิเษกของท่านกับพี่หญิงของข้าหรือไม่?”
เซียวเจวี๋ยหลับตาลง ความจริงแล้วก็พูดถึงการอภิเษกด้วยเหมือนกัน
“อืม”
“ทรงหารือเื่วันอภิเษกของพวกท่านใช่หรือไม่?” ฉู่จื่ออวี้พูดด้วยความตื่นเต้น
“องค์รัชทายาทหวังให้กระหม่อมอภิเษกกับองค์หญิงจริงๆ งั้นหรือ?”
ฉู่จื่ออวี้นิ่งงันไปชั่วขณะ ความคิดในใจของเขาถูกเปิดเผยออกมา จึงทำให้เขารู้สึกอายเล็กน้อย จึงพูดออกไปอย่างหนักแน่นว่า “จะเป็ไปได้อย่างไร! ข้าเคยบอกแล้วไงว่าท่านไม่คู่ควรกับนาง”
“อืม ดังนั้น กระหม่อมเลยปฏิเสธที่จะอภิเษกไป” เซียวเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อะไรนะ?” ฉู่จื่ออวี้หยุดอยู่กับที่ด้วยความใ เซียวเจวี๋ยที่ยังคงเดินไปข้างหน้า เขาจึงรีบตามไปให้ทันและดูกังวลเล็กน้อย “เหตุใดท่านถึงปฏิเสธที่จะอภิเษกล่ะ?”
เซียวเจวี๋ยมองเขาด้วยสายตาที่ลึกล้ำ
ตอนนี้ฉู่จื่ออวี้ไม่สนใจเื่ขายหน้าของตัวเองอีกต่อไปแล้ว เขากัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ไม่สิ...เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าท่านเป็คนพูดเองหรือไรว่า้าอภิเษกกับนาง? ท่านกับนางผ่านความเป็ความตายมาด้วยกันที่วัดตงหวา ตอนนี้ในวังต่างลือกันว่าพวกท่านทั้งสองเข้าใจกันดีแล้ว หากท่านปฏิเสธที่จะแต่งงานในตอนนี้ เช่นนั้นในอนาคตผู้อื่นจะมองนางอย่างไรล่ะ จะมีใครกล้ามาอภิเษกกับนางอีก?!”
เซียวเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “ตอนนี้ท่านก็ยังไม่ห่วงใยนางอีกหรือไร?”
สีหน้าของฉู่จื่ออวี้แดงก่ำด้วยความหงุดหงิดขึ้นทันใด พร้อมกับกระทืบเท้าเหมือนเด็กน้อย
“พี่ใหญ่เซียว ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ ตั้งใจแกล้งข้าใช่ไหม?”
“ไม่” เซียวเจวี๋ยพูดอย่างจริงจัง ทว่า รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ปิดบังไว้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน “เป็เื่จริงที่ฝ่าาทรงกล่าวถึงการอภิเษก เพียงทว่าคำตอบของข้าคือ...”
“คืออะไร?”
เซียวเจวี๋ยไม่ได้พูดออกมา
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นตนเองถึงได้ตอบออกไปเช่นนั้น
เขาควรที่จะปฏิเสธ
คำพูดนั้นอยู่ที่ริมฝีปากแล้วเชียว ทว่า ยังต้องใช้เวลาคิดทบทวน
มีอะไรที่ต้องคิดทบทวนอีกด้วยหรือไร? นางเป็น้องสาวของเย่เหยียนนะ...
ในขณะที่เซียวเจวี๋ยยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ฉู่จื่ออวี้ก็เกาหูเกาแก้มอย่างกังวลใจ “ยังมีอะไรอีกไหม เสด็จพ่อไม่ได้ตรัสอย่างอื่นเลยหรือ?”
“พระวรกายของฝ่าายังฟื้นตัวไม่เต็มที่”
เมื่อฉู่จื่ออวี้เห็นท่าทางของเซียวเจวี๋ยแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเพราะตนเองเดาไม่ออกว่ามันคืออะไร
“ไข่มุกสองเม็ดที่องค์หญิงมอบให้ท่านวันนี้อยู่ที่ไหน?” เซียวเจวี๋ยที่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา
ฉู่จื่ออวี้ล้วงดึงออกมาจากแขนเสื้อของตนเอง “ท่านหมายถึงสองอันนี้หรือ?” เขาเล่นอยู่ครู่หนึ่งและขมวดคิ้ว “ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย นางคงไม่ให้สิ่งนี้กับข้าเพราะ้าดูถูกข้าหรอกใช่ไหม? ใครจะไปเล่นลูกแก้วกันอยู่อีก!” เขาอยากจะพูดมากกว่านี้อีก ทว่า ก็ถูกเซียวเจวี๋ยหยุดเอาไว้
“นี่คือน้ำใจขององค์หญิง องค์รัชทายาททรงเก็บมันไว้ให้ดีเถิด”
ฉู่จื่ออวี้ที่กำลังจะกลับคำพูด ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขาก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว และใส่ไข่มุกกลับไปในแขนเสื้อ บ่นอยู่ในใจว่ามันเป็แค่ลูกปัดไข่มุกสองเม็ดที่นางเก็บมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็เท่านั้น พี่ใหญ่เซียวต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ?
“กระหม่อมคงไม่สามารถอยู่กับองค์รัชทายาทต่อได้ ทางฝั่งกรมกลาโหมยังมีเื่อีกเล็กน้อย เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา” เมื่อพูดจบเซียวเจวี๋ยขอตัวออกไป
ฉู่จื่ออวี้พยักหน้า ทว่าเมื่อมองไปยังทิศทางที่เขากำลังจะไป...
ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางไปกรมกลาโหมนะ?
...
เมื่อชิงอีกลับไปที่ตำหนักเชียนชิวก็ปิดประตูไม่พบใคร แม้กระทั่งอาหารกลางวันก็ไม่ให้นำมา เถาเซียงและคนอื่นๆ จึงเป็กังวล ข่าวที่นางคุยกับฝ่าาตามลำพังนั้นได้แพร่กระจายไปทั่ววังหลวง เมื่อเห็นท่าทางที่หดหู่หงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวาของนางหลังจากกลับมาแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่คิดว่านางถูกโดนตำหนิ จึงอกสั่นขวัญแขวนตามไปด้วย
ภายในห้อง องค์หญิงที่ทุกคนเป็ห่วงนั้นกำลังนอนอยู่บนเตียง โดยยกขาไขว้กัน พร้อมกับกินถั่วลิสงอย่างเอื่อยเฉื่อย
“เป็อะไรไปล่ะ เสด็จพ่อของท่านคุยอะไรเป็การส่วนตัวกับท่านล่ะ?” เ้าแมวอ้วนะโข้ามมา พร้อมกับแววตาหยอกล้อ
ชิงอีกลอกตา “เสด็จพ่อ? เ้าเองก็คงอยากอายุสั้นเหมือนตาแก่นั่นสินะ”
นางเกิดมาเพียงลำพัง ในโลกนี้ใครหน้าไหนกล้าบอกว่าเป็พ่อของนางกัน?
“สรุปแล้วคุยว่าอะไรกันแน่?” เ้าแมวอ้วนถาม ด้วยนิสัยของชิงอีที่มันรู้ดีที่สุด และพฤติกรรมของนางในวันนี้ดูผิดปกติเป็อย่างมาก อีกฝ่ายต้องพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้นางสนใจได้ขนาดนี้
ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยุดเคี้ยว “ประเดี๋ยวเ้าต้องกลับลงไปข้างล่าง”
“ฮะ?” เ้าแมวอ้วนถึงกับใ
“ไปขโมยบัญชีเกิดตายของมนุษย์มา”
เ้าแมวอ้วน :!!!
