เล่มที่ 2 บทที่ 45
มู่หรงฉิงจับมือของเฉินเทียนหยูเพื่อรักษาความมั่นคงในจิตใจ จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงซึ่งแสดงถึงความคับข้องใจของยวี้เอ๋อร์ “หลังจากไปสารภาพผิดต่อผู้าุโ บ่าวก็เห็นแม่นมสองคนเข้ามาในห้องพร้อมกับแตงโม หลังจากบ่าวกินข้าวเสร็จ ถึงได้สับเปลี่ยนเวรมาดูแลรับใช้ฮูหยินน้อยแทนแม่นม ในเวลานั้นฮูหยินน้อยหลับไปแล้ว คุณชายรองมาทีหลังและไม่ว่าอย่างไร คุณชายก็บอกว่า้าพักกลางวันกับฮูหยินน้อยให้ได้ บ่าวคิดว่า ใน่สองวันนี้คุณชายรองก็พักผ่อนกับฮูหยินน้อย จึงออกไปรอด้านนอก ส่วนเื่อื่นๆ บ่าวไม่รู้อะไรเลยจริงๆ...”
พูดจบ ยวี้เอ๋อร์จึงเริ่มร้องไห้ฮือๆ การร้องห่มร้องไห้ของนางช่างน่าสังเวชจริงแท้
ทันทีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบสายตามอง ชุ่ยเอ๋อร์ก็คำนับจากนั้นรีบไปหาแม่นมสองคน
แม่นมทั้งสองอยู่ในครัวเล็กกำลังเตรียมที่จะทำข้าวต้มใบบัวให้มู่หรงฉิง ครั้นชุ่ยเอ๋อร์มาหาพวกนางยังคงไม่เข้าใจเื่ราว แต่เมื่อเห็นยวี้เอ๋อร์คุกเข่าอยู่บนพื้นและพวงแก้มทั้งสองข้างของอีกฝ่ายบวมเป่ง แม่นมทั้งสองจึงรู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดเื่ใหญ่แล้ว
“พวกเ้าเป็คนซื้อแตงโมนั่นมาใช่หรือไม่?” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามคำถามด้วยเสียงต่ำหลังเห็นแม่นมทั้งสอง
แม่นมจิ่นรู้สึกประหลาดใจ เป็ไปได้หรือไม่ที่แตงโมจะมีอะไรผิดปกติ? นางรู้สึกสยดสยองในใจ แต่ยังเอ่ยตอบอย่างเร่งรีบ “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวและแม่นมฟางเป็คนไปซื้อแตงโมมาด้วยตัวเอง”
“เ้าออกไปข้างนอก เมื่อเห็นว่าฮูหยินน้อยหลับไปแล้วใช่หรือไม่?” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้บอกว่าแตงโมมีปัญหา แต่ตั้งคำถามที่แตกต่างออกไป
แม่นมจิ่นไม่แน่ใจเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้น นางทำได้เพียงพูดออกไปแม้ไม่เต็มใจนักก็ตาม “หลังจากฮูหยินน้อยกินแตงโมแล้ว ฮูหยินน้อยก็อ่านหนังสืออยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นถึงรู้สึกง่วงนอนและผล็อยหลับไป บ่าวเห็นว่า ฮูหยินน้อยหลับไปแล้วจึงสับเปลี่ยนเวรให้ยวี้เอ๋อร์ดูแล ส่วนบ่าวและแม่นมฟางก็ไปเก็บใบบัว เพื่อเตรียมทำข้าวต้มใบบัวสำหรับคุณชายรองและฮูหยินน้อย”
หลังจากแม่นมจิ่นพูดจบ นางยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางเห็นว่าสีหน้าของฮูหยินเฉินดูเคร่งเครียด พริบตาต่อมานางจึงพลอยรู้สึกใ แท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นหรือ?
“ลากบ่าวสองหน้าออกไปเดี๋ยวนี้ รอจนกว่าฮูหยินน้อยจะตื่นแล้วค่อยตัดสินใจ”
หลังจากเงียบไปนาน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถึงได้พูดกับชุ่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชุ่ยเอ๋อร์ตอบรับ ก่อนจะร่วมมือกับสาวใช้อีกสองคนที่กำลังกดยวี้เอ๋อร์ ลากยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งกำลังร้องไห้และะโว่าตนถูกใส่ร้ายออกไป
พูดถึงแม่นมทั้งสองคนที่ทั้งใกลัวระคนวิตกกังวล พวกนางมองดูยวี้เอ๋อร์ถูกคนลากออกไป ทั้งคู่้าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ครั้นเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเฉินและฮูหยินเฉินก็จำต้องระงับถ้อยคำและไม่กล้าพูดอะไรมาก
แม่นมจิ่นเลื่อนสายตาไปมองคนบนเก้าอี้ยาวอย่างเงียบๆ นางหวังว่ามู่หรงฉิงจะพูดให้ความยุติธรรมกับยวี้เอ๋อร์ แต่เหตุใดหลังจากมีการเคลื่อนไหวอย่างครึกโครม มู่หรงฉิงถึงยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก
นางอึ้งงันไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเลื่อนสายตาไปมองแตงโมที่อยู่บนโต๊ะ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเหงื่อเย็นไหลลงจากหน้าผาก แตงโมนั่นจะต้องมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม แม้ในสมองของแม่นมจิ่นมีความคิดมากมาย ทว่ามู่หรงฉิงผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวกลับรออย่างเงียบๆ นางรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าจัดการยวี้เอ๋อร์
ด้วยหลักของเหตุผล ถ้าเกิดเื่ขึ้น การที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งคนให้ตียวี้เอ๋อร์จนเสียชีวิตย่อมเป็สิ่งที่ควรจะเป็ แต่คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่า้าให้มู่หรงฉิงจัดการด้วยตัวเอง นี่ก็นับได้ว่าเป็การให้เกียรติหลานสะใภ้คนใหม่
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงจึงหวังว่าดวงอาทิตย์จะใหญ่มากกว่านี้ ขั้นแรกให้แดดแผดเผาิัของยวี้เอ๋อร์ ให้ิัของเ้าแมงป่องมีพิษหลุดลอกออก จากนั้นยืมมือของฮูหยินผู้เฒ่าจัดการยวี้เอ๋อร์อย่างสาสม
แน่นอนว่า มู่หรงฉิงจะยังไม่ฆ่ายวี้เอ๋อร์ เพราะนางพร้อมแล้วที่จะเริ่มเข้าหาแม่รองเฉิน นางอยากรู้เหมือนกันว่า แท้ที่จริงแล้วแม่รองเฉิน้าทำอะไรกันแน่ ดังนั้นก่อนที่จะเข้าหาแม่รองเฉิน ยังต้องเก็บชีวิตของยวี้เอ๋อร์ไว้
ถ้าพูดถึงยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งถูกชุ่ยเอ๋อร์และสาวใช้อีกสองคนลากไปทิ้งในลานสนามหญ้า นางถูกผูกข้อมือและข้อเท้าด้วยเชือก ต้องคุกเข่าภายใต้แสงแดดร้อนเจิดจ้า ได้ยินเสียงของนางร้องไห้และะโ ช่างน่าเศร้าอาดูรทำให้คนทนอยู่นิ่งไม่ได้จริงๆ
ทันใดนั้นเอง จ้าวจื่อซินก็เดินเข้ามาจากด้านนอกลานสนามหญ้าพร้อมกับดาบในมือ เมื่อเขาเห็นยวี้เอ๋อร์ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ในลานสนาม สายตาของเขาก็เ็าลงทันควัน ถึงกระนั้นเขากลับปิดตาในทันทีโดยเดินผ่านยวี้เอ๋อร์ ตรงเข้าไปในห้อง...
เห็นจ้าวจื่อซินเข้ามาในห้อง แม้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ค่อยดีมากนัก แต่อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้พูดมาก ฮูหยินเฉินพยักหน้าให้จ้าวจื่อซินจากนั้นเอ่ยว่า “เ้าพบคนต้องสงสัยที่เข้ามาในจวนหรือไม่?”
“เรียนฮูหยิน ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาในจวน” หลังจากพูดจบ จ้าวจื่อซินก็เดินมาถึงตรงหน้าเก้าอี้ยาว เขาเอื้อมมือออกไปสำรวจลมหายใจของเฉินเทียนหยูราวกับจะตรวจสอบสถานการณ์ของเฉินเทียนหยู แต่สายตาของเขากลับมองมู่หรงฉิงซึ่งอยู่ด้านใน ครั้นเห็นทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก จ้าวจื่อซินพลอยรู้สึกขัดลูกหูลูกตาไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่เขาเห็นมือของมู่หรงฉิงจับฝ่ามือใหญ่ของเฉินเทียนหยู เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก จนอยากจะดึงมือของเฉินเทียนหยูออกจากมือของมู่หรงฉิงโดยตรง
มู่หรงฉิงใ ขนตาของนางสั่นเล็กน้อย แต่นางก็ไม่กล้าที่จะลืมตา นางทำได้เพียงก่นด่าเ้าสารเลวคนนี้ในใจ ชอบทำให้คนรำคาญอยู่เรื่อย
สีหน้าของมู่หรงฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยทำให้จ้าวจื่อซินอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาเปลี่ยนท่านอนให้เฉินเทียนหยูโดยดึงอีกฝ่ายให้นอนราบ “คุณชายรองและฮูหยินน้อยน่าจะต้องยาพิษ ‘เทพผู้เมา’ หลังจากกินยาแก้พิษ ไม่เกินสามชั่วยาม ก็จะตื่นแล้ว”
“จะเป็อันตรายต่อร่างกายหรือไม่?” คำว่า ‘ยาพิษ’ ส่งผลให้ใบหน้าของฮูหยินเฉินเปลี่ยนสีทันที แต่หลังจากได้ยินว่าจะตื่นภายในไม่เกินสามชั่วยาม นางก็โล่งใจ ทว่าเมื่อคิดอีกหนนางก็นึกกลัวว่ายาพิษนี้จะเป็อันตรายต่อร่างกาย
ปัจจุบันเฉินเทียนหยูเป็ปัญหาหัวใจของนางอยู่แล้ว และถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก นางคงไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้แล้วจริงๆ
คำพูดของจ้าวจื่อซินเป็การพูดให้มู่หรงฉิงฟัง เพื่อให้นางนับเวลาสำหรับการ ‘ตื่น’ ขึ้นมา จะได้ไม่เผยพิรุธ
มู่หรงฉิงพูดพึมพำในใจ โดยรู้ว่าจ้าวจื่อซินกำลังคุยกับนาง ถึงกระนั้นมันคงเป็การยากที่จะขอบคุณเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไม นางมักจะคิดว่าจ้าวจื่อซินคนนี้ช่างแปลกคน
หลังจากที่รู้ว่ายาพิษ ‘เทพผู้เมา’ ไม่เป็อันตรายต่อร่างกาย ฮูหยินเฉินและฮูหยินผู้เฒ่าถึงโล่งใจ ฮูหยินผู้เฒ่ามองผ่านบานหน้าต่าง ทอดสายตาไปทางยวี้เอ๋อร์ซึ่งคุกเข่าอยู่ในลานสนามหญ้า ดวงตาของนางถึงกับดุดันน่าเกรงขามขึ้นมาก “ได้ยินมาว่าสาวใช้สารเลวคนนั้นติดตามฮูหยินเป็เวลานานแล้วใช่หรือไม่?”
คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าบ่งชี้ชัดเจนว่ากำลังสอบถามแม่นมทั้งสอง หลังจากฟังคำพูดของจ้าวจื่อซิน สองแม่นมก็เข้าใจแล้วว่า คุณหนูใหญ่และคุณชายรองถูกวางกับดัก รวมกับท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งน่าจะสงสัยว่ายวี้เอ๋อร์เป็คนลงมือทำ
แม่นมทั้งสองต่างไม่เชื่อว่ายวี้เอ๋อร์จะทรยศต่อคุณหนูใหญ่ แต่เนื่องด้วยฮูหยินผู้เฒ่ากำลังขุ่นเคือง จึงไม่เหมาะที่จะพูดมาก พวกนางทำได้เพียงก้มหน้าลงและเอ่ยตอบด้วยเสียงเบา “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ยวี้เอ๋อร์ติดตามเคียงข้างฮูหยินน้อยเป็เวลานานกว่าสิบปีแล้ว”
“ฮึ! มีแต่คุณหนูของเ้าเท่านั้นที่จิตใจดีเหลือเกิน เลี้ยงคนอกตัญญู” ฮูหยินผู้เฒ่าเปล่งเสียงฮึอย่างหนัก นางอยากจะฆ่าบ่าวต่ำสถุลคนนั้นจริงๆ ถึงกระนั้นนางก็กลัวว่ามู่หรงฉิงจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุหลังจากตื่นนอน และจะไม่พอใจนางทีหลัง
ด้วยเสียงอันขุ่นเคืองของฮูหยินผู้เฒ่า แม่นมทั้งสองคนรู้สึกได้ว่าเหงื่อบนหน้าผากของพวกนางไหลพรูลงมา แม้ว่าจวนเฉินจะเป็ตระกูลพ่อค้า ถึงกระนั้นจวนเฉินก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ ไม่นึกไม่ฝันว่ารัศมีของฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้จะไม่ด้อยไปกว่าท่าทีของแม่ใหญ่ในครอบครัวขุนนางเลยแม้แต่น้อย
ภายในห้องจึงไร้เสียงสนทนาอยู่ชั่วครู่ใหญ่ สาวใช้และแม่นมทุกคนพลอยลดเสียงหายใจไปโดยปริยายด้วยกลัวว่าถ้าทำอะไรผิดแล้วจะถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยว
คนที่มีทีท่าสบายๆ และเป็อิสระในห้องจึงมีเพียงจ้าวจื่อซินที่ยืนอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ยาวเท่านั้น มองจากตำแหน่งการยืนของเขา ชายหนุ่มคล้ายกับเป็คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ คอยปกป้องเ้านายของตัวเองสุดหัวใจ อย่างไรก็ดี มู่หรงฉิงกลับรับรู้อย่างกระจ่างแจ้ง ในเวลานี้จ้าวจื่อซินจะต้องจ้องมองนางเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มอยู่เป็แน่แท้ สายตาขี้เล่นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งคือความแปลกประหลาดที่นางไม่เข้าใจ
เห็นๆ อยู่ว่านางไม่ได้ลืมตา แต่มู่หรงฉิงกลับสามารถััได้ถึงสายตาอันน่ารังเกียจของจ้าวจื่อซิน นางเกลียดจนคันเหงือกยิกๆ จนแทบอยากจะลุกขึ้นยืนกระทืบจ้าวจื่อซินสักสองที จากนั้นเตะเขาออกจากเรือน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากประมาณเวลาซึ่งคิดว่าน่าจะเหมาะสม มู่หรงฉิงจึงเปล่งเสียง ‘หนิง’ จากนั้นก็พลิกร่างกายของนาง และค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เสียงของมู่หรงฉิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินเลื่อนสายตามอง ถึงได้เห็นดวงตาของมู่หรงฉิงเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งคู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
ทางด้านจ้าวจื่อซินกลับลอบยิ้มในใจ ผู้หญิงคนนี้ช่างแสดงละครได้ดีจริงๆ หน้าตาของนางคล้ายจะตื่น ไม่ตื่น ดูเหมือนจริงมากอย่างไรอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่านางตื่นั้แ่ก่อนหน้านี้ เกรงว่าแม้กระทั่งเขาก็คงจะถูกหลอกไปด้วย
มู่หรงฉิงลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนพบกับแววตาแปลกๆ ของจ้าวจื่อซิน นางจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจ จากนั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากแม่นมฟางและแม่นมจิ่นในการลงจากเก้าอี้ยาว
จนกระทั่งลงจากเก้าอี้ยาว มู่หรงฉิงดูเหมือนจะ ‘ตื่น’ ขึ้นมาจริงๆ ฉะนั้นหลังจากเห็นฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉิน นางถึงกับอึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินมาที่นี่ได้อย่างไร?” ครั้นพูดจบก็มองไปที่แม่นมจิ่นด้วยความโกรธเคือง “แม่นมทั้งสองก็จริงๆ เลย ทำไมไม่ปลุกข้าให้ตื่นล่ะ?”
แม่นมจิ่นบ่นพึมพำในใจซ้ำๆ หลายหน ‘คุณหนูใหญ่ ไม่ใช่ไม่เรียกคุณหนูใหญ่ แต่แม้การเคลื่อนไหวอย่างอึกทึกครึกโครมเมื่อครู่ก่อน คุณหนูก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย บ่าวจะปลุกคุณหนูอย่างไร?’
แน่นอนว่า ถ้อยคำนั้นแม่นมจิ่นพูดแค่ในใจ เมื่อมู่หรงฉิงถามคำถามนั้นเสร็จ แม่นมจิ่นจึงรีบก้มศีรษะลงและพูดว่า “คุณหนูใหญ่พูดถูก บ่าวผิดเอง”
“ดูสิดู หลังจากนอนหลับก็ดูมีพลังและมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อวานเสียอีก” ฮูหยินเฉินรับการสนทนาและก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงมู่หรงฉิงด้วยตัวเอง
มู่หรงฉิงดูประหลาดใจและรีบก้าวเท้าถอยหลังครึ่งก้าว “ฮูหยิน เช่นนั้นทำไม่ได้ ลูกสะใภ้จะสามารถรับได้อย่างไร”
“รับได้ ไม่ได้อะไรกัน?” ฮูหยินเฉินยิ้มพลางกล่าวว่า “ก้าวข้ามธรณีประตูเป็เวลาสองวันแล้ว มิหนำซ้ำยังยกน้ำชาแล้วด้วย ทำไมถึงเปลี่ยนการเรียกไม่ได้ล่ะ? เ้าเรียกข้าว่าท่านแม่สิถึงจะถูก”
“ใช่ เอ่ยปากออกมาแต่ละทีก็เรียกแต่ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่กลัวว่าจะดูห่างเหินหรือ ในอดีตเทียนหยูเรียกข้าว่า ‘ท่านย่า’ เรียกท่านย่าอย่างเชื่อฟังและมีมารยาทดีมาก” ฮูหยินผู้เฒ่าสานต่อการสนทนาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเปี่ยมไปด้วยเมตตา
มู่หรงฉิงใ แต่การใคราวนี้ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ นางแปลกใจกับท่าทีของฮูหยินเฉินและฮูหยินผู้เฒ่าเป็อย่างมาก
ผ่านไปเพียงแค่วันเดียว เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินถึงเปลี่ยนไปนัก? ต่อให้ยอมรับนาง ย่อมต้องไม่เป็เช่นนั้นใช่หรือไม่?
มู่หรงฉิงยากที่จะทำความเข้าใจได้ นางเกิดมาในตระกูลขุนนาง ฐานะเดิมย่อมสูงส่งและมีเกียรติมากกว่าจวนเฉิน หากเฉินเทียนหยูเป็ปกติเช่นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่มู่หรงฉิงเลย แม้จะเป็บุตรสาวของขุนนางระดับหนึ่ง ถ้าเฉินเทียนหยูชอบพอและ้าแต่งงานด้วย นั่นก็ไม่ใช่เื่ยากอะไร
เพียงแต่ด้วยความโง่งมผสมกับอาการคลุ้มคลั่งของเฉินเทียนหยูในปัจจุบัน ครอบครัวหญิงสาวปกติทั่วไป ใครจะยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับเฉินเทียนหยู? อนุแปดคนก่อนหน้าทุกคนก็ล้วนมาจากครอบครัวที่ยากจน ปรากฏว่า...
ถ้าเฉินเทียนหยูใช้ชีวิตเช่นนั้นทั้งชีวิต ผู้คนในสกุลเฉินก็คงจะหมดหนทางอย่างแน่นอน ถึงกระนั้นเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้ายังสามารถแต่งงานกับหญิงสาวจากตระกูลที่ดี นั่นย่อมเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่ฮูหยินเฉินไม่คาดคิดคือ เมื่อไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด ลูกชายคนโปรดของนางกลับไปทำเื่ผิดศีลธรรมในห้องส่วนตัวของบุตรสาวคนโตของขุนนาง ทั้งยังกระทำเช่นนั้นกับมู่หรงฉิงต่อหน้าทุกคน
ด้วยสาเหตุนั้นมู่หรงฉิงจึงต้องแต่งงานกับเฉินเทียนหยูอย่างไม่มีทางเลือกอื่น แม้ว่าฮูหยินเฉินจะรู้สึกละอายใจ รู้สึกว่าลูกชายของนางไม่คู่ควรกับมู่หรงฉิงซึ่งเป็ที่รู้จักกันในนาม ‘หญิงสาวผู้มีพร์’ และการทำเช่นนั้นเป็การทำลายมู่หรงฉิงทั้งเป็ แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวของผู้เป็แม่ ย่อมหวังว่าลูกชายของตนจะสามารถแต่งงานกับหญิงสาวจากครอบครัวใหญ่ที่มีชื่อเสียง สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไปซึ่งนี่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
เพียงแต่ฮูหยินเฉินรู้สึกวิตกกังวลอีกหน เนื่องด้วยมู่หรงฉิงเป็คนหน้าตาดีกอปรกับมีชื่อเสียงด้านนอก ถ้านางไม่อยากแต่งงานกับเฉินเทียนหยู และเกิดนอกใจ เกรงว่าจะทำเื่อับอายขายขี้หน้าให้กับจวนเฉิน
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ฮูหยินเฉินเข้าใจสิ่งหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้ว มู่หรงฉิงเป็บุตรสาวจากครอบครัวขุนนาง เด็กสาวย่อมมีความเป็ผู้ดีในตัว จะเปรียบเทียบกับคนต่ำสถุลพวกนั้นได้อย่างไร นอกจากนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนนอนด้วยกัน ฮูหยินเฉินรู้สึกว่าอีกไม่นานนางก็จะได้อุ้มหลานชายแล้ว
ความคิดนั้นทำให้ฮูหยินเฉินดีใจเป็ที่สุด นางแทบอยากให้มีวันที่ลูกชายของนางมีสติ จะได้เข้าห้องหอเฉกเช่นคนปกติ จะได้มีสายเืสืบทอดให้ตระกูลเฉิน